เงาของต้นไม้ถูกตัดด้วยแสงของดวงจันทร์ และสาดส่องไปทั่วทั้งร่างของทั้งสองคน ในซอยเงียบมากจนได้ยินเพียงแค่เสียงก้าวเดินของทั้งสองคน คนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าส่วนอีกคนเดินตามอยู่ข้างหลัง
“อากาศยิ่งนับวันก็ยิ่งหนาวขึ้นมาแล้วนะเนี่ย” เซี่ยเจิงใส่เพียงแค่เสื้อแขนสั้น ในขณะนั้นเขากอดอกพลางพึมพำออกมา
“งั้นนายรีบกลับไปเถอะ” ชวีเสี่ยวปอหันกลับไปมองเขา “เดี๋ยวฉันไปเรียกรถข้างหน้าก็กลับแล้ว อย่าให้มีคนป่วยเพิ่มอีกคนเลย”
“อีกแค่สองก้าวเองน่า” เซี่ยเจิงเดินต่อ แต่พอหลังจากพูดจบเขาก็จามออกมาอย่างแรง
“เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอหยุดเดิน “ฉันนับหนึ่งถึงสามนะ นายรีบยืนตรง กลับหลังหันแล้วเดินกลับไปซะ ถ้ายังไม่ไปฉันเตะก้นนายแน่”
“ได้” เซี่ยเจิงสูดจมูก “งั้นเจอกันพรุ่งนี้”
ชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้นกำลังจะตอบกลับไปว่า “เจอกันพรุ่งนี้” แต่กลับมีคนพูดแทรกขึ้นมาจากด้านหน้าซะก่อน
“เสี่ยวเจิง”
ชวีเสี่ยวปอหันกลับไปทันที แล้วมองไปยังเงาคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อยในขณะที่คิดว่าคนคนนี้โผล่ออกมาจากตรงไหน ทำไมเมื่อครู่เขาถึงไม่ได้สังเกตเห็น แต่ในเมื่อเขาเรียก “เสี่ยวเจิง” ฟังจากคำเรียกแล้วก็น่าจะเป็คนที่เซี่ยเจิงรู้จักแหละมั้ง?
“ชวีเสี่ยวปอ” แต่เซี่ยเจิงกลับไม่ได้ขานรับเขา ทั้งยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างเป็ที่สุด : “มานี่”
“ฮะ?” ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ในเมื่อเซี่ยเจิงเรียก เขาจึงไม่ได้ถามอะไรออกไป พร้อมทั้งเดินกลับไปยืนอยู่ข้างๆ เซี่ยเจิงพลางพูดเล่นออกมาว่า : “ทำไม? ทำใจให้ฉันไปไม่ได้เหรอ? แล้วเขาคือใครอะ? ”
“เสี่ยวเจิง นี่เพื่อนนายเหรอ? ” โจวเจ๋อหยวนเดินเข้ามาใกล้ขึ้นแล้ว จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอเห็นใบหน้าเขาได้ชัดยิ่งขึ้น เขาเป็ผู้ชายที่ดูโตกว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่กี่ปี ตอนพูดก็มักจะดันแว่นขึ้นอยู่ตลอด จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็มองไปยังนาฬิกาข้อมือที่โจวเจ๋อหยวนตั้งใจเผยออกมาให้เห็น เขารู้สึกคุ้นตามาก เพราะว่าชวีจิ่งก็มีแบบนี้เรือนหนึ่งเหมือนกัน ราคาน่าจะประมาณสามแสนหยวน
เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนโจวเจ๋อหยวนก็ไม่ได้อายอะไร ทั้งยังพูดกับชวีเสี่ยวปออีกว่า : “เจอครั้งแรกสินะ พี่ชื่อโจวเจ๋อหยวน เป็พี่ชายของเซี่ยเจิง พวกเราโตมาด้วยกัน”
“อ่อ สวัสดีครับ” ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไปอย่างนิ่งเฉย
ไม่รู้ว่าทำไม แม้ว่าบุคลิกท่าทางและคำพูดคำจาของโจวเจ๋อหยวนจะดูสุภาพเรียบร้อยเป็อย่างมาก แต่ทว่าชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าที่ไม่มีที่มาที่ไปนี้ดูมีอะไรแปลกๆ หรืออาจจะเป็เพราะเขารู้สึกว่าโจวเจ๋อหยวนดูไม่เข้ากับสถานที่เช่นนี้ หรืออาจจะเป็เพราะการปรากฏตัวของเขาคนนี้ เขาไม่สามารถอธิบายถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ในทันที แต่สรุปก็คือชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าโจวเจ๋อหยวนคนนี้ทั้งตัวของเขาเผยให้ถึงความเสแสร้งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดเป็ที่สุด
