เล่มที่ 1 บทที่ 2
ภาพเบื้องหน้าคือพระศรีอริยเมตไตรยเปิดจีวร มีพัดอยู่ในพระหัตถ์ นั่งขัดสมาธิบนฟูก รอยยิ้มบนพระพักตร์เปี่ยมไปด้วยเมตตาและจิตใจดี
ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อนขณะที่ไปวัดผู่เทียนเพื่อสักการะ ฮูหยินผู้เฒ่าได้เอ่ยขึ้นว่า ‘พระพุทธรูปองค์นี้ ยิ้มอย่างมีความสุขจริงแท้ ถ้าเ้ารู้สึกอึดอัดตรงไหน ััตรงนั้น แล้วก็จะหายดีเป็ปลิดทิ้ง’
ใน่เวลานั้นประจวบเหมาะกับที่มู่หรงฉิงกำลังลังเลใจถึงของขวัญวันคล้ายวันเกิดสำหรับฮูหยินผู้เฒ่า ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำของหญิงชรา จึงเกิดความคิดในใจ หลังจากกลับมาถึงจวน นางก็หาด้ายสีทองชั้นดี บรรจงปักทีละเข็ม ทีละเส้น โดยพยายามปักผ้าด้วยลวดลายสองด้านจนสามารถสำเร็จลุล่วงภายในเดือนสาม
“ฮูหยินผู้เฒ่า งานปักลายพระพุทธรูปองค์นี้ได้รับการปลุกเสกเบิกเนตร โดยเ้าอาวาสหวูวู่แห่งวัดผู่เทียน เ้าอาวาสกล่าวว่า งานปักลายพระพุทธรูปองค์นี้สามารถแขวนไว้ในพระอุโบสถได้ จะเก็บไว้เคารพบูชาก็เหมาะสม”
แม่นมฟางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาเมื่อเห็นดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเป็ประกาย
ได้ฟังถ้อยคำของแม่นมฟาง ั์ตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็ปรากฏความตกตะลึงเพิ่มมากขึ้น “เ้าอาวาสวัดผู่เทียนเป็ผู้ทำการปลุกเสกเบิกเนตรด้วยตัวท่านเองกระนั้นหรือ?”
วัดผู่เทียนไม่ใช่วัดธรรมดาทั่วไป นั่นเป็วัดหลวงเชียว และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าจะสามารถเชิญเ้าอาวาสหวูวู่ให้ทำการปลุกเสกเบิกเนตรตามใจปรารถนาได้ง่ายๆ
ครั้นเลื่อนสายตามองไปทางมู่หรงฉิง ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างตนด้วยรอยยิ้มจางๆ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกเพียงว่า สิ่งนี้เป็สิ่งที่ช่างเหลือเชื่อเกินไป
แต่หลังจากแม่นมฟางพูดจบ นางก็เดินกลับมายืนอยู่ด้านหลังมู่หรงฉิง โดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดอีกต่อไป นางเพียงเฝ้าดูและฟังเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ทันได้เอ่ยถาม ก็ได้ยินเสียงดังแว่วเข้ามา หว่างคิ้วขมวดเล็กน้อย โบกมือให้หลิ่วชิงนำงานปักสองด้านอันล้ำค่านี้ไปเก็บ
หลังจากหลิ่วชิงนำงานปักสองด้านเข้าไปเก็บยังด้านใน มู่หรงยวี่และอนุหนิงก็กรีดกรายย่างก้าวเข้ามาพร้อมกัน ส่วนผู้ที่เดินตามมาด้านหลังคือ มู่หรงฮ่าวผู้มีรูปร่างสูงใหญ่
“ปี้เชี่ย[1]น้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า ขออวยพรให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุยืนยาว ไม่มีวันแก่เฒ่า”
“หลานขออวยพรให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุข สุขภาพแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน”
“หลานขออวยพรให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีโชคลาภวาสนาดั่งมหาสมุทรบูรพา มีความเจริญรุ่งเรืองดั่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีอายุมั่นขวัญยืนดุจต้นสนและนกกระเรียน์ ไม่มีวันแก่ชรา มีชีวิตชีวาดั่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง และมีความสุขตลอดไป”
