เริ่มจากล้างเนื้อหมูให้สะอาดในน้ำเย็นด้านข้าง หลังจากนั้นก็ล้างกระเพาะหมูซึ่งเป็ส่วนที่ล้างยากกว่า รวมถึงอุ้งตีนหมูที่ยังมีขนติดอยู่อีกด้วย
ถ้าเป็ในยุคปัจจุบัน ปรกติจะต้องเอากระเพาะหมูมาขยำกับเกลือแต่เกลือที่นี่ราคาแพง เซวียเสี่ยวหรั่นคิดว่าถ้าใช้เกลือก็เป็การสิ้นเปลืองเกินไปหน่อย ดังนั้นจึงไปหยิบขี้เถ้ามาขยำแทน หลังจากขยำไปสองรอบ เมือกเหนียวๆ ของกระเพาะหมูก็ถูกขจัดออกไปเยอะแล้ว
ค่อยใช้น้ำล้างอีกสองรอบ เอาน้ำเหลืองกับไขมันที่คั่งค้างออกให้หมด กระเพาะหมูก็สะอาดเรียบร้อย
ต่อไปก็จัดการกับขนบนอุ้งตีนหมู เธอซื้ออุ้งตีนหมูมาคู่หนึ่ง ขนยังไม่ถูกถอนให้เกลี้ยง เซวียเสี่ยวหรั่นเบะปากอย่างรังเกียจ หยิบพวกมันไปวางข้างเตาหินที่กำลังต้มยา
เธอเติมฟืนใส่เข้าไป หลังจากนั้นก็หยิบฟืนที่ติดไฟแดงออกมาแล้วเอาอุ้งตีนหมูวางขึ้นไปย่างไฟแล้วหมุนกลับไปกลับมา
กลิ่นไหม้ของขนหมูและหนังหมูฟุ้งไปในอากาศ
"ทำอะไร?" เหลียนเซวียนได้กลิ่นก็ย่นหัวคิ้ว
"กำลังเผาขนบนอุ้งตีนหมูอยู่" เซวียเสี่ยวหรั่นตอบกลับมา
มิน่าถึงมีกลิ่นประหลาด เหลียนเซวียนพูดไม่ออก
แม่นางผู้นี้รู้กระทั่งวิธีจัดการกับขนหมู?
หญิงสาวจากตระกูลใหญ่ไหนบ้างจะทำงานพรรค์นี้ เหลียนเซวียนขมวดคิ้วจนกลายเป็รูปอักษร 川
ต้มยาเสร็จ รอให้เย็น หลังจากนั้นก็อุดจมูกกรอกยาเข้าปาก
"เหลียนเซวียน ยาเทียบนี้จะได้ผลเมื่อไร" ยารสขมปี๋กระจายไปในโพรงปาก เซวียเสี่ยวหรั่นทำหน้าเหยเก
เซวียเสี่ยวหรั่นไหนเลยจะสนใจว่าเขาจะคิดอย่างไร ในมือยังมีงานกองโตที่ต้องทำ ยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้นอยู่แล้ว
"ทุกเดือนต้องกินก่อนล่วงหน้าห้าวัน กินต่อเนื่องสามเดือน" พอได้ยินน้ำเสียงขยาดจากปากของเธอ หัวคิ้วมุ่นขมวดของเหลียนเซวียนก็คลายออกทันควัน มุมปากมีรอยยิ้มแต่งแต้มอย่างไม่อาจสะกดกลั้น
"หา ต้องดื่มอีกสามเดือน?" เซวียเสี่ยวหรั่นสีหน้าห่อเหี่ยวลงทันที "หลังจากนั้นก็จะไม่ปวดแล้ว?"
