เล่มที่ 1 บทที่ 3
มู่หรงฉิงพูดถึงปี้เอ๋อร์ก่อนเงียบไปโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดอีก จังหวะนั้นแม่นมฟางกำลังจะต่อประโยคทว่ากลับหมุนตัวหันไปอีกทางอย่างกะทันหันเสียอย่างนั้น พร้ะโกนว่า “คนด้อมๆ มองๆ หลบๆ ซ่อนๆ คนนั้นเป็ใครกัน?”
เสียงะโของแม่นมฟางส่งผลให้หลายคนในห้องต่างเลื่อนสายตามองทันที
“แม่นมฟางอย่าขุ่นเคืองเลย ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าคุณหนูใหญ่ยังไม่มา จึงส่งบ่าวให้มาดู”
เสียงของหลิ่วชิงดังแทรกมาจากด้านนอกผ้าม่าน
“ยังคุกเข่าอะไรอยู่อีก? ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก” แม่นมฟางเอ่ยเร่งยวี้เอ๋อร์ด้วยเสียงต่ำ ในเวลาเดียวกัน นางก็สาวเท้าเดินไปที่ประตู
ยวี้เอ๋อร์ถูกแม่นมฟางตำหนิ นางถึงได้รีบลุกขึ้น เช็ดน้ำตา ก้มศีรษะและยืนด้านหลังมู่หรงฉิง
เป็เวลาเดียวกับที่หลิ่วชิงได้รับการต้อนรับจากแม่นมฟางและสาวเท้าเข้ามา มู่หรงฉิงก็แย้มยิ้ม “รบกวนพี่หญิงแล้ว ข้ากำลังวิตกกังวลอยู่ว่าจะใส่เสื้อผ้าอะไรดี”
หลิ่วชิงและหลิ่วหงเป็ฝาแฝดกัน นอกจากสวยแล้วทั้งคู่ยังฉลาด มีไหวพริบจึงได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่าอย่างมาก
คำพูดของมู่หรงฉิงส่งผลให้ใบหน้ายิ้มแย้มของหลิ่วชิงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ชั่วพริบตาเดียวนางก็กลับมาแย้มยิ้มอีกหน “บ่าวรับรู้ถึงความยากลำบากของคุณหนู แต่เนื่องจากความสามารถของคุณหนูไม่ด้อยไปกว่าฮูหยิน บ่าวคิดว่าคุณหนูจะสามารถแก้ปัญหาในเวลานี้ได้”
หลังจากพูดจบ นางก็มองไปที่เสื้อผ้าบนเตียง
เนื้อผ้าสีชมพูอ่อนปักลายดอกจื่อจิงบานสะพรั่งั้แ่เสื้อคลุมจนถึงส่วนไหล่
ชายแขนเสื้อบริเวณข้อมือกุ๊นขอบด้วยผ้าสีทอง ประดับไข่มุกที่มีขนาดเท่ากัน และใช้ผ้าชนิดเดียวกันพันรอบขอบซึ่งดูดีเป็อย่างมาก
ดอกจื่อจิงบานสะพรั่งกับไข่มุกสีสดใสเป็เครื่องประดับบนชุด นอกจากนั้นก็ไม่มีลายอื่นอีก สีของผ้าก็ดูสง่างามมากอีกด้วย
“ยังจำได้ว่า ก่อนที่ฮูหยินจะจากไป การร่ายรำ ’สุ่ยหยุนเจียน’ ของฮูหยินนั้นเป็เื่ดีในใต้หล้า” หลิ่วชิงถอนสายตาจากการจ้องมอง โดยไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงชุดเสื้อผ้ามากไปกว่านั้น ก่อนหันกลับไปทางมู่หรงฉิงและคำนับ “เกรงว่าแเื่จะมาถึงแล้ว บ่าวจะต้องรีบกลับไปรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวขอตัวลาก่อน ขอคุณหนูใหญ่โปรดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้ จากนั้นไปต้อนรับแเื่ที่ลานเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า”
“รบกวนพี่หลิ่วแล้ว” มู่หรงฉิงขยิบตาให้แม่นมฟาง หญิงสูงวัยจึงรีบหยิบเงินสองสามเหรียญจากแขนเสื้อและเดินไปหาหลิ่วชิง “ลำบากแม่นางหลิ่วแล้ว”
พูดพลางยัดเหรียญเงินลงในมือของหลิ่วชิง
หลิ่วชิงนับจำนวนเงิน หลังจากพูดจาสุภาพกับแม่นมฟางสักสองสามคำ นางก็หันหลังกลับและเดินจากไป
เมื่อเดินใกล้ถึงประตู หลิ่วชิงก็ชะงักฝีเท้า หมุนตัวเดินกลับมายืนอยู่ตรงหน้ามู่หรงฉิง และพูดด้วยเสียงเบาว่า “ฮูหยินไม่้าให้นายท่านรับอนุใน่เวลานั้น คุณหนูใหญ่เคยได้ยินเกี่ยวกับเื่นี้หรือไม่?”