อนุหนิง มู่หรงยวี่และมู่หรงฮ่าวต่างกล่าวทักทายพร้อมกล่าวคำอวยพรฮูหยินผู้เฒ่าตามลำดับ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยสั่งหลิ่วหงยกน้ำชาให้ทั้งสามคนด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเป็มิตร
“ฮูหยินผู้เฒ่ามีเกียรติอันสูงส่ง ปี้เชี่ยไม่รู้ว่าจะให้ของขวัญแก่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็อะไรดี หลังจากเลือกแล้วเลือกอีก ก็จำต้องเลือกหยกขาวแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมชิ้นนี้ ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดอย่ารังเกียจเลย”
ระหว่างพูด สาวใช้ด้านข้างอนุหนิงได้มอบกล่องของขวัญส่งให้หลิ่วหงเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
หลิ่วหงหยิบหยกขาวแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมออกมา มือของรูปสลักพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมกำลังถือขวดหยกในท่วงท่าเป็มิตรและเงียบสงบ สำหรับหยกซึ่งใช้ในการแกะสลักนั้นเป็หยกอุ่นเหอเถียนที่หายาก
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่ารับหยกขาวแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมจากหลิ่วหง ก็ััได้ถึงความอบอุ่นของหยกทันที เนื้อหยกใสปราศจากร่องรอยตำหนิใดๆ
เป็สิ่งของล้ำค่าระดับสูงซึ่งหายากจริงแท้
หลิ่วชิงที่เดินออกมาในเวลาเดียวกัน เบะปากใส่โดยปราศจากร่องรอย
แม้หยกขาวแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมชิ้นนี้จะดี ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ดีเท่ากับงานปักลายสองด้านที่คุณหนูใหญ่บรรจงทำด้วยตัวเอง
“อนุหนิงใช้เงินไปเยอะแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ามอบหยกขาวแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมให้หลิ่วหง และไม่ได้แลมองอีก
แม้เนื้อหยกจะดีเลิศ แต่ก็ไม่อาจเทียบเทียมความรู้สึกรักที่แท้จริงของงานปักลายสองด้านของมู่หรงฉิงซึ่งปักด้วยมือของเด็กสาว นอกจากนั้นเมื่อหลายอึดใจก่อน แม่นมฟางก็ได้เอ่ยปากแล้ว งานปักนั้นเป็งานปักลายที่เ้าอาวาสหวูวู่ได้ทำการปลุกเสกเบิกเนตรด้วยตัวเอง แม้ไม่รู้ว่าเื่จริงหรือเท็จ ฉะนั้นคงต้องส่งคนไปสอบถามเสียแล้ว
“หลายวันนี้ ยวี่เอ๋อร์เรียนวาดภาพกับท่านอาจารย์เฉิงอย่างหนัก ได้วาดภาพลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมืองด้วยตัวเอง เพื่อขออวยพรให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง และเปี่ยมไปด้วยความผาสุก”
เมื่อเห็นสีหน้าจางๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า อนุหนิงชักรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเสียแล้ว หยกขาวแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมนี้เป็สมบัติอันล้ำค่าจากครอบครัวฝ่ายบิดามารดาของตนที่หามาให้ นอกจากมีมูลค่าแล้ว มันยังเป็สิ่งของมีค่าที่หายากมากอีกด้วย
สมบัติอันล้ำค่าเช่นนั้น ไม่เข้าตาฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไรกัน?
