บทที่ 162 การแก้แค้นของเริ่นอิ๋งอิ๋ง
เมื่อได้รับใบหย่า เริ่นอิ๋งอิ๋งยังคงมึนงงไปทั้งตัว
แค่นี้ก็หย่ากันแล้วเหรอ?
แต่ความจริงแล้ว เธอไม่เคยคิดว่าจะหย่ากับลู่หวยเฟิงมาก่อนเลย
ในตอนนี้ เธออยากจะเสียใจและกลับไปหาลู่หวยเฟิง ความรู้สึกนั้นก็ถูกความหยิ่งในใจอันน้อยนิดกลบลงไป
สิ่งที่เริ่นอิ๋งอิ๋งไม่รู้คือ ในที่ที่เธอมองไม่เห็น ลู่หวยเฟิงก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน เมื่อเห็นเธอเดินตามคุณอาเริ่นไปโดยไม่หันกลับมา ใบหน้าของเขาแสดงความเ็ปออกมา
เมื่อหันกลับมา เขาเห็นลู่จิ่งซานและสวี่จือจือยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองเขาด้วยความเป็ห่วง
ลู่หวยเฟิงแอบด่าตัวเองในใจ
“ไปกันเถอะ” เขากล่าว “ฉันไม่เป็ไร แค่รู้สึกผิดกับจือจือ เื่นี้…”
ท้ายที่สุดเริ่นอิ๋งอิ๋งถึงที่สุดก็ไม่ยอมบอกว่าใครเป็คนยุยงเธอ แม้ว่าพวกเขาจะเดาว่าน่าจะเป็เหอเสวี่ยฉิน แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไร
“ไม่เป็ไรครับ อาสาม” ลู่จิ่งซานกล่าว “เื่นี้พวกเราจะหาวิธีอื่นสืบต่อเอง”
“ใช่ค่ะ อาสาม” สวี่จือจือยิ้ม “คนเราต้องมองไปข้างหน้า ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ”
“สวี่จือจือ!” เริ่นอิ๋งอิ๋งที่หันกลับมาเห็นลู่หวยเฟิงยืนอยู่ตรงนั้น สวี่จือจือไม่รู้พูดอะไรไป ทำให้เขายิ้มออกมา เธอะโว่า “นังคนหน้าด้านไร้ยางอาย!”
เขาเพิ่งหย่ากับเธอ แป๊บเดียวก็มาหัวเราะกับสวี่จือจือ แถมยังทำต่อหน้าลู่จิ่งซานอีก!
ช่างหน้าไม่อายจริงๆ
เธอยังคงรู้สึกเสียใจ อยากวิ่งกลับมาดูลู่หวยเฟิงเลยนะ
สวี่จือจือกำลังจะเข็นลู่จิ่งซานจากไป ก็เห็นเริ่นอิ๋งอิ๋งพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความแค้น ปากยังด่าทอคำหยาบคายต่างๆ
“เธอเป็บ้าอะไร?” ลู่หวยเฟิงรีบขวางเริ่นอิ๋งอิ๋งไว้
“ฉันเป็บ้า?” เริ่นอิ๋งอิ๋งเหมือนเสียสติไปแล้ว “พวกเราเพิ่งหย่า พวกพี่ก็มาแสดงความรักกันตรงนี้แล้ว”
“นั่นคุณตาฝาดแล้ว” สวี่จือจือยิ้มเยาะ “สมองคุณเต็มไปด้วยอึ เพราะฉะนั้นมองอะไรก็เหม็นโฉ่ไปหมด”
“ลู่หวยเฟิง ปล่อยฉัน ฉันจะฉีกปากมันให้ได้!” เริ่นอิ๋งอิ๋งะโเสียงแหลม
“อาสาม ปล่อยหล่อนเถอะค่ะ” สวี่จือจือพูดเสียงเรียบ
ลู่หวยเฟิงชะงัก เริ่นอิ๋งอิ๋งฉวยโอกาสดิ้นหลุดแล้วพุ่งไปหาสวี่จือจือ แต่ยังไม่ทันถึงตัวสวี่จือจือ เธอก็ล้มลงคุกเข่าทั้งสองข้าง
“อืม” สวี่จือจือยิ้มเยาะ “คำขอโทษของคุณฉันรับไว้ แต่ฉันไม่คิดจะให้อภัย ต่อให้คุณทำพิธียิ่งใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