มู่หรงฉิงเลิกคิ้วขึ้นพร้อมมองไปที่หลิ่วชิงด้วยสีหน้างุนงง “พี่หลิ่วหมายความว่าอย่างไรหรือ?”
“ฮูหยินผู้เฒ่าหมายอยากมีลูกหลานเต็มบ้าน” หลังจากพูดจบ หลิ่วชิงก็หยุดคำพูดไปชั่วครู่ราวกับลังเลว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่
“แม่นมจิ่น ช่วยหยิบปิ่นปักผมม้วนด้วยไหมทองที่เพิ่งทำเสร็จ แต่ยังไม่เคยใช้ของข้ามาให้ที” หลิ่วชิงลังเล แต่มู่หรงฉิงรู้ว่าสิ่งที่หลิ่วชิง้าจะพูดถัดจากนี้มีความสำคัญโดยเฉพาะ
มู่หรงฉิงสามารถสรุปได้ว่า ความไม่สบายใจของนางคงเกี่ยวข้องกับคำพูดหลังจากนี้ของหลิ่วชิง
แม่นมจิ่นที่ถูกเรียกให้ไปหยิบปิ่นปักผมทองผงะไปชั่วขณะ ก่อนรีบไปหยิบปิ่นดังกล่าวออกจากกล่องเครื่องประดับ
ทันทีที่แม่นมจิ่นหยิบปิ่นปักผมทองออกมา ดวงตาของหลิ่วชิงก็สว่างวับขึ้นในทันใด
หลิ่วชิงรู้จักเครื่องประดับชิ้นนั้น ในฐานะบุตรสาวคนโตของเรือนใหญ่ เื่อาหารและเสื้อผ้าย่อมดีกว่าลูกอนุมากกว่าอยู่หลายส่วน และแม้กระทั่งเครื่องประดับก็เป็ของชั้นดี
เพียงสังเกตจากลวดลายของปิ่นปักผม จะเห็นลักษณะของดอกยวี้หลาน*ที่กำลังแบ่งบาน หยกขาวเม็ดหนึ่งถูกฝังอยู่ตรงกลางดอกยวี้หลาน ปิ่นปักผมทั้งอันดูเรียบง่าย แต่ยังคงความสง่างามและมีเกียรติ เป็ที่ชื่นชอบของผู้คนโดยแท้
(*ดอกยวี้หลาน คือดอกแมกโนเลีย)
“พี่หลิ่วเป็คนสนิทเคียงข้างฮูหยินผู้เฒ่า ย่อมได้รับสิ่งดีๆ จำนวนมาก ปิ่นปักผมอันนี้ของข้า เกรงว่าพี่หลิ่วจะไม่ชอบแล้ว” หลังจากหยิบปิ่นจากมือของแม่นมจิ่น มู่หรงฉิงลุกขึ้นยืนและเสียบปิ่นปักผมให้หลิ่วชิงด้วยตนเอง
“บ่าวมิบังอาจ คุณหนูมอบรางวัลอันมีค่ามากเกินไป บ่าวจะกล้ารับได้อย่างไร?” ระหว่างพูด หลิ่วชิงรีบยกมือขึ้นและ้าถอดปิ่นปักผมออกจากศีรษะของนาง
“พี่หลิ่วมีรูปร่างหน้าตาเหนือชั้น หรือพี่หลิ่วรังเกียจปิ่นอันนี้ของข้า? กลัวว่าปิ่นอันนี้จะทำให้ความสวยของพี่หลิ่วลดลงหรือ?” มู่หรงฉิงพูดสัพยอกพลางขวางฝ่ามือของหลิ่วชิง คำพูดของมู่หรงฉิงนั้นติดตลกอยู่หลายส่วน
“คุณหนูใหญ่หยอกล้อบ่าวแล้ว บ่าวก็แค่มีหน้าตาที่พอดูได้ก็เท่านั้น จะเทียบกับเหล่าสาวใช้เคียงข้างคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกัน แต่ละคนมีหน้าตาพริ้มเพราสวยงาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณหนูใหญ่ที่สวยติดอันดับสามในสิบสาวงามในเมืองหลวง อยู่ตรงหน้าคุณหนูใหญ่ บ่าวจะเหมาะกับคำว่า ‘เหนือชั้น’ สองคำเสียที่ใด?”