“เสี่ยวเจิง ไม่แนะนำหน่อยเหรอ? ” ถึงแม้ว่าโจวเจ๋อหยวนจะพูดอยู่กับเซี่ยเจิง แต่สายตากลับมองไปมาบนร่างกายของชวีเสี่ยวปอ
“ไม่มีอะไรต้องแนะนำ” เซี่ยเจิงพูดออกไปอย่างเ็า “โดยเฉพาะกับคุณ”
ชวีเสี่ยวปอมองเซี่ยเจิงด้วยความประหลาดใจ เขาไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่าเขาเข้าใจคนคนนี้เป็อย่างดี แต่อย่างน้อยในความคิดของเขา เซี่ยเจิงแทบจะไม่เคยแสดงสีหน้าที่สะอิดสะเอียนเช่นนี้ออกมาตรงๆ เลย ยกเว้นครั้งก่อนตอนที่เซี่ยรุ่ยเซินมาก่อกวนเล่นลูกไม้อย่างหน้าไม่อาย แต่เมื่อครู่นี้ทั้งๆ ที่โจวเจ๋อหยวนเพิ่งจะพูดอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ที่ว่า “เขาทั้งสองคนโตมาด้วยกัน” แต่ท่าทีตอบโต้ของเซี่ยเจิงเช่นนี้ ราวกับเขาจะเพิ่มเข้าไปว่าความสัมพันธ์ระหว่าง “เขาทั้งสองคนเป็ศัตรูกันมาั้แ่เด็กจนโต”
“พูดกับพี่แบบนี้ได้ยังไงกัน? ” ในที่สุดใบหน้าของโจวเจ๋อหยวนก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่จึงแสดงสีหน้าโกรธออกมาแล้ว แต่มันก็กลับสลายหายไปในทันที และถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ : “เขารู้ไหมเนี่ย? ”
“ไสหัวไป” เซี่ยเจิงกัดฟันพูดออกมา พร้อมทั้งดึงแขนชวีเสี่ยวปอไปอย่างอัตโนมัติ จนทำให้ทั้งตัวของเขาไปหลบอยู่ด้านหลังของเซี่ยเจิง
ภาพตรงทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของโจวเจ๋อหยวน หลังจากที่ความประหลาดใจหายไปจนหมด : “ที่แท้นายก็ชอบ......”
“ไสหัวไป! บอกให้ไสหัวไปไง! ” เซี่ยเจิงแทบจะะโประโยคนั้นออกไปอย่างบ้าคลั่ง ชวีเสี่ยวปอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามือข้างที่เซี่ยเจิงจับแขนตัวเองไว้นั้นสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งยังกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ บีบจนเขาเองก็รู้สึกเจ็บไปด้วย แต่ทว่าชวีเสี่ยวปอเองก็ทนดูเหตุการณ์ตรงหน้านี้ต่อไปไม่ได้แล้วเหมือนกัน เขาจึงยื่นคางออกไปพูดกับโจวเจ๋อหยวนอย่างไม่เกรงใจว่า :
“พี่ชายท่านนี้ ถ้าหากว่าเข้าใจที่พูด รบกวนพี่ชายกลับไปก่อนได้ไหม? ”
ชวีเสี่ยวปอเดินไปข้างหน้าสองก้าว แต่เป็เพราะว่าเซี่ยเจิงดึงเขาไว้อยู่ตลอด จึงทำให้เขาเข้าใกล้โจวเจ๋อหยวนไม่ได้เลย แต่ชวีเสี่ยวปออดรนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาไม่อยากสืบหาสาเหตุที่จู่ๆ ก็ทำให้เซี่ยเจิงโกรธขึ้นมาแล้ว เขาเพียงแค่้ารีบทำให้คนคนนี้ที่ทำให้เซี่ยเจิงไม่มีความสุขหายไปโดยเร็ว
ในดวงตาของโจวเจ๋อหยวนส่งประกายความเย็นะเืออกมา เหมือนกับว่าเขาจะไม่พอใจเป็อย่างมาก เขาหันหลังเดินออกไปสองก้าว แต่ก็หยุดเดินอีกครั้ง
ชวีเสี่ยวปอที่เพิ่งจะถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นก็ตั้งรับป้องกันขึ้นมาอีกครั้ง
“เซี่ยเจิง จะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องรู้อยู่ดี พอถึงเวลานั้นขึ้นมานายจะทำยังไงเหรอ? ”
โจวเจ๋อหยวนทิ้งประโยคกำกวมนั้นไว้หนึ่งประโยค จากนั้นจึงหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“เกี่ยวอะไรกับแกด้วย !” ชวีเสี่ยวปอะโใส่หลังโจวเจ๋อหยวนไป ทั้งยังไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่ ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็ไม่เข้าว่าสิ่งที่โจวเจ๋อหยวนพูดมันหมายความว่าอะไร รู้หรือไม่รู้อะไร แล้วคำว่าเขานี่คือใคร?
