ค่ำคืนแห่งหายนะผ่านไปอย่างเชื่องช้า รามสูรจัดการเกณฑ์คนงานส่วนหนึ่งไปช่วยนักดับเพลิงดับไฟที่โหมไหม้ ส่วนเขาก็ทำหน้าที่จัดการเปิดห้องที่ว่างให้กับแขกและเชิญแขกเข้าพักยังห้องพักที่เหลือ แขกหลายคนตกอยู่ในอาการแตกตื่นและหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนก็สามารถพักยังห้องพักเดิมของตนเองได้เพราะส่วนที่เป็พูลวิลล่านั้นอยู่ห่างจากตัวอาคารที่เกิดเพลิงไหม้ ทว่าก็มีแขกอีกหลายคนเช่นเดียวกันที่โวยวายและไม่ยอมรับมาตรการที่เขาพยายามเสนอให้เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หญิงวัยกลางคนรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเขายืนกรานว่าให้ทางโรงแรมจัดหาเรือเพื่อที่จะไปส่งเธอและลูก ๆ ขึ้นฝั่งเดี๋ยวนั้นเลย ซึ่งรามก็ยืนยันไปแล้วว่าเขาไม่สามารถทำได้ เพราะตอนนี้คนงานเกือบทั้งหมดถูกเกณฑ์ไปช่วยกันดับไฟและส่วนที่เหลือก็คอยช่วยบริการและอำนวยความสะดวกอยู่ตรงนี้ ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าหญิงแก่คนนั้นจะไม่เข้าใจในคำพูดของรามสูร เธอยังคงยืนกรานจะกลับขึ้นฝั่งอีท่าเดียวจนลูก ๆ ต้องมาช่วยอธิบาย อัสนีที่ได้ข่าวว่าโรงแรมไฟไหม้ก็รีบขับเรือจากฝั่งกลับมายังเกาะทันที ยังดีที่รามได้พี่ชายคอยช่วยอีกแรงไม่อย่างนั้นเขาคงคุมสถานการณ์ตรงหน้าคนเดียวไว้ไม่ได้
รามสูรขอตัวไปช่วยในส่วนอื่น ๆ ที่ยังไม่เรียบร้อย กลายเป็ว่าคืนนั้นเขาไม่ได้หลับเลยเพราะกว่าเพลิงจะสงบลงแสงอาทิตย์ของวันใหม่ก็โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาทักทายกันเสียแล้ว...
“แม่ไปพักแล้ว” พี่ชายพูดขึ้นหลังจากที่ส่งมารดาเข้านอนในตอนฟ้าสาง อัสนีประเมินสภาพความเสียหายแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า โรงแรมและรีเซปชันไม่สามารถรีโนเวทให้กลับมาเป็ดังเดิมได้ มีแต่ต้องทำใหม่เท่านั้น พูลวิลล่าสามถึงสี่หลังที่ได้รับผลกระทบจากเพลิงไหม้ในครั้งนี้ก็ด้วย
“อืม”
“อัส”
“...”
“ขอบคุณมึงมาก”
“อืม”
“มึงไปพักหน่อยไป”
“ไม่ล่ะ มึงสิไป ส่วนนี้มันของกู มึงมาช่วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ทำไมคิดงั้น”
“...”
“อย่าคิดอย่างนั้น เพราะถึงยังไงกูก็พี่มึง ไม่ให้กูช่วยมึงแล้วกูจะช่วยใคร”
“...ครับ” เด็กชายรามสูรเบะปาก ใบหน้าหล่อเหลางอง้ำลง ั์ตาคมแดงก่ำเอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำสีใส เป็วันที่เขาเหนื่อยมากจริง ๆ
“อย่าร้อง ร้องกูเตะซ้ำ”
“กูร้องไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ มึงไม่มีเวลาร้องไห้แล้วราม มึงต้องสร้างใหม่เดี๋ยวนี้ ตอนนี้”
“...”