“พี่หลิ่ว อย่าถ่อมตัวนักเลย ั้แ่ท่านแม่ของข้าจากไป ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า ก็มีพี่หลิ่วนี่แหละที่ช่วยพูดสิ่งดีๆ มากมายให้ข้า มันสมเหตุสมผลแล้วและของชิ้นนี้ก็สมควรที่จะมอบให้เป็ของขวัญด้วย”
หลังจากสนทนาด้วยถ้อยคำสุภาพ มู่หรงฉิงก็เปลี่ยนประเด็น “พี่หลิ่วคงไม่รู้ วันนี้เมื่อข้าตื่นนอนขึ้นมา ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกล...”
คำพูดของมู่หรงฉิงแฝงความเศร้าโศกอยู่หลายส่วน ใบหน้าอันบอบบางสวยงามปรากฏความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางเช่นนั้นของมู่หรงฉิงเป็สาเหตุให้หลิ่วชิงลอบถอนหายใจเบาๆ นางยกมือขึ้นแตะปิ่นบนศีรษะของตนเอง และดวงตาของนางก็เป็ประกาย
“พี่หลิ่วรู้หรือไม่ว่าั้แ่ท่านแม่จากไป ข้าก็อยู่ในจวนแห่งนี้ด้วยความยากลำบาก…”
“บ่าวไม่กล้าพูด ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้ดีถึงความยากลำบากของคุณหนูใหญ่ หลายปีมานี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ปัดขจัดฝุ่นให้คุณหนูใหญ่แล้ว ส่วนมุมมรณะที่ยากจะสืบหานั้น หวังว่าคุณหนูใหญ่จะสามารถมองเห็นอย่างกระจ่างและทำความสะอาดด้วยตัวเอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลิ่วชิงถึงตระหนักได้ว่าตนพูดมากเกินไป นางค้อมคำนับมู่หรงฉิงอีกหน หลังจากเอ่ยประโยคสุดท้าย “ั้แ่เช้าตรู่ของวันนี้ สาวใช้ชั้นหนึ่งเคียงข้างคุณหนู ปี้เอ๋อร์และจื่อเอ๋อร์ก็ถูกเรียกตัวไปที่เรือนด้านหน้าเพื่อช่วยงาน สาวใช้รอบข้างคุณหนูจะต้องระแวดระวังให้มากถึงจะถูก”
หลังจากถ้อยคำดังกล่าวสิ้นสุด หลิ่วชิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป แต่นางค้อมศีรษะคำนับอีกหน “บ่าวขอตัวลา”
มู่หรงฉิงรู้ว่ามันไม่ใช่เื่ง่ายที่หลิ่วชิงจะพูดมากถึงเพียงนั้น ใบหน้าของนางเผยความรู้สึกซาบซึ้ง ก่อนเดินไปส่งหลิ่วชิงที่หน้าประตูด้วยตนเอง “พี่หลิ่ว ได้โปรดเรียนท่านย่าให้ทีว่า อีกสักพักข้าก็จะไปถึงแล้ว”
“รับทราบ บ่าวขอตัวลาก่อน”
“คุณหนูใหญ่ ดูเหมือนว่าวันนี้จะต้องไม่สงบเป็แน่” ครั้นเดินกลับเข้าไปในห้อง มู่หรงฉิงก็มองดูเสื้อผ้าบนเตียง สายตาของนางเคร่งขรึมเล็กน้อย ทางด้านแม่นมจิ่นถึงกับขมวดคิ้วจนกลายเป็รอยย่นพลางเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล “จื่อเอ๋อร์ไปที่ห้องครัวใหญ่ั้แ่เช้าตรู่ แต่กลับถูกจัดแจงให้ไปที่เรือนด้านหน้า เมื่อหลายอึดใจก่อนได้ยินสาวใช้จากเรือนด้านหน้าบอกว่า การที่ปี้เอ๋อร์ไปที่เรือนด้านหน้านั้นได้มีการแจ้งให้ทราบไว้ก่อนแล้ว”
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดวันนี้ อนุหนิงเป็คนจัดงานด้วยตัวเอง และการระดมคนทำงานย่อมเป็ความตั้งใจของนางด้วยเช่นกัน
เพียงแต่จื่อเอ๋อร์ไปที่เรือนด้านหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรเลย มันจึงมีบางอย่างแปลกพิกล
“แม่นมฟาง ไปดูสิว่าเวลานี้หลิ่วชิงติดต่อกับใครบ้าง” มู่หรงฉิงรู้สึกตัว นางพูดด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่ต่อแม่นมฟาง “จำไว้ว่าอย่าให้ใครจับได้ จากนั้นไปสังเกตสถานการณ์ที่เรือนด้านหน้า ดูซิว่าในเวลานี้จื่อเอ๋อร์และปี้เอ๋อร์รับใช้แขกคนไหนบ้าง? หลังจากสืบอย่างกระจ่างแล้ว ก็ไปที่ลานสนามหญ้าที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อตามหาข้า”