“นาย......” ชวีเสี่ยวปอเอียงศีรษะมองเซี่ยเจิง หน้าอกของอีกฝ่ายขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงจนทำให้ชวีเสี่ยวปอไม่อาจถามคำถามที่ว่า “ไม่เป็ไรใช่ไหม” นี้ออกมาได้เลย ท่าทางของเซี่ยเจิงเช่นนี้ช่างไม่เข้ากับว่าไม่เป็ไรอย่างเห็นได้ชัด
แต่มือที่จับชวีเสี่ยวปอไว้แน่นเมื่อครู่จู่ๆ ก็คลายออกมา จากนั้นทั้งตัวของเซี่ยเจิงก็พิงเข้ากับกำแพงพร้อมทั้งค่อยๆ นั่งลงมาอย่างช้าๆ ราวกับหมดเรี่ยวแรงไปทั้งตัว
“ให้ตายสิ !” ชวีเสี่ยวปอรีบเข้าไปประคองเซี่ยเจิงไว้ไม่ให้เขาล้มลงไปกับพื้น
“ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร” เซี่ยเจิงสูดหายใจเข้าไปลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวให้ใจเย็นลง ในขณะนั้นเขาก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้หนึ่งมวน เขากดไฟแช็กอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถจุดบุหรี่ให้ติดได้
“ฉันทำให้” ชวีเสี่ยวปอนั่งคุกเข่าลงบนพื้นด้วยขาข้างเดียว จากนั้นจึงหยิบไฟแช็กมาแล้วช่วยเซี่ยเจิงจุดบุหรี่มวนนั้น
ก่อนที่บุหรี่จะดับลง เซี่ยเจิงและชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ เซี่ยเจิงสูบไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ทำเพียงแค่มองจนบุหรี่ค่อยๆ ไหม้และกลายเป็ขี้เถ้ายาวออกมา พอถูกเขาเคาะเบาๆ มันก็แตกกระจายไปบนพื้นแล้ว
“กลับบ้านไปเถอะ” หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเซี่ยเจิงก็ฝืนพูดออกมาจนได้ “ฉันไม่เป็ไร”
“ยังจะมาบอกอีกว่าฉันแสดงไม่เก่ง” ชวีเสี่ยวปอดึงก้นบุหรี่ออกมาจากมือของเซี่ยเจิง และกดมันลงไปกับพื้นเพื่อให้มันดับลง “นายก็ไม่ได้แสดงดีอะไรนักหรอก”
เซี่ยเจิงยังคงเงียบ
“นายไม่คิดจะพูดอะไรกับฉันหน่อยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ พร้อมทั้งค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปนั่งพิงกำแพงเหมือนกับเซี่ยเจิง แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยแขนของเซี่ยเจิงเลยแม้แต่วินาทีเดียว
เซี่ยเจิงพยักหน้า แต่ทันในนั้นก็เปลี่ยนเป็ส่ายหน้า
“แบบนี้หมายความว่ายังไง? ” ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจเลยสักนิดแต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะบังคับให้เซี่ยเจิงอธิบายออกมา “คนเมื่อกี้คือใครกันแน่? ”
“เพื่อนบ้านเมื่อสมัยก่อน”
“โตมาด้วยกันจริงๆ เหรอเนี่ย? ” เมื่อได้รับคำตอบยืนยันมาแล้วชวีเสี่ยวปอเองรู้สึกคาดไม่ถึงมากเช่นกัน เขาไม่อยากเชื่อคำพูดของโจวเจ๋อหยวนสักเท่าไหร่ แต่พอเซี่ยเจิงพูดเขาก็เชื่อขึ้นมาแล้ว “ถ้าอย่างนั้น ทำไมนายถึงดูเหมือนจะเกลียดเขามากเลยล่ะ? ”
“ถ้าฉันบอกว่า มีบางเื่ที่ไม่สามารถอธิบายได้” เซี่ยเจิงพิงไปที่ด้านข้าง ทั้งยังทิ้งน้ำหนักครึ่งตัวของเขาลงไปที่ชวีเสี่ยวปออย่างรู้สึกผ่อนคลาย “นายจะเชื่อไหม? ”
“คำพูดที่นายพูด ฉันเชื่ออยู่แล้ว” ไหล่ของชวีเสี่ยวปอแข็งทื่อไปชั่วขณะ แต่ก็คลายลงอย่างรวดเร็ว “เซี่ยเจิง ฉันเข้าใจแบบนี้ได้ใช่ไหมว่า นี่เป็ความลับของนาย? ”
“ใช่แล้ว เป็ความลับ” ทันใดนั้นเซี่ยเจิงก็จับมือของชวีเสี่ยวปอขึ้นมา จากนั้นจึงเขี่ยลงไปบนฝ่ามือของเขาเบาๆ พร้อมทั้งย้ำว่า : “ความลับ”