บทที่ 12 ละครชั้นดี
ได้ยินผู้เฒ่าตอบกลับมาเช่นนี้ ฉินชูก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที มิน่าเล่า บทแนะนำของตำราถึงได้เขียนไว้อย่างอวดอ้างยิ่งนัก ว่าแต้มคุณูปการสามหมื่นแต้มไม่อาจแลกได้ เป็ตำรายุทธ์ที่ทรงพลังไม่เบา เพียงแต่ไม่สมประกอบ
“ท่านผู้เฒ่าขอรับ หากพูดกันด้วยเหตุผล ตอนที่ข้าเห็นคำแนะนำของตำรายุทธ์ปราณฟ้าเล่มนี้ภายในหอคัมภีร์ มันไม่มีเขียนบอกว่าไม่สมประกอบ ดังนั้นข้าไม่ควรได้รับผลลัพธ์เช่นนี้ เป็ไปได้หรือไม่ หากข้าจะขอเข้าไปเปลี่ยนเป็เล่มอื่น” ฉินชูเอ่ยถามผู้เฒ่า
ท่านผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนมองพินิจฉินชู “นี่อาจเป็ความผิดพลาดของทางสำนัก แต่จนแล้วจนรอดเ้าก็ได้มันมา เ้าไม่คิดว่ามันเป็โชคชะตาของเ้าหรือ หากเป็ฉบับสมบูรณ์ สามหมื่นแต้มคงไม่พอ นอกจากนี้ เ้าได้เห็นเล่มจริงแล้ว ไม่สามารถคืนหรือเปลี่ยนเป็เล่มอื่นได้ ดังนั้นเ้าจงรับไปเสียเถอะ”
ได้ยินคำพูดผู้เฒ่าเช่นนั้น ฉินชูก็ถึงกับหมดคำพูด เปลี่ยนไม่ได้ คืนไม่ได้ ดังนั้นคงต้องยอมรับชะตากรรมนี้แต่โดยดี
“อย่าได้เสียใจไป ในการฝึกปราณขั้นพื้นฐาน เคล็ดวิชาปราณฟ้าเล่มนี้ถือว่าเป็ประโยชน์สำหรับการฝึกปราณของเ้ากว่าตำรายุทธ์เล่มไหนๆ ทั้งปวง แม้ในตอนท้ายจะขาดหาย แต่ก็มีปราชญ์เมธีและผู้าุโของทางสำนักเขียนกำกับอธิบายเพิ่มเติมเอาไว้อยู่ ข้าบอกเ้าได้แค่คำเดียวว่า ลาภใหญ่ตกใส่แล้วเ้าหนู” ผู้เฒ่ามองสีหน้าผิดหวังของฉินชูพลางเอ่ย
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยกมือประสานคารวะผู้เฒ่า “ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าสำหรับคำแนะนำ หากสามารถช่วยให้ข้าฝึกปราณพื้นฐานได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
จากนั้นผู้เฒ่าก็เตือนฉินชูกับไป๋อวี้ขึ้น เมื่อผู้ใดได้ตำรายุทธ์มาอยู่ในมือแล้วก็จะตกเป็ของคนนั้นไปโดยปริยาย ห้ามแลกเปลี่ยนกัน หากถูกจับได้ว่าฝึกวิชายุทธ์นอกเหนือตำรายุทธ์ของตัวเอง จะถูกทางสำนักลดทอนขั้นตบะและไล่ออกจากสำนัก สุดท้ายภายในหนึ่งเดือนต้องคืนตำรายุทธ์เล่มจริงให้กับหอคัมภีร์ตามเดิม
ฉินชูกับไป๋อวี้ออกมาจากยอดเขาชิงหยุนและกลับมาที่หอศิษย์รับใช้
“ลูกพี่ หลังจากนี้จะเอายังไงดี พวกเราแยกกันไปฝึกปราณดีหรือไม่” ไป๋อวี้ถามลองเชิงฉินชู