“เดี๋ยวกูเขียนแบบให้ แต่เื่ฟาร์มหอยมุกของมึงคงต้องตามเอง เพราะกูก็ไม่รู้จะช่วยมึงยังไง”
“ไม่เป็ไร แค่เขียนแบบให้ก็พอแล้ว”
“อืม”
“กูตันไปหมดเลยว่ะอัส ทำไมต้องเกิดเื่แบบนี้ขึ้นกับกูด้วยวะ”
“ชีวิตอะราม มันก็มีดีมีแย่ปน ๆ กันไปแบบนี้แหละ มึงจะให้มันดีไปซะหมดมันก็ไม่เรียกว่าชีวิตสิวะ”
“แต่แบบนี้ก็ขมเกินไปนะ”
“มันยังไม่ขมขนาดนั้นหรอก” รสชาติของชีวิตมีหวานมีขมบ้างปะปนกันไป ครั้งนี้รามสูรได้ลิ้มรสความขมเพียงแค่ปลายลิ้น แต่ต่อไปภายภาคหน้าน้องชายของเขาจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนอมความขมปร่าของชีวิตเอาไว้ในปาก ไม่อาจขอให้ใครช่วยได้ แม้กระทั่งจะร้องไห้เพราะความอ่อนแอของตนเองยังทำไมได้เลย นั่นล่ะถึงจะเรียกว่าชีวิต
“ไหนบอกที่ฝั่งมีพายุ มึงขับเรือฝ่าพายุมาหรือไง”
“ฝนซาแล้ว หัวพายุผ่านไปั้แ่เมื่อวาน ตอนหัวค่ำเหลือแค่ฝนปรอย ๆ แต่คลื่นก็แรงอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเื่ขึ้นกูคงไม่ฝ่ามาหรอก”
“เหรอ”
“ทำไม”
น้องชายไม่ตอบ ทว่าแววตากลับฉายชัดความไม่มั่นใจออกมาจนล้นปรี่
“มึงไม่ไว้ใจเขาเหรอ ม่านหยี่น่ะ”
“...ไม่รู้ว่ะ กูรู้สึกว่าเขากำลังปิดบังเื่บางอย่างกับกูอยู่ ซึ่งกูก็ไม่รู้ว่าคือเื่อะไร”
“ถามจริง ๆ คบกันมาสามสี่ปีเคยถามเื่ครอบครัว หรือเื่อื่นเขามั้ย”
“หมายความว่ายังไง”
“เขาเคยเล่าเื่บ้านเด็กกำพร้าที่เขาโตมาให้ฟังมั้ย”
“...ไม่อยากถามเขาเื่นั้น คนเราไม่อยากให้ใครไปจี้ปมในชีวิตหรอกใช่มั้ย”
“ไม่ได้จี้ปม แค่ถาม ถามเพราะอยากรู้จักเขามากขึ้น มึงไม่คิดงี้เหรอ”
“...” รามสูรส่ายหน้า
“อย่างนั้นเลยไม่ถามเขาสินะ”
“อืม”
“พูดตามตรง กูก็มีความเห็นตรงกันกับแม่ เื่ที่มึงไม่ได้รู้จักเขามากไปกว่าที่เขาอยากให้มึงรู้เลย มึงคิดว่ามึงรู้ทุกเื่ในชีวิตของเขา แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่”
“...”
“บางที ถ้าแม่ให้คนสืบแม่อาจรู้มากกว่ามึงด้วยซ้ำ”
สองพี่น้องนั่งมองตะวันดวงโตที่แขวนอยู่ ณ ปลายขอบฟ้า แสงแดดแรงกล้ายามสายส่องกระทบมาที่คนทั้งคู่จนเกิดเงาทอดยาวไปตามชายหาดสีขาวนวลตา ความวุ่นวายและผู้คนด้านหลังเป็เสมือนภาพประกอบฉากที่ไม่ได้สลักสำคัญมากไปกว่าปูทะเลที่เดินไต่ไปตามหาดทราย ลมทะเลซัดสาดความเค็มและกลิ่นอายทะเลขึ้นมาเป็ระลอก คลื่นน้ำลูกใหญ่กระทบชายฝั่งเป็เสมือนเสียงดนตรีในยามเช้า รามสูรเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลกว้างไกล ภาพที่เขาเห็นจนชินตาั้แ่เล็กจนโตคือผืนน้ำสีเข้มทอดยาวออกไปจรดกับขอบฟ้าสีอ่อนตัดกันเป็เส้นคมกริบ ณ สุดขอบฟ้าไกลโพ้น ดวงตาของเขาไม่อาจมองเห็นคลื่นพายุ หากแต่ในความรู้สึกก็ััได้ว่าท่ามกลางทะเลสงบภายใต้ความลึกล้ำของมหาสมุทรกำลังมีพายุลูกใหญ่เกิดขึ้น บางทีคลื่นน้ำนี้อาจซัดเขาจนเสียหลักไปไม่เป็
ม่านหยี่กระวีกระวาดวิ่งฝ่าลูกคลื่นเข้ามาหาคนรักหลังจากที่รามสูรโทรไปหาเขาใน่สายของวันว่าโรงแรมเกิดไฟไหม้และหอยมุกที่ฟาร์มถูกขโมย ่ขายาวก้าวะโหลบคลื่นทะเลขนาดเล็กที่มันซัดเข้าหาฝั่ง ถึงอย่างนั้นมันก็สูงพอที่จะทำให้กางเกงขายาวของเขาเปียกแฉะ
“ราม!”