เริ่มไม่มีความมั่นใจ นางรีบขยิบตาให้มู่หรงยวี่ ทันทีที่ได้รับสัญญาณจากอนุหนิง มู่หรงยวี่ก็รีบหยิบภาพวาดออกมา ก่อนที่จะคลี่เปิดภาพวาดด้วยตัวเอง
เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากำลังนั่งอยู่ในลานเรือนด้านในอันโอ่อ่าด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยเมตตา ภายในลานบ้านมีเด็กจำนวนมากนับไม่ถ้วน โดยมีอายุที่คละกัน ภาพวาดนั้นเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งความผาสุกและความปรองดอง ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า ‘มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง’
ภาพวาดตรงหน้าก็ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน ภาพหญิงสูงวัยดูมีความสุขุมเยือกเย็น มีความละม้ายคล้ายคลึงกับฮูหยินผู้เฒ่าถึงสามในสิบส่วน ครั้นสังเกตมองรายละเอียดอย่างระมัดระวัง จะเห็นภาพวาดมีความละเอียดอ่อน โดยมีการบรรจงวาดทีละเส้นๆ กลายเป็ภาพ และแม้กระทั่งรอยพับเล็กๆ บนเสื้อคลุมก็ถูกวาดได้อย่างพิถีพิถัน
จะเห็นได้ว่า ภาพวาดนี้ได้รับความเอาใจใส่เป็อย่างยิ่ง
ทายาทแห่งจวนกวงลู่ซื่อชิงนั้นมีจำนวนไม่มาก เรือนใหญ่มีบุตรชายหนึ่งคน บุตรีหนึ่งคน บุตรชายนั้นคือ มู่หรงซิวซึ่งอยู่ชายแดนอันไกลโพ้น ส่วนบุตรีนั้นคือ มู่หรงฉิง ทางด้านอนุของมู่หรงอั้นแห่งจวนกวงลู่ซื่อชิง มีอนุหนิงเพียงคนเดียว ในเวลานี้ อนุหนิงก็มีบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคนด้วยเช่นกัน บุตรอนุคือ มู่หรงฮ่าวและบุตรีอนุคือ มู่หรงยวี่
มู่หรงฉิงเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามองภาพวาดลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองอย่างระมัดระวังด้วยรอยยิ้ม ั์ตาใสดุจหยดน้ำเป็ประกาย
“หลานไม่มีความใส่ใจในรายละเอียดเช่นน้องหญิง จึงต้องหาเทพผู้มีอายุยืนเช่นนี้ เพียงหวังให้ท่านย่าจะมีอายุยืนและมีสุขภาพที่ดีตลอดไป”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มอย่างสุดซึ้ง มู่หรงฮ่าวจึงหยิบพระพุทธรูปหยกออกมาด้วยความว่องไว
กล่าวกันว่าพระพุทธรูปหยกเป็พระพุทธเ้า แต่ก็ไม่นับว่าเป็นัก ภาพชายชราในชุดหลากสีสันถือลูกท้อในมือซ้ายและถือไม้เท้าในมือขวา บนไม้เท้าแขวนน้ำเต้าหนึ่งลูก เปลือกน้ำเต้านั้นแกะสลักคำว่า ‘อายุยืนยาว’ ชายชรายิ้มอย่างสดใส ดวงตาแคบลงจนกลายเป็เส้นหนึ่งเส้นเท่านั้น
นี่ ไม่ใช่เทพแห่งอายุขัยหรือ?
ครั้นเห็นดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเป็ประกาย มู่หรงฉิงรู้ว่าอนุหนิงเก่งกาจมากกว่าที่นางคิดเสียด้วยซ้ำ
งานปักลายสองด้านของนางใช้ด้ายสีทอง มากไปกว่านั้น การปักสองด้านนี้เป็สิ่งที่หายากในใต้หล้า ดังนั้น การแสดงความจริงใจถึงสำคัญมากเพียงใด
ใน่หลายปีที่ผ่านมา อนุหนิงอาศัยความจริงที่ว่า ครอบครัวฝ่ายบิดามารดาของนางเป็ครอบครัวพ่อค้าทำกิจการ มีทั้งความมั่งคั่งทั้งชื่อเสียง นางจึงนำของล้ำค่าและของขวัญมากมายมอบให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อเอาใจ
เช่นเดียวกับหยกขาวแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์เ้าแม่กวนอิมนั่น
