เล่มที่ 1 บทที่ 1
ชายกระโปรงสีเขียวอมฟ้าอ่อนยาวเรียดพื้นกระเบื้องสีหมึกดำมันวาวซึ่งช่วยเน้นสีสดใสของกระโปรงให้ดูนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น เท้ากลีบบัวย่างเหยียบลงบนพื้นเบาๆ โดยปราศจากเสียง แต่ทุกย่างก้าวยามย่ำเดินวนไปวนมากลับเผยให้เห็นถึงความกังวลใจ
“แม่นมจิ่น ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาก เป็ความรู้สึกที่มักเกิดขึ้นทุกครั้งก่อนจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดี วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของท่านย่า อาจจะเกิดเหตุการณ์อะไรไม่ดีหรือไม่?”
มู่หรงฉิงอยู่ในชุดเสื้อยาวสีแดงอมชมพู ชายกระโปรงสีเขียวอมฟ้าอ่อนปักลายรูปดอกกล้วยไม้บานสะพรั่งสองสามดอก เอวคอดถูกคาดด้วยเข็มขัดเงินที่ทอประกายแวววับภายใต้แสงอรุณรุ่ง ทำให้มันดูสวยงามเป็อย่างมาก
่แขนเสื้อปักด้วยลายเส้นสีอ่อน แม้การแต่งกายโดยรวมจะดูเรียบง่ายและสง่างาม แต่กลับไม่สูญเสียความอ่อนเยาว์สดใสและงดงาม
โดยเฉพาะผมยาวตรงซึ่งถูกตรึงไว้ด้วยปิ่นกลวงรูปจันทร์เสี้ยวสีขาวเรียบง่าย เสริมให้เส้นผมสีดำขลับยิ่งดูงดงามจับตาจับใจคน
“คุณหนูวางใจเถิด วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า อนุหนิงคนนั้นจะเล่นกลอะไรได้” แม่นมจิ่นมองมู่หรงฉิง ผู้ซึ่งออกอาการกระวนกระวายใจ เดินไปเดินมาในห้อง จึงเปล่งเสียงเพื่อปลอบประโลม
“นั่นสิ ในวันเข้าพิธีปักปิ่น เมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ด้วยกลอุบายที่อนุหนิงเคยทำไว้ ก็ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้ผลหรือ ในใต้หล้าความชั่วไม่อาจเอาชนะความชอบธรรมได้ เ้าปีศาจและสัตว์ประหลาดนั่น จะออกอาละวาดได้ตลอดเวลาเช่นนั้นได้เสียที่ใดกัน”
ในจังหวะที่แม่นมจิ่นพูดจบ แม่นมฟางก็สาวเท้าเข้ามาโดยมีชามถั่วแดงอยู่ในมือ นางจึงได้เอ่ยต่อจากคำพูดของแม่นมจิ่น
“ถึงกระนั้น วันนี้ข้าก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี...”
“ในหลายวันมานี้ ด้วยคุณหนูถูกอนุหนิงวางกับดักเล่นงานมาหลายหน คุณหนูจึงไม่สบายใจ วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า อนุหนิงคนนั้นคงจะต้องกินหัวใจหมีและเสือดาวเท่านั้น ถึงจะอาจหาญทำอะไรในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า” ยวี้เอ๋อร์หยิบถั่วแดงต้มจากในมือของแม่นมฟาง ก่อนดูแลให้มู่หรงฉิงรับประทานอาหารเช้า
น้ำเสียงปลอบประโลมอันอ่อนโยนของแม่นมจิ่น แม่นมฟาง รวมถึงยวี้เอ๋อร์ กลับไม่ได้ทำให้ความไม่สบายใจระคนวิตกกังวลของมู่หรงฉิงลดลงแม้แต่น้อย หลังจากคิดพิจารณาในอีกแง่มุมหนึ่ง ถึงแม้อนุหนิงอยากจะทำร้ายนาง แต่เกรงว่าอนุหนิงคงจะไม่เลือกลงมือทำอะไรในวันสำคัญเช่นนี้ เพราะนั่นนับเป็การไม่ให้เกียรติท่านย่าเป็อย่างมาก
ณ ปัจจุบันเรือนด้านในยังคงอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมและการจัดการของท่านย่า อนุหนิงจะทำอะไรย่อมต้องคิดคำนึงถึงท่านย่า ด้วยสาเหตุนี้ จึงต้องลอบใช้กลอุบายบางอย่าง แต่อนุหนิงคนนั้นฉลาดมาก นางไม่ทิ้งหลักฐานใดๆ ไว้แม้แต่น้อย ขณะเดียวกันแม้มู่หรงฉิงจะสามารถหลบหลีกอันตรายทุกคราได้อย่างหวุดหวิด ถึงกระนั้นนางก็ทำอะไรกับมันไม่ได้เลย