“ม่าน”
“มันเกิด...อะไรขึ้น” ไม่จำเป็ต้องฟังคำอธิบายใด ๆ จากรามสูร ม่านหยี่ก็เห็นมันได้ด้วยสองตาของตนเองแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่โรงแรมของรามสูร เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้อาคารต้อนรับแขกยังเป็อาคารไม้สักหลังใหญ่ที่ถูกออกแบบและประดับตกแต่งด้วยไม้สักราคาสูง บัดนี้มันกลายเป็เพียงแค่ซากปรักหักพังที่ถูกไฟเผาไหม้จนดำเป็ตอตะโก และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ม่านหยี่ใถึงขั้นต้องยกมือขึ้นมาปิดปากของตนเอาไว้คือโรงแรมสี่ชั้นที่ซึ่งเคยเป็ห้องพักของแขกบัดนี้หายวับไปกับตา เหลือแค่เพียงกลุ่มควันที่พวยพุ่งขึ้นมาเป็สัญลักษณ์ว่าสุดท้ายที่เพลิงร้อนหลงเหลือไว้ให้คือเศษฝุ่นและควันดำเท่านั้น
“มัน...ราม” เขาไม่รู้จะสรรหาคำพูดใด ๆ มาปลอบใจคนรักได้ เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้หม่นหมองลงซ้ำยังซูบตอบ ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่วันเื่ราวร้าย ๆ ก็ถาโถมรามสูรจนแทบจะทำให้รามของเขากลายเป็คนละคน
ม่านหยี่ไม่รอให้คนรักกอดตนเองก่อนอีกแล้ว ครั้งนี้เป็เขาเองที่พุ่งตัวเข้าไปโอบกอดรามสูรไว้ อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้อ้อมกอดนี้มันเป็สิ่งที่ช่วยเยียวยาหัวใจของราม กับเื่ราวต่างที่เขาและบิดาได้ร่วมกันทำร้ายและหักหลังรามสูร ม่านหยี่รู้สึกผิดอย่างเต็มหัวใจ
“ราม ไม่เป็ไรนะ”
“...ครับ”
“ให้ม่านช่วยอะไร ม่านทำได้ทุกอย่างเลย ขอแค่รามบอกม่านมา”
ใจหนึ่งรามสูรก็อยากขอให้ม่านหยี่บอกความจริงทุกอย่างกับเขา แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้า ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากรู้ แต่เขากลัวว่าพอได้รู้ความจริงเ่าั้แล้วคลื่นแห่งความเสียใจมันจะซัดโถมเข้าหน้าของเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัยต่างหาก
ทางด้านม่านหยี่เอง ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เขาเกลียดตัวเองและยิ่งเกลียดมากขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นสีหน้าและแววตาอ่อนแอของรามสูร
“นายหัว นายหัวรามครับ คุณนายให้มาตามครับ”
และความจริงอีกหนึ่งที่รอสาดซัดเข้าหน้าเขาทั้งสองคนคือมารดาที่รออยู่บนบ้านใหญ่หลังนั้น
“มันเกิดเื่แบบนี้ขึ้นได้ยังไง! ใครพอจะบอกฉันได้บ้าง!!!”