สำหรับในวันคล้ายวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของฮูหยินผู้เฒ่า มู่หรงฉิงไม่คาดคิดเลยว่า อนุหนิงจะเรียนรู้ประสบการณ์จากปีก่อนๆ
เช่นเดียวกัน ต่อให้อนุหนิงพยายามเอาใจก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไรขึ้นมา แต่ในทางกลับกัน มันทำให้บุตรชายและบุตรสาวของนางได้รับการยอมรับจากฮูหยินผู้เฒ่าเสียอย่างนั้น
“เอาล่ะ พวกเ้ามีความตั้งใจจริงแท้ นั่งลงกันเถิด หลิ่วชิงยืนขึ้น แล้วไปชงชาให้คุณหนูรองและคุณชายรองที”
ฮูหยินผู้เฒ่าวางหยกเทพแห่งอายุขัยหลากสีกลับเข้าไปในกล่องอย่างระมัดระวัง อากัปกิริยาของนางดูเหมือนว่าจะชอบมากจนวางมันไม่ลง
“โธ่! วันนี้ชุดของพี่หญิงเรียบเกินไปอยู่หลายส่วน พี่ก็ดูสิว่าวันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดปีที่ห้าสิบของท่านย่า จะมีแเื่มีหน้ามีตามาร่วมงานเป็จำนวนมาก พี่หญิงแต่งตัวเช่นนี้ อย่าสร้างปัญหากับแขกที่มาร่วมงานก็แล้วกัน”
หลังจากการกล่าวตักเตือนของมู่หรงยวี่ พร้อมด้วย ‘อาการใ’ มู่หรงฉิงถึงตระหนักได้ในภายหลังว่า มู่หรงยวี่ยังคงสวมชุดเดิม
ก่อนหน้าที่บอกว่าจะกลับเรือนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะ...
หลังจากคิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง มู่หรงฉิงก็เข้าใจอย่างกระจ่าง
ดวงตาทั้งสองข้างของนางสบกับแววตาเย่อหยิ่งแฝงความภาคภูมิใจของมู่หรงยวี่ ก่อนกวาดสายตามองไปทางอนุหนิงผู้ซึ่งแสร้งทำเป็ครุ่นคิด จากนั้นกวาดสายตามองไปที่มู่หรงฮ่าว มู่หรงฉิงจับได้ว่าดวงตาของมู่หรงฮ่าวปรากฏความตื่นเต้นออกมา
ในท้ายที่สุด สายตาของมู่หรงฉิงก็ไปตกที่ฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งในดวงตาปรากฏว่ากำลังครุ่นคิด “ฉิงเอ๋อร์ประมาทแล้ว ฉิงเอ๋อร์จะกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้”
“อืม เ้าไปเถอะ เ้าจงกลับมาที่นี่ก่อนแขกมาถึงก็แล้วกัน” น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่า แม้ฟังดูแล้วคล้ายไม่ได้ตำหนิ แต่ก็ไม่มีความใกล้ชิดเช่นก่อนหน้า
มู่หรงฉิงลุกขึ้นเดินออกไปภายใต้การจ้องมองอย่างมีชัยของมู่หรงยวี่
“คุณหนูใหญ่ อีกไม่กี่วันก็จะครบสามปีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ารู้เื่นี้แล้ว แต่เหตุใดถึงยังตามใจคุณหนูรองเช่นนั้นล่ะ?”
ยวี้เอ๋อร์ขุ่นเคืองอย่างมิอาจทนได้อีกต่อไป นางหยิบเสื้อผ้าด้วยความกรุ่นโกรธ
“ยวี้เอ๋อร์ อย่าพูดมาก”
มู่หรงฉิงนั่งเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร หลังจากกลับมาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าจวบจวนถึงขณะนี้ มู่หรงฉิงยังคงไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด เมื่อได้ยินคำบ่นที่ไม่รู้หนักรู้เบาของยวี้เอ๋อร์ แม่นมฟางจึงดุด้วยน้ำเสียงต่ำ ก่อนรีบเดินออกไปนอกประตูเพื่อมองสำรวจสภาพโดยรอบๆ “แม่นมจิ่น จื่อเอ๋อร์ยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