“ฉันเปล่านะ แกเล่นสกปรก!” เริ่นอิ๋งอิ๋งคลานลุกขึ้น เข่าที่เ็ปทำให้น้ำตาเธอแทบไหล สายตาที่มองสวี่จือจือยิ่งเต็มไปด้วยความแค้น อยากจะพุ่งเข้าไปกัดสวี่จือจือสักสองสามคำ
“เล่นสกปรก? สมน้ำหน้าคุณแล้ว” สวี่จือจือพูดด้วยความรังเกียจ “อยากตีฉันใช่ไหม? มาสิ”
เธอพูดจบ ไม่รู้จะทำอะไร บิดมือเริ่นอิ๋งอิ๋งที่กำลังดิ้นรน แล้วล็อกมือทั้งสองของอีกฝ่ายไพล่หลัง ทำให้ไม่มีช่องให้ต่อสู้เลย จากนั้นตบหน้าสองฉาดดังเพียะๆ
“ตบแรก ตบเพราะคุณหลอกฉันจนเกือบตาย”
“ตบที่สอง ตบเพราะเมื่อกี้ปากคุณพ่นอึออกมา”
คราวนี้สวี่จือจือลงมือไม่ยั้ง ใบหน้าของเริ่นอิ๋งอิ๋งบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด
ตบเสร็จ เธอผลักเริ่นอิ๋งอิ๋งออกด้วยความรังเกียจ เริ่นอิ๋งอิ๋งถอยหลังไปหลายก้าว ชนเข้ากับคุณอาเริ่นที่รีบวิ่งมา “ทำไมเธอถึงทุบตีคนล่ะ?”
“เมื่อเทียบกับเื่น่ารังเกียจที่หล่อนทำ ฉันตบหล่อนสองทีก็ถือว่าเบาแล้ว” สวี่จือจือพูดด้วยความรังเกียจ
“คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าฉันมากนักเหรรอ?” เริ่นอิ๋งอิ๋งหัวเราะลั่น ชี้ไปที่สวี่จือจือแล้วพูดกับลู่จิ่งซาน “นายรู้ไหมว่าหล่อนเป็ใคร? หล่อนเป็เมล็ดพันธุ์ชั่ว เมล็ดพันธุ์ชั่วที่หวังซิ่วหลิงแอบไปมีกับคนอื่น”
“หุบปาก” ลู่หวยเฟิงสีหน้าดำคล้ำ
แต่เริ่นอิ๋งอิ๋งที่มั่นใจว่ามีอะไรระหว่างเขากับสวี่จือจือ ยิ่งเห็นเขาปกป้องสวี่จือจือก็ยิ่งยั่วโมโห “คิดว่าตระกูลลู่ของพวกนายก่งกาจมากเหรอ? ก็แค่ถูกคนอื่นหลอกเหมือนลิงเท่านั้น!”
“ทุกคนบอกว่าลู่จิ่งซานเก่ง” เธอชี้ไปที่ลู่จิ่งซานที่นั่งบนรถเข็น “ตอนนี้ก็กลายเป็คนพิการไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“แม่นายตายยังไงนายยังไม่รู้เลย นายยังจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม?”
“ฮ่าๆ สมควรแล้วที่สวี่จือจือทำให้สวมหมวกเขียวให้ อย่างน้อยลีลาบนเตียงของลู่หวยเฟิงก๋…อื้อ…”
เริ่นอิ๋งอิ๋งกำลังด่าอย่างเมามัน จู่ๆ ปากถูกยัดอะไรบางอย่าง เหม็นแทบตายเธออยากจะอาเจียน อยากดิ้นรน แต่ถูกคนจับแขนไว้แน่น
“สัตว์เดรัจฉานที่ปากพ่นอึเหมาะจะกินมูลสัตว์” สวี่จือจือพูดพลางลากเริ่นอิ๋งอิ๋งไปที่ถังขยะอย่างคล่องแคล่ว พอถึงที่เธอก็กดศีรษะของเริ่นอิ๋งอิ๋งลงไปในถัง “มา ไหนๆ ก็ชอบนัก กินให้เยอะๆ ไปเลย”
อื้อๆ…
เริ่นอิ๋งอิ๋งดิ้นรน แต่สวี่จือจือที่ดูผอมบางไม่รู้เอาแรงมาจากไหน เธอพยายามดิ้นสุดชีวิตก็ไม่หลุด
คุณอาเริ่นอยากเข้ามาช่วย แต่ไม่รู้ทำไม วิ่งได้สองก้าวก็ล้มลง
คนอื่นๆ ตอนแรกตกตะลึงกับคำด่าของเริ่นอิ๋งอิ๋ง ตอนนี้ก็ยิ่งตื่นตระหนกกับความดุเดือดของสวี่จือจือ
ใครจะกล้าเข้าไปใกล้?