ไร้เสียงตอบรับจากลูกน้องนับสิบชีวิตที่ยืนอยู่ต่อหน้าคุณนายรุ่งฤดี บัดนี้คุณนายรุ่งฤดีสลัดคราบหญิงแก่วัยกลางคนทิ้งไปจนสิ้น เหลือเพียงแต่มาดคุณนายใหญ่ผู้ซึ่งเป็เ้านายและเ้าของเกาะใหญ่กลางทะเลแห่งนี้
“บอกฉันซิชัย!!!” เ้าของชื่อสะดุ้งโหยง ลุงชัยผู้ซึ่งได้รับหน้าที่เฝ้าฟาร์มหอยมุกยืนก้มหน้านิ่งมองพื้นปูนซีเมนต์ราวกับว่ามันน่าสนใจนักหนา
“หนิม!!! บอกฉันว่ามันเกิดเื่บ้า ๆ แบบนี้ขึ้นได้ยังไง!!!”
หนิมไม่พูดหากแต่ทำเช่นเดียวกันกับลุงชัย
“พล!!! ในฐานะที่เธออยู่กับฉันมานานที่สุด บอกฉัน อธิบายมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!!” พวกแม่บ้านต่างพากันกลัวหัวหดจนไม่กล้ายื่นหน้าออกมาสอดส่องดูว่าคุณนายกำลังสอบอะไรพวกคนงานอยู่ พวกเธอพากันลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข
“ไม่ทราบครับคุณนาย”
“อัสนี!!!”
“...ครับแม่”
“น้องชายเธอมันหายหัวไปไหน!!!”
“มันกำลังมาครับ”
คุณนายรุ่งฤดีราวกับหมีกินผึ้งที่สุมความโกรธเอาไว้เต็มอก พร้อมที่จะพ่นไฟใส่ลูกชายคนเล็กอย่างรามสูรเต็มที่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนเกาะแห่งนี้เธอยกให้มันเป็ชื่อรามสูรหมดแล้วทั้งนั้น หากลูกชายเธอมันโง่เง่าและอ่อนแอเกินกว่าจะดูแลได้ เธอก็จะเวนคืนกลับเข้ามาอยู่ในปกครองของเธอเองทั้งหมด
“หน้าสิ่วหน้าขวาน! ยังมีหน้าไปรอคนอื่นกลับมา แทนที่จะรีบจัดการธุระของตนให้มันเสร็จ เธอไม่รู้หรือยังไงว่าอะไรควรทำไม่ควรทำอยู่ตอนนี้ รามสูร! เธอต้องให้ฉันบอกฉันสอนทุกอย่างเรื่อยไปอย่างนั้นเหรอ!!!”
ทันทีที่ลูกชายโผล่หัวมา คุณนายรุ่งฤดีก็ฟาดแรงอารมณ์ใส่ไม่ยั้ง เป้าประสงค์ของเธอนั้นไม่ได้หวังแค่ให้กระทบกับบุตรชายอันเป็ที่รัก หากแต่อยากให้มันซัดเข้าหน้าแฟนหนุ่มของรามสูรด้วยอีกคน จะว่าเธอพาลอย่างนั้นก็ได้
“รักกันไม่มีขอบเขต ไม่มีกาลเทศะ ชีวิตจะพังอยู่รอมร่อยังต้องรอกันเดินกลับบ้านมาด้วยกัน มันขาดกันไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือยังไง!!!” คราแรกคุณนายรุ่งฤดีดูเหมือนพร้อมจะผลาญทุกอย่างตรงหน้าให้แหลกเป็จุณไม่ต่างจากเปลวเพลิงเมื่อคืน เพราะคนงานทุกคนทำงานผิดพลาด ทำงานไม่คุ้มค่าจ้างและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ไข่มุกโดนขโมยจากโรงเก็บมุกทั้ง ๆ ที่มีคนงานเฝ้ากันอยู่ไม่น้อย โรงแรมถูกลอบวางเพลิงถึงแม้ว่าจะไม่อาจจับมือใครดมได้แต่มันก็ไม่ใช่เื่ยากเกินจะคาดเดาว่าใครกันที่ประสงค์ร้ายต่อชัยพิพัฒน์กรุ๊ป ไม่พ้นจะเป็เพื่อนบ้านที่บ้านใกล้เรือนเคียงไม่ห่างกันไปเท่าไหร่ แต่ตอนนี้คุณนายรุ่งฤดีคงไม่โกรธคนร้ายที่มันลอบกัดเธอเท่าชายคนรักของรามสูรที่เดินจับมือเคียงคู่กันมา
“แม่!!!...”