“ใช่ ไปเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว แม้จะลอบเรียนศิลปะ ถึงกระนั้นก็ได้เวลากลับมาแล้ว มิหนำซ้ำวันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า เ้าเด็กคนนั้นช่างไม่รู้หนักรู้เบาจริงๆ” แม้แม่นมจิ่นจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของมู่หรงฉิง นางก็พอคาดเดาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เบาเป็แน่
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” แม่นมจิ่นเข้ามาในเรือนและยืนอยู่หลังประตู จากนั้นเอ่ยถามแม่นมฟางด้วยเสียงเบา
“งานปักสองด้านของข้า มีแค่ยวี้เอ๋อร์ จื่อเอ๋อร์ ปี้เอ๋อร์ แม่นมฟาง แม่นมจิ่นเท่านั้นที่รู้”
แม่นมฟางยังคงไม่ได้ปริปากอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่นมจิ่น ทางด้านมู่หรงฉิงผู้ซึ่งนั่งนิ่งโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดก็เปล่งเสียงพูดอย่างแ่เบา
“งานปักสองด้านหรือ?” แม่นมจิ่นได้ยินแล้วก็ประหลาดใจ “ก็ใช่น่ะสิ ทักษะการปักสองด้าน เป็ทักษะที่ฮูหยินสอนคุณหนูเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ในใต้หล้าเวลานี้ ผู้ที่สามารถปักสองด้าน เกรงว่าอย่างมากก็หาได้อีกเพียงสามคนเท่านั้น”
มู่หรงฉิงมักจะสงบนิ่งยามปกติ แน่นอนว่าจะไม่ป่าวประกาศเื่ทักษะการปักสองด้านให้ผู้อื่นรู้ และของขวัญวันคล้ายวันเกิดสำหรับฮูหยินผู้เฒ่าในคราวนี้ มู่หรงฉิงก็คิดได้โดยบังเอิญเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นนางก็ลอบปักอยู่ในเรือนทั้งวันโดยไม่ป่าวประกาศให้ผู้อื่นล่วงรู้
“คนของอนุหนิงจะต้องรู้เื่ของขวัญของคุณหนูเป็แน่” ดวงตาของแม่นมฟางเ็า และสายตาที่เ็าของนางก็เลื่อนไปทางยวี้เอ๋อร์
เดิมยวี้เอ๋อร์ก็เป็คนฉลาดอยู่แล้ว ครั้นเห็นทั้งสามคนพูดเช่นนั้น นางก็รีบวางเสื้อผ้าไว้บนเตียง หมุนตัวและคุกเข่าลงตรงหน้ามู่หรงฉิง “คุณหนูโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง ั้แ่ยวี้เอ๋อร์เริ่มติดตามคุณหนู ยวี้เอ๋อร์ก็ไม่มีใจคิดคด ยวี้เอ๋อร์ภักดีต่อคุณหนูชั่วชีวิต และจะไม่ทำสิ่งใดเพื่อทรยศต่อคุณหนูอย่างแน่นอน”
ยวี้เอ๋อร์คุกเข่าลงแทบเท้า โขกศีรษะด้วยอาการสั่นเล็กน้อย
ขณะมองตัวสั่นเทาของยวี้เอ๋อร์ ความเ็ปในดวงตาของมู่หรงฉิงก็ปรากฏแวบหนึ่ง สีหน้าของมู่หรงฉิงทำให้แม่นมจิ่นรีบก้าวเท้าไปข้างหน้า พร้อมตำหนิยวี้เอ๋อร์ด้วยเสียงต่ำ “ยวี้เอ๋อร์ คุณหนูจิตใจดีั้แ่ยังเยาว์วัย แม้ยามปกติจื่อเอ๋อร์จะไม่มีขอบเขตอย่างไร แต่คุณหนูก็แค่พูดด้วยเสียงเบาเพียงไม่กี่คำ ถ้าเ้าไม่ได้ทำอะไรที่ขัดต่อใจ เ้าจะคลานบนพื้นและตัวสั่นคล้ายตะแกรงเช่นนี้ทำไมกัน”
“แม่นมจิ่นพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก เ้าเด็กเ่าั้มักจะไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอยู่แล้ว” แม่นมฟางมักไม่เห็นด้วยกับความเมตตาของมู่หรงฉิง เมื่อคิดถึงอนุหนิงคนนั้น คุณหนูใหญ่ผู้มีจิตใจดีจะต่อกรได้อย่างไร? “ถ้าสาวใช้เคียงข้างคุณหนูใหญ่เหล่านี้ยังคงไม่ระแวดระวัง สักวันหนึ่งพวกนางจะต้องเป็สาเหตุให้คุณหนูต้องตกอยู่ในอันตรายเป็แน่”
“แม่นมจิ่น…” มู่หรงฉิงเรียกขานแม่นมจิ่นซึ่งกำลังจะอ้าปากพูด ให้เดินมาหาตน
“คุณหนูมีอะไรให้บ่าวรับใช้หรือ?” แม่นมจิ่นมองมู่หรงฉิงอย่างเวทนา “คุณหนูคิดอะไรออกแล้วใช่หรือไม่?”