“เ้าโง่หรือไง ก็ต้องทำภารกิจต่อสิ ครั้งนี้พวกเราแลกตำรายุทธ์ ครั้งหน้าพวกเราจะไปคลังศัสตราเพื่อแลกโอสถวิเศษ ตำรายุทธ์กับโอสถวิเศษคือสองปัจจัยสำคัญที่เสริมความเสถียรภาพและยกระดับพลังปราณของพวกเรา หลังจากนี้ เ้ารอข้าเรียกก็พอแล้ว” ฉินชูถลึงตาใส่ไป๋อวี้ก่อนจากไปที่ผาหินตัด
เมื่อมาถึง ฉินชูก็เข้าไปแช่น้ำโอสถในกระท่อมก่อน ถึงแม้ศักยภาพของร่างกายจะพัฒนาถึงขีดจำกัดแล้ว แต่เขาก็ยังต้องบำรุงและคงสภาพมันต่อไป หลังจากแช่เสร็จ ฉินชูก็เริ่มศึกษาเคล็ดวิชาปราณฟ้าที่ไม่สมประกอบเล่มนี้
เคล็ดวิชาปราณฟ้าเป็ตำรายุทธ์ที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ฝึกตนท่านหนึ่งนามว่า ‘เทียนหยวนจื่อ’ นอกจากมีเนื้อหาเกี่ยวกับเคล็ดลับการฝึกตนแล้ว ยังมีองค์ความรู้และคำอธิบายเสริมต่างๆ เกี่ยวกับการฝึกพลังปราณที่ผ่านการตกผลึกจากผู้เขียนมาแล้ว และเมื่อฉินชูพลิกไปหน้าหลังที่ขาดหายไป เขาก็เห็นชื่อของปราชญ์เมธีแห่งสำนักชิงหยุนสองท่านเขียนกำกับเอาไว้
ท่านแรกชื่อว่า เซียวหยุน เขาเขียนกำกับเอาไว้ว่า ‘เมื่อฝึกเคล็ดวิชาปราณฟ้าถึงขั้นที่สี่ วิถีแห่งการฝึกตนจะหยุดชะงัก แต่เป็ตำรายุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการฝึกปราณพื้นฐานอย่างหาเล่มใดเทียบไม่ได้’
อีกท่านชื่อว่า โม่เต้าจื่อ เขาเขียนกำกับเอาไว้ว่า ‘เมื่อฝึกปราณตามบทแรกๆ ของเคล็ดวิชาปราณฟ้า หลังจากตบะบรรลุขั้นที่สี่หนิงหยวนแล้ว พลังปราณที่ถูกหลอมรวม ควบแน่นและขัดเกลาออกมาช่างทรงพลังยิ่งนักจนร่างกายไม่อาจรับไหว เมื่อเป็เช่นนั้นอาจต้องเปลี่ยนไปฝึกตำรายุทธ์แขนงอื่นๆ ความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่า หน้าสุดท้ายที่ขาดหายไปเกิดจากความจงใจของผู้เขียน เพราะขืนฝึกต่อไป ร่างกายอาจได้รับความเสียหายได้’
‘ฝึกได้จนถึงขั้นที่สี่หนิงหยวน...’ ฉินชูยอมรับผลลัพธ์นี้ได้ แต่หลังจากนั้นต้องเปลี่ยนไปฝึกวิชายุทธ์แขนงอื่น อันนี้ฉินชูกลับไม่แน่ใจ
เมื่อสงบจิตสงบใจลง ฉินชูก็กำหนดสมาธิรวมศูนย์และเริ่มฝึกตามเคล็ดวิชาปราณฟ้า
เมื่อฉินชูเริ่มโคจรพลังปราณที่จุดตันเถียนตามรูปแบบการโคจรของเคล็ดวิชาปราณฟ้า อณูปราณธรรมชาติในบริเวณผาหินตัดก็เริ่มไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเขา การโคจรเหนี่ยวนำอณูปราณเข้าสู่จุดตันเถียนครั้งนี้เป็การแปรเปลี่ยนอณูปราณธรรมชาติให้กลายเป็พลังปราณของตัวเอง
สองวันต่อมา ฉินชูไม่แม้แต่จะย่างกรายออกจากกระท่อม ข้าวปลาที่เอ้อพั่งเอามาวางไว้อยู่หน้าประตูก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม
ในเช้าตรู่ของวันที่สาม จุดตันเถียนของฉินชูก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็ได้กักเก็บอณูปราณและแปรเปลี่ยนมันจนบรรลุตบะขั้นจวี้หยวนระดับหกแล้ว
เมื่อเสถียรภาพพลังปราณในร่างกายสงบลง ฉินชูก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาเป็ประกาย เนื่องจากตบะของเขาบรรลุขั้นจวี้หยวนระดับหกแล้ว เขาััได้ถึงพลังปราณที่โคจรอยู่ที่จุดตัดเถียนได้อย่างชัดเจน มันทำให้เขาพึงพอใจกับผลลัพธ์การฝึกใน่สองวันที่ผ่านมาเป็ที่สุด
เมื่อออกจากกระท่อม ฉินชูจึงเริ่มฝึกวิชากระบี่พื้นฐานต่อ
ขณะที่ฉินชูกำลังฝึกวิชากระบี่อยู่ ณ ประตูทางเข้าหอคัมภีร์ ลู่หยวนหรือผู้าุโลู่ผู้ที่พาฉินชูเข้าสำนักชิงหยุนก็กำลังพูดคุยกับผู้เฒ่าที่นั่งสมาธิอยู่ทางด้านขวาของประตู
“ศิษย์อาขอรับ ลู่หยวนผู้นี้ได้ตรวจสอบกับทางยอดเขาชิงจู๋แล้ว แต้มคุณูปการเ่าั้ของพวกเขาล้วนมาจากการทำภารกิจด้วยตัวเองขอรับ ่ที่ผ่านมา เ้าเด็กสองคนนี้พากันโหมทำภารกิจกันอย่างบ้าคลั่ง เ้าคนที่ชื่อฉินชู แม้ไม่มีพลังเสริมจากพลังปราณ แต่พละกำลังทางร่างกายของเขากลับแข็งแกร่งยิ่งนัก เช้าวันนี้ข้าได้ตรวจสอบอยู่ห่างๆ และพบว่าระดับพลังทางกายภาพของเขาอยู่ที่จุดสูงสุดขั้นที่สามแล้ว ส่วนพลังปราณก็พัฒนาจนถึงขั้นจวี้หยวนระดับห้าแล้วและใกล้จะบรรลุขั้นจวี้หยวนระดับหกแล้วขอรับ” ลู่หยวนรายงานท่านผู้เฒ่า
“ข้าไม่เข้าใจเลย เ้าเด็กที่ชื่อไป๋อวี้คนนั้นมีตบะอยู่ขั้นหนิงหยวน่ปลายแล้ว ส่วนฉินชู แม้ตบะยังไม่ถึงขั้นหนิงหยวน แต่พวกเขาสามารถเลื่อนขั้นเป็ลูกศิษย์สำนักชิงหยุนได้อย่างเป็ทางการ แล้วทำไมพวกเขาถึงเป็แค่ศิษย์รับใช้” ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว
“ศิษย์อาขอรับ พวกเขามาไม่ทันพิธีเปิดรับศิษย์หน้าใหม่ พวกเขาเข้าเป็ศิษย์รับใช้เพื่อ้าข้าวกิน และ่นี้ ฉินชูก็ได้สร้างปัญหาเอาไว้หนึ่งเื่ด้วยขอรับ” ลู่หยวนกระแอมปรับน้ำเสียง เพราะเื่ที่ศิษย์รับใช้ไปท้าทายศิษย์สายนอกกับสายในมันช่างน่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก
“ทำไมเ้าถึงดูกระอักกระอ่วนใจเล่า” ผู้เฒ่ามองลู่หยวนที่ขมวดคิ้ว
จากนั้นลู่หยวนจึงรายงานเื่ที่ฉินชูไปท้าทายลูกศิษย์บนยอดเขาชิงหยุน พร้อมกับบอกไปว่าฉินชูเป็ศิษย์รับใช้ที่ตัวเขาเป็คนพาเข้าสำนักเอง
“ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ลูกศิษย์ของสำนักใช้ชีวิตกันอย่างราบรื่นสุขสบายเกินไป ไม่มีความกดดัน การที่ตอนนี้มีศิษย์รับใช้ลุกขึ้นมาท้าทายพวกเขาเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็สัญญาณเตือนที่ดี ขอแค่เ้าเด็กสองคนนั้นอยู่ในครรลองครองธรรม ไม่ใช่เล่ห์อุบายสกปรก เื่นี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรทั้งนั้น” ผู้เฒ่าพูดจบก็หลับตาลง
ฉินชูฝึกตนต่ออีกสองวัน จากนั้นก็เรียกหาไป๋อวี้และพามาที่หอคุณูปการ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ภารกิจที่หอคุณูปการเหลือให้พวกเขาทำไม่มากแล้ว
“ก่อนหน้านี้ อัตราการส่งมอบภารกิจของยอดเขาชิงจู๋ค่อนข้างต่ำ จึงไม่ค่อยได้รับภารกิจมาจากเบื้องบนสักเท่าไร จริงอยู่ที่่นี้พวกเ้าทำภารกิจได้สำเร็จอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิผล แต่ตอนนี้ภารกิจที่มี ตามพวกเ้าไม่ทันแล้ว” ผู้ดูแลหานพูดขึ้นพร้อมกับมองฉินชูกับไป๋อวี้ด้วยแววตาพึงพอใจ เขาคิดว่าหากทางสำนักเปิดรับลูกศิษย์อีกครั้ง ฉินชูกับไป๋อวี้คงไม่ต้องอยู่รวมกับพวกหน้าใหม่แล้ว พวกเขาสามารถเลื่อนขั้นเป็ลูกศิษย์สายนอกได้เลย
“ท่านผู้ดูแล พวกเราสามารถทำภารกิจที่ประกาศในหอคุณูปการตามยอดเขาอื่นๆ ได้หรือไม่” ฉินชูครุ่นคิดก่อนถามขึ้น
“ได้ ทางสำนักไม่มีกฎบังคับว่าห้ามทำภารกิจของยอดเขาอื่นๆ เอาล่ะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวข้าจะพาพวกเ้าไปที่ยอดเขาชิงสือ จริงอยู่ที่อัตราการส่งมอบภารกิจของที่นั่นค่อนข้างต่ำเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมาก็อยู่สูงกว่ายอดเขาของพวกเรา และมีจำนวนภารกิจให้ทำมากกว่ายอดเขาพวกเราเยอะมาก” ผู้ดูแลหานเอ่ยปากพูด
“ไม่ต้อง พวกเราไปที่ยอดเขาชิงหยุนเลย ข้าไม่อยากแย่งภารกิจพวกเขามาทำ” ฉินชูตัดสินใจ
“ข้ารู้ว่าพวกเ้ามีปัญหากับพวกเขา แต่การที่พวกเ้าไปรับภารกิจที่นั่นจะยิ่งทำให้พวกเขายิ่งเหม็นขี้หน้าเข้าไปใหญ่ ลำพังแค่พวกเ้ากล้าท้าทายศิษย์สายนอกที่นั่นก็ถือเป็เื่ที่ลำบากแล้ว” ผู้ดูแลหานพูดต่อ
“ไม่เป็ไร ข้า้าจะกดดันพวกเขานิดๆ หน่อยๆ ก็เท่านั้น ข้าท้าทายพวกเขาไปแล้วอย่างซึ่งๆ หน้า ในเมื่อพวกเขากล้าดูถูกข้า ข้าก็จะแย่งภารกิจของพวกเขามาทำ ไป๋อวี้ เ้าคิดว่ายังไง” ฉินชูหันไปถามไป๋อวี้
ไป๋อวี้พยักหน้า “ลูกพี่ว่าอย่างไร พวกเราก็ทำอย่างนั้น”
แล้วฉินชูก็พาไป๋อวี้ไป โดยมีผู้ดูแลหานเดินตามหลัง เขารู้สึกว่าเหมือนจะได้ดูละครชั้นดีเร็วๆ นี้