“ต้องให้ฉันบอกเธออีกกี่ครั้ง บอกไม่เคยจำ สอนไม่เคยจำ เื่อะไรสำคัญเอามันไว้ก่อน ส่วนเื่...” คุณนายรุ่งฤดีไม่อาจเอ่ยคำว่ารักได้ เพราะเธอไม่อาจยอมรับได้เื่ที่ลูกชายจะรักกับเพศเดียวกัน
“เธอเห็นคนรักของเธอสำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสร้างมาเหรอรามสูร เธอเห็นมันดีกว่าฉันอย่างนั้นเหรอ เธอเห็นงานแต่งงานงี่เง่าของพวกเธอมันดีกว่าทุกชีวิตบนเกาะนี้หรือยังไง!!!”
ไปไกลเกินกว่าจะกู่กลับ เมื่อเื่ราวที่คุณนายรุ่งฤดีสาธยายมานั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเื่ฟาร์มหอยมุกและเื่เพลิงไหม้โรงแรมเมื่อคืนเลย มีเพียงแต่ความโกรธและความรังเกียจเท่านั้นที่ปะปนมาในน้ำเสียง
“ฉันล่ะ...อึดอัดใจจริง ๆ เื่พวกเธอสองคน จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย!!!” หญิงวัยกลางคนตะคอกให้ลูกชายกับคนรัก ถึงอย่างนั้นรามสูรก็ยังไม่ยอมปล่อยมือม่านหยี่ สองมือยังคงกอบกุมกันและเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้ามารดา ผู้คนรอบข้างต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรด้วยเพราะััได้ว่าอีกไม่กี่ชั่วอึดใจจะเกิดาระหว่างคุณนายรุ่งฤดีและนายหัวรามสูรเป็แน่แท้
“แม่จะด่าผมหรือโทษว่ามันเป็ความผิดของผมยังไงก็ได้ ผมสะเพร่าผมไม่ระวัง ผมประมาทผมโง่ อย่างนั้นก็ได้ ผมยอมรับ ยอมรับมันหมดทุกอย่าง แต่เื่นี้ม่านไม่เกี่ยว คนรักของผมไม่ได้อยู่บนเกาะด้วยซ้ำในตอนที่มันเกิดเื่ขึ้น”
“ฉันไม่ได้บอกว่าคนรักของเธอทำเื่บ้า ๆ พวกนี้! ฉันแค่กำลังสั่งสอนเธอรามสูร ในฐานะคนเป็แม่ เธอเรียงลำดับความสำคัญผิดไปหมดในตอนนี้ อะไรที่ควรให้ความสำคัญเธอกลับละเลยมัน อะไรที่เธอไม่ควรให้ความสำคัญกับมัน เธอกลับรอมันอย่างใจจดใจจ่อ เกาะนี้มันเป็ของเธอ โรงแรมมันเป็ชื่อเธอ ฟาร์มไข่มุกนั่นมันก็เป็ของเธอ ทุก ๆ คนบนเกาะแห่งนี้หวังพึ่งเธอ! รามสูร!!!”
“...”
“และถ้าหากเธอคิดว่าฉันพูดทั้งหมดนั้นมันไม่จริง เชิญ! ไสหัวไป จะไปไหนก็ไป!!!”
“...”
“แค่นี้ยังรับผิดชอบไม่ได้ ต่อไปเธอจะรับผิดชอบชีวิตใครเขาได้ ชาวบ้าน คนงาน ลูกจ้าง แขกที่มาพัก เธอไม่ให้ความสำคัญกับเขาหรือยังไง-...”
“ผมก็ทำอยู่นี่ไงแม่!”
“มันไม่พอ! และฉันจะบอกให้นะ จะไม่มีงานแต่งระหว่างเธอและคนรักเกิดขึ้น เื่โง่ ๆ พรรค์นั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด”
“แม่!!!”