หลังจากทานถั่วแดงต้มไปครึ่งชาม ด้วยเพราะความกังวลใจเด็กสาวก็ทานต่อไปไม่ลงอีกแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไป “ถึงเวลาไปคำนับท่านย่าแล้ว”
วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าในจวนกวงลู่ซื่อชิง ซึ่งมีศักดิ์เป็ย่าของมู่หรงฉิง
“จื่อเอ๋อร์ เ้าเด็กคนนั้นบอกว่าจะไปเอาขนมซิ่งเหรินให้คุณหนูได้ทานพร้อมกับถั่วแดงต้ม แต่นี่เวลาผ่านไปถึงครึ่งชั่วยามแล้ว ก็ยังไม่เห็นเ้าเด็กคนนั้นกลับมาอีก” ยวี้เอ๋อร์เดินตามด้านหลังพลางพูดกับแม่นมจิ่นด้วยเสียงเบา
“เ้าเด็กคนนั้นตะกละตะกลาม หลังจากกลับจากการไปคำนับท่านย่า นางก็คงจะกลับมาพร้อมขนมซิ่งเหรินอุ่นๆ กระมัง” ยวี้เอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เบามาก ถึงกระนั้นมู่หรงฉิงผู้ซึ่งก้าวเท้าออกมาแล้ว ก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย พร้อมเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“คุณหนูก็ตามใจเ้าเด็กคนนั้นมากเกินไป คุณหนูดูสิ นางไม่รู้จักขอบเขตแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง แม่นมฟางก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวตักเตือนอีกหน “คุณหนูใหญ่ตามใจบ่าวพวกนี้มากเกินไป วันใดวันหนึ่งในไม่ช้าก็เร็วอาจเกิดปัญหาใหญ่ได้”
มู่หรงฉิงดีกับคนของตัวเองเป็อย่างมาก และนั่นเป็สาเหตุทำให้แม่นมฟางไม่คิดจากไปแม้ฮูหยินได้สิ้นลมหายใจไปแล้วก็ตาม นางอาสาที่จะอยู่ต่อเพื่อดูแลมู่หรงฉิง
เมื่อหวนนึกถึงฮูหยิน แม่นมฟางถึงกับน้ำตาคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว
“นางเป็คนตะกละตะกลามก็จริง แต่ถึงอย่างไร นางก็ลอบเรียนรู้ทักษะการทำอาหารจากห้องครัวใหญ่ได้เสมอ หลังจากนางกลับมา นางอาจจะทำอาหารที่มีลูกเล่นใหม่ๆ ให้ข้าทานก็เป็ไปได้” เด็กสาวเอ่ยระหว่างก้าวเท้าออกจากตัวเรือน
ด้วยสายลมพัดในยามรุ่งอรุณ และอากาศที่เย็นเล็กน้อย มิหนำซ้ำน้ำค้างยังค่อนข้างหนัก ก่อนออกจากประตู แม่นมจิ่นจึงพาดเสื้อคลุมกันลมสีชมพูอมเทาบางๆ บนไหล่ของเด็กสาว ก่อนเงยหน้าขึ้นมองไปทางแสงอรุณรุ่งบนถนน
“พี่หญิงตื่นแต่เช้าเชียว”
มู่หรงฉิงเดินไปข้างหน้า โดยมีแม่นมฟางและยวี้เอ๋อร์คอยเดินตามอยู่ด้านหลัง ทันทีที่เดินมาถึงทางแยก ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลเจือออดอ้อนแว่วดังมา
นางเลื่อนสายตามองก็เห็นมู่หรงยวี่ในชุดคลุมยาวสีสดใส เสื้อตัวในของชุดปักลายดอกกานพลูผลิบาน โดยสีม่วงของดอกกานพลูนั้นรายล้อมด้วยด้ายสีเงิน ตัวเสื้อก็เป็สีม่วงอ่อนมีลวดลายดอกกานพลูเต็มชุด เผยให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาอย่างไร้ที่สิ้นสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อด้ายสีเงินส่องประกายระยิบระยับ ดูน่าดึงดูดสายตาเป็อย่างมาก