"....ตราบใดที่เ้าระวังตัว" เหลียนเซวียนกล่าวอีกหนึ่งประโยค
"ข้าก็ไม่ได้ปวดเป็ประจำเสียหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นกระเสือกกระสนหาทางรอด "ดื่มแค่เดือนเดียวก็พอแล้วกระมัง"
ยานี่กลิ่นสุดจะทนจริงๆ
เหลียนเซวียนปรายตามอง ตลอดสองสามเดือนมานี้ มีครั้งไหนที่นางไม่ปวดจนร้องโวยวายออกมาบ้าง
ดวงหน้ารูปไข่ของเซวียเสี่ยวหรั่นแดงระเรื่อ หลบเลี่ยงจากสายตาของเขาอย่างลุกลี้ลุกลน นึกถึงความเ็ปยากจะทนได้ในแต่ละครั้ง เธอก็วิ่งแล่นไปหาผู้อื่นแล้วทำหน้าหนายื่นมือออกไปให้เขาช่วยกดจุดระงับปวดให้ทุกที
เอาเถอะ ยอมดื่มยาแต่โดยดีก็ได้
ต่อไปเขาไม่อยู่ข้างกาย จะมีใครใจดีช่วยกดจุดระงับปวดให้เธออีก
การคิดแต่จะพึ่งพาผู้อื่นไม่ใช่ความเคยชินที่ดีเลย
ทำเนื้อเสร็จแล้ว ผักก็เด็ดแล้ว น้ำในโอ่งเหลือแค่ก้นโอ่งแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นเกาศีรษะ ช่างเถอะ กินมื้อเที่ยงเสร็จออกไปตักน้ำก็ได้
ซีมู่เซียงตัดชุดสีน้ำเงินเสร็จเรียบร้อย เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบไปทาบข้างตัวเหลียนเซวียน
"อื้อหือ... ท่านสวมอาภรณ์สีน้ำเงินแล้วดูดี สีดำเข้มเกินไป ทำให้ท่านดูเคร่งขรึมและคร่ำครึ" เซวียเสี่ยวหรั่นป้องปากหัวเราะเบาๆ "วันนี้ข้าซื้อผ้าสีเขียวอมเทามาด้วย ให้น้องมู่เซียงตัดอาภรณ์ให้ท่านอีกชุด ฤดูร้อนอบอ้าว สีอ่อนจะช่วยให้ความรู้สึกเย็นสบาย"
เธอพูดพล่ามแต่เื่จุกจิกในชีวิตประจำวันเหล่านี้ เหลียนเซวียนผู้เคร่งขรึมและคร่ำครึฟังอยู่เงียบๆ โดยไม่รู้สึกระอา
เขาเคยชินกับการบ่นจู้จี้จุกจิกกับคำพูดไร้เนื้อหาสาระของเธอโดยไม่รู้ตัว
ความเคยชินเป็สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ
พอเคยชินแล้ว ก็รู้สึกว่าเื่ราวมากมายล้วนเป็ไปตามธรรมชาติ
"ข้าเชิญอูหลันฮวามากินข้าวด้วยนะ นางจะมาตอนบ่าย ท่านอย่าทำให้แม่นางน้อยใกลัวเล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่นำพาการเงียบของเขา
ตอนที่เขาไม่เงียบกลับทำให้เธอวิตกมากกว่า
"นางอายุพอๆ กับเ้าไม่ใช่หรือ" เรียกผู้อื่นว่าแม่นางน้อย ได้นึกถึงอายุของตนเองหรือยัง เหลียนเซวียนอับจนวาจา
"จริงด้วยสิ นางอายุสิบแปด น่าจะอ่อนกว่าข้านิดหน่อย ข้า เอ้อ... ดูเหมือนจะเลยสิบแปดมาแล้ว แหะๆ ดังนั้นข้าจึงโตกว่านาง" เซวียเสี่ยวหรั่นยืดอก
อะไรคือดูเหมือนจะเลยสิบแปดมาแล้ว นางไม่รู้วันเกิดของตนเองหรือไร เหลียนเซวียนหน้าง้ำ
"เ้าเกิดเดือนไหน"
"เดือนเจ็ด" เซวียเสี่ยวหรั่นตอบไปอย่างนั้นเอง หลังจากนั้นก็พบว่าผิดแล้ว
เธอตกลงมาที่นี่ั้แ่ยังไม่พ้นวันเกิด ตอนนั้นเธอแนะนำตัวไปว่าอายุสิบแปด แต่ที่นี่เกือบเดือนสิบเอ็ดแล้ว
ดังนั้นจึงไม่ตรงกับอายุจริงของเธอ