“รับทราบ บ่าวจะไปดูเดี๋ยวนี้”
แม่นมฟางออกไปอย่างเร่งรีบ ส่วนยวี้เอ๋อร์ก็รับใช้มู่หรงฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่องไว
“หยิบชุดสุ่ยหยุนลายเมฆแขนกว้างนั่นมาให้ที”
แต่เมื่อยวี้เอ๋อร์หยิบเสื้อชุดนั้นขึ้นมา มู่หรงฉิงก็เปล่งเสียงเบา
“แต่ว่า…”
“คำพูดของหลิ่วชิงหมายความว่าหลายวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่า้าให้มีข่าวมงคล ถ้าเดาไม่ผิด ข่าวมงคลนี้ ถ้าไม่ได้มาจากจื่อเอ๋อร์ ก็มาจากปี้เอ๋อร์นั่นแหละ”
แม่นมจิ่นดึงชุดสุ่ยหยุนแขนกว้างลายเมฆออกจากตู้เสื้อผ้าอย่างว่องไว พร้อมขัดจังหวะคำพูดของยวี้เอ๋อร์ซึ่งถือเป็การอธิบายสำหรับอีกฝ่ายด้วย
“ถูกต้อง ถ้าเดาไม่ผิด ข่าวมงคลนี้จะต้องเป็จื่อเอ๋อร์เป็แน่”
ยวี้เอ๋อร์ทำท่าอ้าปาก้าพูดแต่ก็ดูคล้ายหวั่นกลัวที่จะเอ่ย มู่หรงฉิงจึงพูดอย่างอดทน “ยวี้เอ๋อร์ ข้าบอกเ้าหลายครั้งแล้วว่า คนสามารถใจดีได้แต่ต้องไม่โง่งม จิตใจดีมีเมตตานั้นเป็ธรรมชาติของมนุษย์ แต่ความโง่เขลานั้นเป็สิ่งที่น่าเวทนาสำหรับมนุษย์ทุกคน”
ยวี้เอ๋อร์ยังคงไม่เข้าใจ ระหว่างนั้นแม่นมจิ่นได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มู่หรงฉิงเป็ชุดสุ่ยหยุน “ชุดสุ่ยหยุนชุดนี้สีหลักคือสีม่วงหลอมด้วยทอง หวนคิดถึงฮูหยินที่ใส่ชุดนี้ในเวลานั้น ได้สร้างความตื่นตะลึงให้เมืองหลวงจริงๆ”
หลังจากสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่นมจิ่นก็เริ่มเกล้าผมให้มู่หรงฉิงอย่างคล่องแคล่วว่องไว ซึ่งลงตัวกับชุดสุ่ยหยุนลายเมฆอย่างสมบูรณ์
ยามมองเข้าไปในกระจก ภาพสะท้อนบนนั้นคือหญิงงามจิตใจดีและใจกว้าง ั์ตาสงบเ็าเล็กน้อย ด้วยการแต่งตัวทำให้ดูอ่อนโยนอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน มิหนำซ้ำยังช่วยเพิ่มความสง่างามเนื่องจากความเ็าในดวงตา
“ปี้เอ๋อร์มีความทะเยอทะยานสูง ย่อมไม่เต็มใจที่จะเป็บ่าวร่วมนอนกับนายท่าน ที่ไม่มีตำแหน่งให้เช่นนั้น สำหรับจื่อเอ๋อร์ นางคิดที่จะแต่งงานกับสามัญชนธรรมดาทั่วไปและมีตำแหน่งเป็ภรรยาเอก นางยิ่งไม่เต็มใจที่จะเป็บ่าวร่วมนอนของนายท่าน จากมุมมองตรงนี้เกรงว่าอนุหนิงหมายจะให้นายท่านเลือกหนึ่งคนในสองคนนี้เพื่อจัดการกับคุณหนูใหญ่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคนทรยศคุณหนูใหญ่ก็คือหนึ่งในสองคนนี้ และเป้าหมายของการทรยศหักหลังคุณหนูใหญ่ก็เพื่อจะได้ทำงานร่วมกันกับอนุหนิง เพื่อให้ได้ผลประโยชน์อย่างที่้าอย่างไรล่ะ”
หลังจากประคองมู่หรงฉิงให้ลุกขึ้นยืน แม่นมจิ่นได้มองสังเกตั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางพูดวิเคราะห์ด้วยดวงตาเป็ประกาย
มีความละม้ายคล้ายคลึงกัน มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก เดิมคุณหนูใหญ่ก็มีหน้าตาประพิมพ์ประพายคล้ายฮูหยินอยู่ห้าในสิบส่วน แต่เมื่อด้วยคุณหนูใหญ่แต่งตัวเช่นนี้ มันยิ่งเสริมให้คุณหนูละม้ายคล้ายคลึงกับฮูหยินถึงเจ็ดในสิบส่วน
ครั้นหวนคิดถึงฮูหยิน ดวงตาทั้งสองข้างของแม่นมจิ่นถึงกับน้ำตาซึม ถ้าฮูหยินไม่ได้จากไปเร็ว ใน่หลายปีที่ผ่านมา คุณหนูใหญ่จะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเสียที่ใดกัน?