ด้านนอกเป็ชุดกันหนาวหยุนซานทำมาจากผ้าซูปั่นคุณภาพดี มันมีความบางเท่าปีกนก เมื่อสวมทับบนชุดกันหนาวหยุนซาน เพียงสายลมพัดผ่านก็ดูคล้ายนางฟ้านาง์ ซึ่งไม่อาจอธิบายความงดงามนั้นออกมาเป็คำพูดได้
ข้อมือสวมกำไลหยกขาวหนึ่งวง ดูจากเนื้อหยกก็รับรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็สมบัติอันล้ำค่าที่อนุหนิงเป็คนหามาให้ ด้วยสีหยกโปร่งใสและสม่ำเสมอกัน ครั้นสวมใส่บนข้อมือบางๆ ประดุจหยก จึงไม่รู้ว่าเป็เพราะหยกส่งเสริมให้ผิวของนางดูขาวขึ้น? หรือเป็เพราะผิวของนางยิ่งเน้นให้หยกดูพราวพรายมากกว่ากัน?
ครั้นเห็นมู่หรงฉิงเลื่อนสายตามอง มู่หรงยวี่ก็ยิ้มบางๆ ริมฝีปากแดงโค้งเล็กน้อย ท่วงท่า อากัปกิริยาของนางที่แสดงออกมาเฉกเช่นคุณหนูในครอบครัวใหญ่ คิ้วงดงามประดุจภาพวาด แม้นางจะยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่น ทั้งใบหน้ายังคงดูอ่อนเยาว์มาก ทว่าความงดงามที่มีมาั้แ่กำเนิดกลับได้ปรากฏออกมาให้เห็นชัดแล้ว ในอีกสองปีข้างหน้า มู่หรงยวี่คงกลายเป็ผีเสื้อหลากสีส่องประกายซึ่งจะเป็ที่สะดุดตาผู้คนไม่ว่าจะบินไปยังแห่งหนใดก็ตาม
ในระหว่างที่เด็กสาวกรีดกรายย่างก้าวใกล้เข้ามา พู่สีม่วงทองของเครื่องประดับบนศีรษะได้แกว่งไกวเล็กน้อย ภายใต้แสงอรุณในยามเช้า ลูกปัดดอกไม้ที่กำลังแบ่งบาน สวยงามเสียจนมู่หรงฉิงเองก็ชื่นชมอยู่ในใจ
ชุดนี้ช่วยเสริมให้มู่หรงยวี่ซึ่งเดิมทีก็สะสวยทรงเสน่ห์อยู่แล้ว กลายเป็คนดูมีเสน่ห์แพรวพราวเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“พี่หญิง พวกเรามักจะมีความเข้าใจโดยปริยายเสมอ แม้จะไปคำนับท่านย่า พวกเราก็มักจะเจอกันอยู่เป็ประจำ” ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายออดอ้อน เด็กสาวได้จับแขนของมู่หรงฉิงอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ระหว่างก้าวเท้าเคลื่อนไหว พู่บนศีรษะของนางก็แกว่งไกวไปมาเบาๆ ทำให้คนพบเห็นเป็ต้องรู้สึกทึ่งในความสวยงาม
“ใช่แล้ว พวกเรามักจะเข้าใจกันโดยปริยายเช่นนี้เสมอ” มู่หรงฉิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ ยอมปล่อยให้มู่หรงยวี่คล้องแขนของนางเช่นนั้น ทั้งสองเดินไปทางเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าโดยไม่รีบร้อน
ในบางเวลา ทั้งคู่พูดคุยสัพเพเหระระหว่างเดินเคียงข้างไปด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าเมื่อมองเผินๆ แล้ว ทั้งคู่จะดูเหมือนเป็พี่สาวน้องสาวที่รักกันลึกซึ้งปานนั้น ส่งผลให้คนรอบข้างถึงกับรู้สึกประหลาดใจ
อย่างไรก็ดี รอยยิ้มของมู่หรงฉิงกลับไม่ถึงดวงตา นางลอบถอนหายใจโดยคิดว่า ถ้าอนุหนิงไม่วางกับดักทำร้ายนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าน้องหญิงคนนี้ไม่ได้มีใจเป็อื่น นางคงเต็มใจที่จะรักและเอ็นดูน้องหญิงด้วยความเต็มใจ เพราะถึงอย่างไรนางก็มีน้องหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น
“พี่หญิง วันนี้เป็วันคล้ายวันเกิดของท่านย่า พี่หญิงสวมชุดสีอ่อนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? พี่ไม่กลัวว่าท่านย่าจะไม่มีความสุขหรือ?”