"วันนี้วันที่สิบห้าเดือนสาม" เหลียนเซวียนมองนางเงียบๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกได้ เขาคงกำลังคิดว่า สตรีผู้นี้โง่หรือเปล่า แม้แต่เื่เรียบง่ายเช่นนี้ยังจำผิด
"แหะๆ ข้าอาจจะจำผิดน่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะแก้เก้อ "ข้าไปทำมื้อเที่ยงก่อนนะ"
พูดจบก็วิ่งจู๊ดไปทันที
เหลียนเซวียนหัวเราะไม่ออก
มื้อเที่ยง เซวียเสี่ยวหรั่นใช้เนื้อหมูไม่ติดมัน ทำเนื้อหมูผัดมะเขือยาว แล้วหั่นกระเพาะหมูมาหนึ่งในสามส่วนทำเป็กระเพาะหมูเส้นพริกเผา หลังจากนั้นก็เอาอุ้งตีนหมูลงไปตุ๋นในหม้อก่อนเทออกมาสองชาม
"เหลียนเซวียน เที่ยงนี้กินเยอะๆ เลยนะ อาหารเลี้ยงแขกวันนี้อาจจะเผ็ดหน่อย ท่านกินเป็มารยาทก็พอ ตอนหัวค่ำข้าจะทำอย่างอื่นให้ท่านกิน"
เซวียเสี่ยวหรั่นวางอุ้งตีนหมูกับเนื้อไม่ติดมันตรงหน้าเขา
เหลียนเซวียนดูเหมือนเป็คนกินอะไรก็ได้ แต่แท้จริงแล้วเขาเลือกกินเป็ที่สุด
เขาไม่ชอบกินเครื่องใน ไม่ชอบกินเนื้อติดมัน ไม่ชอบกินชิ้นส่วนปลีกย่อยเช่นหัวไก่ คอไก่ ตีนไก่ และปีกไก่
นอกจากนี้เขายังไม่ชอบอาหารที่เผ็ดเกินไป เค็มเกินไป หรือมันเกินไป รสชาติต้องจืดหน่อย
แน่นอนว่าเขาไม่เคยพูดเื่เหล่านี้มาก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากการสังเกตของเซวียเสี่ยวหรั่นทั้งสิ้น
ขณะอยู่ในป่า ถ้าเขาไม่ชอบกินอะไร ก็จะเก็บไว้เป็อย่างสุดท้าย ถึงกินสองสามคำ หลังออกจากป่า หากบนโต๊ะมีอาหารที่ไม่ชอบ เขาจะคีบน้อยมาก แล้วก็ขยับตะเกียบเป็ระยะ เพื่อปกปิดอุปนิสัยการเลือกกินของตนเอง"
ยกตัวอย่างเช่นอุ้งตีนหมูเป็สิ่งที่เขาไม่ชอบ ้ามันเยอะ เขาไม่ชอบ ปรกติแล้วเขาจะกินแต่เนื้อไม่ติดมัน
เซวียเสี่ยวหรั่นกับเขาแตกต่างกันมาก
เธอชอบกินปีกไก่ ขาไก่ ชอบกระเพาะหมู หัวใจหมู ลิ้นหมู หูหมู อุ้งตีนหมู ทุกส่วนที่เป็เส้นเอ็นติดเนื้อ เธอชอบที่สุด
เธอชอบของเผ็ด ของทอด ของย่างกระทะ รสชาติค่อนข้างจัด
ความชอบเื่อาหารของทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างชัดเจน
แต่ไม่มีผลกระทบต่ออาหารยามปรกติของพวกเขา
อย่างไรเสียเหลียนเซวียนก็ยังเป็คนป่วย แม้เซวียเสี่ยวหรั่นจะชอบอาหารที่ถูกปาก แต่ก็จะอิงตามรสชาติของเขาเป็หลัก
แน่นอนว่าเธอก็จะเพิ่มอาหารที่ตนเองชอบบ้างเป็ครั้งคราว
เช่นกระเพาะหมูพริกเผาตรงหน้านี้ เธอชอบกินมาก เพราะความสดกรอบ รสชาติเค็มเผ็ด ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งอร่อย
เธอยิ้มพลางคีบให้เหลียนเซวียนชิ้นหนึ่ง
เหลียนเซวียนคีบใส่ปากเงียบๆ รสเผ็ดแผ่ซ่านไปทั่วโพรงปาก เขารีบพุ้ยข้าวเพื่อกลบรสเผ็ด
่นี้บนโต๊ะมักมีอาหารรสเผ็ดเล็กน้อยหนึ่งถึงสองอย่างบนโต๊ะเสมอ เขากินจนเริ่มชินแล้ว
แม่นางผู้นี้ทำอาหารพอใช้ได้ เสียแต่รสจัดไปหน่อย
เหลียนเซวียนพุ้ยข้าวเงียบๆ เข้าปากสองคำ