“ฉันจะขัดขวางทุกวิถีทาง เอาให้มันรู้กันไปเลยว่าใครมันจะใหญ่กว่ากัน!!!”
สุดท้ายแล้วการเรียกประชุมด่วนในเช้าวันนี้เนื้อหาการประชุมกลับมีแต่คำด่ากราดให้กับนายหัวรามสูรและม่านหยี่คนรัก คุณนายรุ่งฤดีนอนพักไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับอารมณ์ฉุนเฉียวและความไม่พึงพอใจเมื่อเห็นลูกชายเดินจับมือมากับชายคนรัก คนแก่ที่อารมณ์แปรปรวนอยู่แล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่ เมื่ออบรมลูกชายให้เสียหน้าต่อธารกำนัลโดยถ้วนทั่วแล้วคุณนายรุ่งฤดีก็สะบัดตูดเดินสับกลับเข้าไปพักยังห้องนอนของเธออีกครั้ง ทิ้งเศษะเิที่มันกระจัดกระจายเต็มลานหน้าบ้านเอาไว้ให้ลูกชายเก็บกวาดทำความสะอาดให้เรียบร้อย
รามสูรยืนนิ่งมองคนงานนับสิบชีวิตที่ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา น่าแปลกที่รามสูรเติบโตมากับคนงานพวกนี้ หากแต่เขาไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ เขาไม่รู้ว่าหนิม ลุงชัย และลุงพล ยอมรับในตัวเขาได้หรือไม่ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนแก่ที่อายุห่างจากเขาเกือบรอบเข้าใจเื่ความรักระหว่างเพศเดียวกันมากน้อยแค่ไหน หรือคนพวกนี้อาจเป็เหมือนแม่ของเขาที่ไม่เข้าใจและไม่ยอมรับอะไรในตัวเขาเลย
“นายหัวจะเอายังไงต่อครับ”
ร่างแกร่งถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ไม่เพียงแต่เื่โรงแรม เื่ฟาร์มหอยมุกและเื่มารดาเท่านั้นที่ทำให้เขาต้องคิดหนัก ความรู้สึกที่คิดว่าม่านหยี่กำลังปิดบังเขาอยู่นั้นก็บั่นทอนรามสูรไม่น้อยเหมือนกัน
“คนของเราที่าเ็เมื่อคืนมันพูดได้รึยัง”
“พูดได้แล้วครับ ตอนนี้นอนอยู่ที่สถานีอนามัย ให้ผมไปถามมันมั้ยครับ”
“อืม ฝากลุงชัยด้วย ได้เื่ยังไงรีบมาบอกผม”
“ครับได้ครับนาย”
“แล้วเื่ไฟไหม้ ให้คนของเราไปเดินตรวจดูให้ทั่วเกาะ ทุกตารางนิ้วอย่าให้หลุดรอดสายตาไปได้ กูเชื่อว่ามันต้องทิ้งหลักฐานเอาไว้ มันคงไม่เอากลับไปด้วยหรอก หนิม มึงพาคนไปซักสี่ห้าคน ค้นให้ทั่วเกาะ ระหว่างรอตำรวจมา”
“ครับนาย”
“พี่พล วันนี้คงต้องเหนื่อยหน่อย แขกทั้งหมดยืนยันว่าจะกลับเข้าฝั่ง ผมจะให้ลุงเอาเรือออกั้แ่ตอนนี้จนกว่าแขกจะหมด คนงานผู้ชายที่เหลือเอาไปขับรถส่งแขก”
“ครับนาย”
“ส่วนคนที่เหลือจัดเวรยามกันเฝ้าทางเข้าออกของเกาะทุกทาง! อย่าให้คนนอกเข้ามา ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งนั้น”
“ครับ!”