“กลัวก็แต่ว่า จิตมุ่งหมายของอนุหนิงจะมีมากกว่านั้น” น้ำเสียงเ็าแฝงความวิตกกังวลเล็กน้อย “ไปดูสถานการณ์ที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากันก่อนเถอะ ข้าแค่หวังว่าวันนี้จะไม่ใช่วันสุดท้ายของทั้งสองคนนั้น”
พูดจบแม่นมจิ่นก็ช่วยประคองมู่หรงฉิงออกจากห้อง แต่ยวี้เอ๋อร์ที่ได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิงกลับเบิกตากว้างราวกับว่านางไม่เชื่อว่าคำพูดนั้นจะออกมาจากปากของมู่หรงฉิง
“คุณหนูใหญ่ เมื่อครู่ท่าน ท่าน…” ยวี้เอ๋อร์วิ่งตามหลายก้าวขณะสีหน้าปรากฏความหวั่นกลัว
“ยวี้เอ๋อร์ ข้าจะพูดกับเ้าอีกครั้ง” หลังจากหยุดฝีเท้า มู่หรงฉิงมองไปทางยวี้เอ๋อร์ด้วยสายตาเ็า “ถ้าเ้าโง่เง่าเช่นนี้อีก ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เ้าอยู่เคียงข้างข้าได้จริงๆ การที่เ้าเป็เช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็การทำร้ายข้าเท่านั้น แต่ยังทำให้ชีวิตของเ้าตกอยู่ในอันตรายด้วยเช่นเดียวกัน”
มู่หรงฉิงเอ่ยเช่นนั้นก่อนสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าและจากไป
แม่นมจิ่นหันมองยวี้เอ๋อร์ ดวงตาที่แสดงถึงความสับสนของยวี้เอ๋อร์ทำให้นางต้องส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
ยวี้เอ๋อร์และจื่อเอ๋อร์มีความสัมพันธ์เช่นพี่สาวน้องสาว ทั้งคู่มีความคิดรอบคอบ เพียงแต่ยวี้เอ๋อร์ตอบสนองเชื่องช้ากว่าเมื่อเทียบกับจื่อเอ๋อร์
สาเหตุที่มู่หรงฉิงเก็บยวี้เอ๋อร์ไว้เคียงข้างให้เป็บ่าวระดับหนึ่ง ประการแรกคือ ยวี้เอ๋อร์เป็คนซื่อสัตย์ และอีกประการหนึ่ง ด้วยยวี้เอ๋อร์มีความรอบคอบ ในมุมมองของมู่หรงฉิง ความไร้ไหวพริบเป็ครั้งคราวของยวี้เอ๋อร์นั้นจะค่อยๆ ลดลงเมื่ออยู่ภายใต้การแนะนำของจื่อเอ๋อร์
แต่อย่างไรก็ดี ดูเหมือนสถานการณ์จะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สาวใช้เช่นยวี้เอ๋อร์ เกรงว่าจะไม่สามารถเก็บไว้ให้อยู่เคียงข้างนางได้อีกต่อไปแล้ว ปล่อยให้คนโง่และซื่อสัตย์อยู่เคียงข้าง จะเป็การทำร้ายทั้งคนอื่นและตัวเองเสียเปล่าๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้