นางมองแม่นมจิ่นซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า หัวใจที่เ็าของมู่หรงฉิงพลอยรู้สึกอบอุ่นขึ้นในทันใด “แม่นมเป็แม่นมของข้า ข้าย่อมไม่สงสัยแม่นม แต่แม่นมฟางล่ะ?”
นางสบประสานกับแววตาใจดีซึ่งปรากฏแฝงอยู่ในความเคร่งขรึม “ก่อนที่ท่านแม่จะจากไป แม่นมฟางคอยดูแลอยู่เคียงข้างท่านแม่สุดหัวใจ หลังจากท่านแม่จากไป แม่นมฟางเวทนาข้าที่ไม่มีแม่ ก็เลยอยู่ดูแลข้า...” หลังจากเว้นจังหวะชั่วครู่ มู่หรงฉิงก็พูดต่อ “แม่นมฟางเข้มงวดในชีวิตประจำวัน ข้ารู้ถึงเหตุผลในนั้น”
มู่หรงฉิงหยุดพูดหลังเอ่ยจบ จากนั้นเลื่อนสายตามองยวี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น “ยวี้เอ๋อร์และจื่อเอ๋อร์ต่างก็เป็คนที่ท่านแม่เลือกให้อยู่เคียงข้างข้ามาั้แ่ข้าอายุได้ห้าขวบ ท่านแม่เป็คนเลือกด้วยตัวเอง ส่วนปี้เอ๋อร์...”
เมื่อพูดถึงปี้เอ๋อร์ มู่หรงฉิงก็หยุดพูดอีกหน
แต่เดิมปี้เอ๋อร์เป็สาวใช้ทำงานหนักในเรือนของมู่หรงฉิง หลังจากท่านแม่จากไป มู่หรงฉิงจึงอยู่แต่ในห้องโถงไว้ทุกข์ทั้งวันทั้งคืน คุกเข่าและปกป้องจิติญญาของท่านแม่และเพื่อพี่ชายซึ่งได้รับข่าวล่าช้าเป็เวลาเจ็ดวันเต็ม
ใน่เวลาเจ็ดวัน นางไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่นอน... แม้แต่คนเหล็กก็มิอาจทนได้ มากไปกว่านั้นมู่หรงฉิงเป็เด็กสาวที่มีอายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น
ใน่เวลานั้น ทั้งยวี้เอ๋อร์ จื่อเอ๋อร์ แม่นมจิ่นและแม่นมฟางต่างก็ยุ่งอยู่กับงานจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ ปี้เอ๋อร์ซึ่งเดิมเป็สาวใช้ทำงานหนักในเรือนจึงถูกจัดแจงให้รับใช้เคียงข้างมู่หรงฉิง
ั้แ่นั้นเป็ต้นมา มู่หรงฉิงได้เลื่อนตำแหน่งปี้เอ๋อร์ขึ้นเป็สาวใช้ระดับหนึ่ง
ก่อนที่นางจะเลื่อนตำแหน่งปี้เอ๋อร์ มู่หรงฉิงได้ตรวจสอบแล้วว่าปี้เอ๋อร์มีพื้นหลังที่สะอาดเอี่ยม เป็เด็กสาวจากครอบครัวยากจน ซึ่งเข้าจวนมาได้ไม่นาน ด้วยสาเหตุนี้ นางจึงเลื่อนตำแหน่งให้ปี้เอ๋อร์อย่างวางใจ…
---------------------------------------
[1] ปี้เชี่ย ใช้เรียกตัวเองของอนุภรรยาหรือบ่าวรับใช้ เวลาพูดกับคนที่มีตำแหน่งสูงกว่า อายุมากกว่า หรือพูดกับสามีตัวเอง