“ผมจะปิดเกาะจนกว่าจะแน่ใจว่าคุมสถานการณ์อยู่...และจนกว่าจะแน่ใจว่าทุกคนปลอดภัย”
รามสูรสั่งงานมอบหมายหน้าที่ให้ทุกคน ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปทั้งเขาและคนงานเองคงจะงานล้นมือ นายหัวรามสูรกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้งกับการทำงานตัวเป็เกลียวหัวเป็นอต
“กูมีเพื่อนอยู่ในกรม เดี๋ยวจะขอให้มันช่วยด้วยอีกทาง” กรมที่อัสนีว่าคงหมายถึงกรมตำรวจ แรงตบจากฝ่ามือของพี่ชายส่งตรงลงมายังไหล่กว้าง อัสนีตบบ่าน้องชายปุ ๆ ให้รามสูรรู้ว่าถึงอย่างไรก็มีเขาอยู่ตรงนี้
“อืม ขอบคุณมึงมาก”
“อืม”
“ไปพักเถอะ”
“มึงบอกกูไปพักกี่รอบแล้วอัส แล้วมึงทำไมไม่พักบ้าง”
“กูยังไม่ได้ทำอะไรมากเลย กูจะพักทำไม”
“นี่มึงจะเริ่มเลยใช่มั้ย”
“เออ กลัวไรล่ะ มาดิ”
สองพี่น้องตั้งท่าจะต่อยกัน รามสูรผลักอกแกร่งของพี่ชาย ส่วนอัสนีก็ผลักอกแกร่งของน้องชายกลับคืนไม่ยอมให้ตนเป็ผู้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว ม่านหยี่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบรุดจะเข้าไปห้ามทั้งสองคนทว่า...
“อย่าพึ่ง....ตีกัน” ร่างบางพูดพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกไปผลักแต่ละฝ่ายเอาไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะห่าใหญ่จากพี่น้องทั้งสองคน
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” // “หึ ๆ ๆ ๆ”
อะไรก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าพี่อัสพี่ชายของรามสูรหัวเราะออกมา เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่นาทีสองพี่น้องยังสมัครสมานสามัคคีปรองดองกัน แต่พอคนงานหันหลังจากไปแล้วพี่อัสกับรามกลับทำท่าเหมือนจะลงไม้ลงมือกันให้ได้ แล้วตอนนี้สองคนยังยืนหัวเราะเขาอีก...
“ม่านคิดว่าเรากับมันจะต่อยกันจริง ๆ เหรอ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
“อ้าว...ก็เมื่อกี้...” ดวงหน้าสวยมองไปยังคนรักและหันกลับไปมองพี่ชายของคนรักอีกครั้ง ม่านหยี่ทำอย่างนี้สลับไปมา
“ไม่ได้จะตีกันเหรอ”
“ไม่ละ ต่อยกับไอ้รามเหมือนต่อยกับเด็กอนุบาล กระจอก”
“มึงพูดอย่างนี้ต่อยกับกูตอนนี้เลยก็ได้นะอัส” น้องชายทำท่าถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมที่จะวางมวยกับพี่ชายเต็มที่ นั่นทำเอาม่านหยี่ใจสั่นอีกระลอกด้วยกลัวว่าสองคนนี้จะต่อยกันจริง ๆ
“มึงช้ำจนตัวเป็หนองแล้วจะเอาแรงที่ไหนมาต่อยกู รอให้หายดีก่อนเถอะค่อยปากดี”
ม่านเห็นด้วยกับพี่อัสที่สุด สภาพคนรักของเขาตอนนี้เหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเดินเหิน เขากลัวใจเหลือเกินว่ารามสูรจะเป็ลมล้มพับลงไป
“ราม...ไปพักก่อนดีมั้ย”
“ม่านก็อีกคนเหรอ”
“ม่านเป็ห่วงรามนะ พี่อัสก็ห่วง ไม่อย่างนั้นคงไม่บอกให้รามไปพักหรอก”
“แต่เรา...”
“ราม...”
“ก็ได้ครับ”
“หึ ๆ ๆ ๆ”
“อะไร มึงมีปัญหาอะไรกับกูอีก”
“ราม!” ม่านหยี่ปรามคนรักเอาไว้ รามสูร้าการพักผ่อนมากกว่าที่จะเล่นต่อล้อต่อเถียงกับพี่ชายอยู่อย่างนี้
“ครับก็ได้ครับม่าน”
“ทีกับเขาครับอย่างนั้นครับอย่างนี้ ไม่เถียงซักคำ ทีกับกูพี่ชายแท้ ๆ มึงเถียงคำไม่ตกฟาก”
“เออ แล้วมันจะทำไม”
“รามสูรพอแล้ว!”