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเลอะเทอะขึ้นมาก็แย่
ไม่เห็นเหรอว่าสองหนุ่มตระกูลลู่สีหน้าไม่ดีทั้งคู่?
สวี่จือจือเห็นเริ่นอิ๋งอิ๋งกลืนอึเหม็นไปหลายคำ จึงผลักอีกฝ่ายออกด้วยความรังเกียจ
“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าตีคุณ” เด็กสาวมองเริ่นอิ๋งอิ๋งที่ดูน่าสมเพชด้วยสายตาเ็า “ที่ผ่านมาแค่เกรงใจอาสาม ถ้าครั้งหน้าฉันได้ยินคุณพูดอะไรสกปรกอีก ฉันทำให้คุณกินอึครั้งนี้ได้ ก็ทำให้กินครั้งที่สองและครั้งต่อๆ ไปได้”
เริ่นอิ๋งอิ๋งตัวสั่น
เธอสู้สวี่จือจือไม่ได้
“พวกเราไปกันเถอะ” เธอเช็ดมือแล้วโยนผ้าเช็ดหน้าลงพื้นด้วยความรังเกียจ จากนั้นเข็นลู่จิ่งซานเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
“ลู่จิ่งซาน นายไม่อยากรู้เื่ของแม่นายเหรอ?” เริ่นอิ๋งอิ๋งนั่งอยู่บนพื้น ะโด้วยความแค้น
สวี่จือจือหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเ็า จนเริ่นอิ๋งอิ๋งเผลอตัวหดเข้าไปในอ้อมแขนของคุณอาเริ่น
“แกหยุดสักที” คุณอาเริ่นกล่าว “หย่ากันแล้วยังจะมาโยงเื่พวกนี้ทำไม?”
เมื่อก่อนดูฉลาดอยู่ ทำไมแต่งงานไปไม่กี่ปีถึงโง่ลง?
ไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็เื่ของตระกูลลู่ ไม่เกี่ยวกับพวกเราอีกแล้ว พูดเื่นี้ให้เลอะเทอะไปทำไม?
“ฉันแค้น!” เริ่นอิ๋งอิ๋งซุกอยู่ในอ้อมแขนน้าแล้วร้องไห้
“ทำไมแกถึงโง่ขนาดนี้?” คุณอาเริ่นรู้สึกผิดหวังที่เหล็กไม่เป็เหล็กกล้า “เมื่อหย่าแล้ว ความรักความแค้นอะไรนั่น ลืมมันไปซะ”
“มีเงินห้าร้อยหยวนนี้ เดี๋ยวให้น้าเขยของแกไปซื้องานในโรงงานหม้อแปลงไฟฟ้าให้ ทำงานอย่างสบายใจเถอะ แกมีงานทำแล้วหาผู้ชายดีๆ แต่งงานใหม่ นั่นแหละของจริง”
“หย่ากันแล้ว ถ้าแกมีชีวิตที่ดีมีความสุข นั่นแหละคือการแก้แค้น นั่นแหละคือการตบหน้าตระกูลลู่”
ถ้าดีที่สุดคือมีลูกได้ ดูซิว่าตระกูลลู่จะยังมีหน้าอยู่ในประชาคมชีหลี่ได้ยังไง?
ถ้าสวี่จือจืออยู่ที่นี่คงยกนิ้วโป้งให้คุณอาเริ่น แต่เห็นได้ชัดว่าเริ่นอิ๋งอิ๋งไม่ได้เอาใจใส่คำพูดของน้าเลย
การพูดเื่พวกนี้ เธอแค่อยากแก้แค้น ถ้ามีชีวิตไม่ดี ตระกูลลู่ก็อย่าหวังว่าจะดี!
“เื่แม่ของแก…” ลู่หวยเฟิงกล่าว
“ผมจะสืบเอง” ลู่จิ่งซานกล่าว “อาสาม อาหย่าแล้วนะครับ”
.............................