ทันทีที่มู่หรงยวี่พูดจบ สีหน้าของมู่หรงฉิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฟางเอ๋อร์ซึ่งยืนถัดจากมู่หรงยวี่ก็รีบเอ่ยขึ้น “คุณหนูรอง วันไว้ทุกข์ของฮูหยินยังไม่สิ้นสุดลงเลย คุณหนูใหญ่ไม่สะดวกที่จะแต่งตัวเช่นนั้น”
“โอ้?” มู่หรงยวี่ลากเสียงยาวราวกับตื่นรู้อย่างกะทันหัน “โธ่ ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน พี่หญิงอย่าโกรธกันเลย ข้าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้”
หลังจากพูดจบ เด็กสาวก็รีบปล่อยแขนของมู่หรงฉิง หมุนตัวกลับไปยังเส้นทางสัญจรเดิม โดยไม่ให้โอกาสมู่หรงฉิงได้พูดแม้แต่คำเดียว
“ฮึ! จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน เห็นๆ อยู่ว่าจงใจจะทำให้คุณหนูเศร้าเสียใจ วันปกตินางก็แต่งชุดลายดอกไม้หลากสีสันสดใส ก็ไม่เห็นว่านางจะจำ่เวลาไว้ทุกข์นี้ได้” แม่นมฟางขบฟันแน่น ขณะมองดูทิศทางที่มู่หรงยวี่กำลังเดินจากไป พร้อมเปล่งเสียงอย่างเ็า
“วันนี้คุณหนูรองจะทำอะไรไม่ชอบมาพากลอีกล่ะ? มิหนำซ้ำเหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่านางแปลกไปจากเดิมอยู่หลายส่วน?” เมื่อเห็นมู่หรงฉิงหยุดชะงักฝีเท้า ยวี้เอ๋อร์ก็พูดอย่างสงสัย “รู้ทั้งรู้ว่าระยะเวลาไว้ทุกข์จะสิ้นสุดลงในอีกสิบวัน และเื่นี้ก็ได้มีการพูดไว้ในพิธีปักปิ่นแล้วด้วย แต่วันนี้คุณหนูรองจงใจเช่นนั้น ไม่เหมือนพฤติกรรมตามปกติของนางเท่าใดนัก”
“แม้กระทั่งยวี้เอ๋อร์ก็มองออกแล้วเช่นกัน” คำพูดของยวี้เอ๋อร์ ส่งผลให้ความวิตกกังวลของมู่หรงฉิงยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เด็กสาวรู้สึกไม่สบายใจแกมวิตกกังวลมาั้แ่เช้า นางมักรู้สึกว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา
มู่หรงฉิงส่ายศีรษะไปมา หวังเพียงว่าความวิตกกังวลของตนจะมีสาเหตุมาจากความปริวิตกไปเองเท่านั้น จากนั้นนางจึงหมุนตัวพลางเดินไปข้างหน้าต่อไป
“คุณหนูใหญ่มาแล้ว ขอเชิญเข้ามาข้างใน”
สาวใช้ระดับหนึ่งเคียงข้างฮูหยินผู้เฒ่า หลิ่วชิงเอ่ยทักทายด้วยเสียงนุ่มนวลทันทีที่เห็นมู่หรงฉิง
“รบกวนพี่หลิ่วแล้ว” สายตามองไปทางหลิ่วชิง พร้อมโคลงศีรษะก่อนก้าวเท้าเข้าไปในเรือน
่เวลานั้นไม่ถึงกับเช้ามาก ซึ่งเกือบเทียบเท่ากับเวลาที่มาคำนับในวันก่อนหน้าทุกๆ วัน