“เปล๊า ก็แค่...อ่อน” นี่เป็หนึ่งในไม่กี่ครั้งที่พี่อัสแสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยามน้องชายอย่างรามสูร ม่านหยี่ใกับดวงหน้าหล่อเหลาที่เบะริมฝีปากโค้งลงเป็เชิงดูถูก กับั์ตาคมที่เหลือบมองขึ้นลงั้แ่หัวจรดเท้าของน้องชาย ถึงแม้ม่านจะเข้าใจว่านี่เป็เพียงการเล่นกันของพี่น้อง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คงต้องขอบันทึกเอาไว้เป็หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่พี่อัสทำสีหน้าแบบนี้
ก่อนที่จะได้มีการวางมวยเกิดขึ้นจริง ๆ ม่านหยี่ก็ลากเอาคนรักเข้ามายังห้องนอนของราม มันยังคงเป็ระเบียบเรียบร้อยเหมือนวันแรก ๆ ที่เขาได้เข้ามานอนพักก่อนที่จะถูกแม่ของรามแยกให้ไปนอนห้องนอนแขก
“มันว่าราม!”
“ไม่เอาพอแล้ว”
“รามไม่ยอมนะม่าน” เด็กชายรามสูรเริ่มแผลงฤทธิ์อีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้ากระทืบเท้าตึงตังอยู่หน้าประตูไม่ยอมเดินไปไหน
“พอแล้วราม ไปอาบน้ำกัน”
“ไม่ จนกว่ารามจะได้ต่อยไอ้อัส”
“ไปอาบน้ำด้วยกัน เร็ว”
“ม่านจะอาบน้ำพร้อมกับรามเหรอ”
“อืม” นี่คงเป็หนทางเดียวที่เขาพอจะเอาใจเด็กชายรามสูรได้ ม่านหยี่ต้องใช้ร่างกายเข้าแลก จะไม่ให้แม่ของรามว่าได้ยังไงก็เขาเป็อย่างที่คุณนายรุ่งฤดีคิดจริง ๆ นี่นา
“ครับได้ครับ เดี๋ยวถอดเลย” พูดยังไม่ทันจบประโยคเด็กชายรามสูรก็ถอดเสื้อผ้าเปลือยล่อนจ้อนรีบวิ่งดุ๊กดิ๊กหางจุกตูดเข้าไปรอม่านหยี่ในห้องน้ำเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ร่างบางปล่อยให้รามร้องเรียกเขาอยู่อย่างนั้น ม่านหยี่เดินเตร่ไปทั่วห้องเพื่อเตรียมผ้าเช็ดตัวและชุดนอนอุ่น ๆ เอาไว้สำหรับคนรัก
“ม่าน! มาเร็ว พร้อมแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาเป็ครั้งที่เก้าหรือสิบไม่แน่ใจ ม่านหยี่ก็ต้องถอนหายใจหนัก ๆ และลอบยิ้มออกมา
“เหลือเชื่อเลยจริง ๆ รามสูร” จากนั้นร่างบางก็เปลือยล่อนจ้อนไม่ต่างกัน บทรักในห้องน้ำท่ามกลางสายน้ำเย็นเริ่มขึ้น ม่านรู้สึกว่ามันออกจะให้ความรู้สึกที่แปลกไปจากที่เราเคยทำกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยอมโอนอ่อนผ่อนตามและเอาอกเอาใจรามสูรอย่างดีที่สุด สองคนใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานนับชั่วโมงกว่าที่บทรักนั้นจะจบลงได้ ม่านสุดน้ำมูกฟุดฟิด ส่วนรามสูรหลังเสร็จกิจก็นอนสลบเหมือดเหมือนเสือตัวใหญ่ ๆ ม่านหยี่นั่งมองคนรักนอนหลับอยู่สักพักก่อนที่จะตบผ้าห่มนวมผืนหนาขึ้นมาห่มคลุมทั้งเขาและรามเอาไว้ ร่างบางพยายามขยับเข้าไปใกล้ ๆ รามสูร เอาตัวของตนเองซุกหาไออุ่นที่เขาโหยหามันมาเนิ่นนาน ถึงแม้วันนี้มันจะเย็นชืดไปหน่อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าไม่มีรามอยู่เคียงข้างกัน