“ฉิงเอ๋อร์มาแล้ว เข้ามา นั่งลงตรงนี้มา” ฮูหยินผู้เฒ่าสวมชุดฟูหรงหลัวสีแดงสด บนผ้าไหมชั้นดีปักลายดอกชบาคลี่กลีบขนาดใหญ่ซึ่งเผยให้เห็นถึงความปีติยินดีอย่างยิ่งยวด
ทันทีที่เห็นมู่หรงฉิงเดินเข้ามาในเรือน หญิงสูงวัยก็กวักมือให้ผู้เป็หลานสาวเข้ามาใกล้ด้วยความเมตตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
“ฉิงเอ๋อร์ น้อมคำนับท่านย่า ขอให้ท่านย่ามีโชคลาภประดุจทะเลบูรพา อายุยืนยาวดุจเขาทักษิณ” ในระหว่างคำนับตามกฎมารยาท ปากของนางก็เอ่ยคำมงคลไปพลาง
“ดี ดี ดี รีบลุกขึ้นนั่งเถิด” หลังจากพูดว่าดีๆ ติดต่อกันถึงสามหน หญิงชราก็รีบสั่งกำชับยวี้เอ๋อร์ให้ช่วยประคองมู่หรงฉิงเพื่อนั่งลงด้านข้างตน
“ฉิงเอ๋อร์ไม่มีของขวัญอันล้ำค่าใด ทำได้เพียงปักต้นสนะนี้ด้วยตัวเอง หวังว่าท่านย่าจะไม่รังเกียจ” ขณะพูด เด็กสาวก็หยิบงานปักจากยวี้เอ๋อร์
เห็นดังนั้น หลิ่วชิงก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับมาถือ ก่อนคลี่งานปักผืนนั้นตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
ถึงได้เห็นภาพที่ดูคล้ายแดน์ ท่ามกลางชั้นเมฆ ต้นสนยืนตรงตั้งตระหง่านบนยอดเขา นกกระเรียนทั้งเก้าตัวมีทั้งอยู่นิ่ง ทั้งเคลื่อนไหว มิหนำซ้ำบางส่วนยังมีท่าทางเสมือนจริง ดูว่องไวปราดเปรียวเป็อย่างมาก บริเวณชายผ้ามีการปักบทกวีบทหนึ่ง
“เวหาเต็มไปด้วยหมู่เมฆาหลากสีสันส่องแสงตลอดเวลา หงส์จับดอกไม้นั้นยิ่งยืนนาน เสมือนมีโชคลาภประดุจทะเลบูรพา อายุยืนยาวประดุจเขาทักษิณ”
ฮูหยินผู้เฒ่าอ่านเสียงเบาจนจบข้อความ จากนั้นดวงตาของนางจึงโค้งขึ้นกลายเป็รูปจันทร์เสี้ยวเพราะความชื่นบาน
“ฮูหยินผู้เฒ่า ขอให้ท่านลองดูอีกด้านหนึ่ง”
หญิงชรามองแค่ด้านหน้าก็คลี่ปากยิ้มไม่หุบ เนื่องจากหลิ่วชิงเป็ผู้ถืองานปักให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้ชื่นชม นางจึงไม่เห็นด้านหลังของงานปัก แต่เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่ง นางก็ถึงกับใทว่ากลับคลี่ยิ้มกว้างเสียยิ่งกว่าเดิม
“อีกด้านหนึ่งหรือ?” สายตาที่งุนงงของฮูหยินผู้เฒ่าเบิกกว้างเพิ่มมากขึ้นตามการเคลื่อนไหวของหลิ่วชิง
เนื่องจากงานปักชิ้นนี้เป็งานปักลายสองด้านซึ่งหาได้ยากยิ่งที่สุดในใต้หล้า ด้วยเพราะผืนผ้าจะถูกปักลวดลายต่างกันสองด้าน
ด้านหน้าปักลายรูปนกกระเรียนในหมู่เมฆาและต้นสน อีกฝั่งหนึ่งปักลายรูปพระศรีอริยเมตไตรยด้วยพระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและอ่อนโยน