เหอเปาใบหนึ่ง แลกทองคำหนึ่งหีบ?
คงจะมีเพียงเขากระมัง ที่มีตรรกะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้!
เ้าคนหัวทึ่มคนนี้ หรือเขาไม่เห็นหรือว่างานปักบนเหอเปานั้นใช้ไม่ได้?
กระทั่งบุตรชายก็ยังไม่้า แต่เขากลับ้า ซ้ำยังพกพาติดตัวอย่างเปิดเผยอีก
บอกว่าไม่ตื้นตันคงเป็ไปไม่ได้...
นางไม่เปิดโปงเช่นกัน แต่จับจ้องเหอเปาบริเวณเอวของเขา “ท่านคิดว่างานปักบนเหอเปาเป็อย่างไรบ้าง?”
เซวียนหยวนเช่อนิ่งไปครู่หนึ่งจึงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แมวตัวนี้ปักได้ไม่เลวทีเดียว!”
เฟิ่งเฉี่ยนราวกับถูกน็อคกลางอากาศ
ราวกับไม่รู้สึกว่าสีหน้าของนางประหลาดอยู่บ้าง เซวียนหยวนเช่อถูกกลิ่นเย้ายวนใจของหมูสามชั้นในน้ำซอสที่อยู่ในกล่องสำรับข้าวดึงดูดความสนใจไปเสียสิ้น “หมูสามชั้นในน้ำซอสครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิม”
“นี่เป็หมูสามชั้นในน้ำซอสที่ปรับรสชาติไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ลองชิมดูว่ารสชาติเป็อย่างไร?” เฟิ่งเฉี่ยนมีสีหน้ารอคอย
เซวียนหยวนเช่อนั่งลงอย่างสง่างาม ทว่ากลับไม่ขยับตะเกียบ และไม่ยื่นมือออกมา ได้แต่หันมามองนาง “เ้าป้อนเจิ้น!”
เฟิ่งเฉี่ยนแก้มร้อนซู่ รับไม่ทันอยู่บ้าง
พ่อหนุ่มคนนี้กำลังออดอ้อนนางหรือ?
ลั่วหยิ่งรีบถอยออกไปอย่างรู้งาน มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มอย่างชัดเจน
เซวียนหยวนเช่อเห็นนางไม่ตอบสนองจึงมองนางและพูดว่า “เมื่อคืนเจิ้นตากฝน ได้รับความเย็น เช้านี้ฟ้ายังไม่สางก็ไปประชุมเช้า เฉียนเฉี่ยน ตอนนี้เจิ้นทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย...”
เฟิ่งเฉี่ยนสะอึก นางมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าบุตรชายช่างออดอ้อนเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าจะเสด็จพ่อของเขาบทจะออดอ้อนขึ้นมาจะถึงขั้นเอาชีวิตเช่นนี้ แต่ดูกระบอกตาของเขาที่มีรอยดำคล้ำแล้วก็มองออกว่าเหน็ดเหนื่อย สิ่งเหล่านี้ปกปิดไม่ได้ นางจึงอดที่จะปวดใจไม่ได้
“ก็ได้!” ใครใช้ให้นางใจอ่อนเล่า?
ริมฝีปากของเซวียนหยวนเช่อโค้งขึ้นอย่างพอใจ ในแววตานั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
เฟิ่งเฉี่ยนยืนอยู่ข้างกายเขา นางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบหมูสามชั้นขึ้นมาชิ้นหนึ่งส่งถึงข้างปากของเขา
วินาทีนี้ นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนขันทีเหลือเกิน!
“อ้า—เด็กดีอ้าปาก!” นางคิดเสียว่ากำลังป้อนบุตรชายกินข้าว
เซวียนหยวนเช่อจับข้อมือของนางเอาไว้แล้วกัดเนื้อหมูบนตะเกียบ
ดวงตาเปล่งประกายของเฟิ่งเฉี่ยนจับจ้องและถามว่า “เป็อย่างไรบ้าง อร่อยหรือไม่?”
เซวียนหยวนเช่อเคี้ยวช้าๆ เขากินด้วยอิริยาบถงามสง่า ทว่าไม่ยอมพูดยอมจา นางจ้องจนรู้สึกร้อนใจ
“รสชาติเป็อย่างไรบ้าง? นี่เป็หมูสามชั้นในน้ำซอสที่ข้าปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมเชียว ตามหลักแล้วควรจะอร่อยกว่าเมื่อก่อนจึงจะถูกต้อง”
เห็นเขายังคงเคี้ยวช้าๆ นางรอไม่ไหวแล้ว “ท่านพูดมาสักประโยคสิ!”
ในที่สุดเซวียนหยวนเช่อก็ปริปาก “เ้าลองชิมเอง ก็รู้แล้ว?”
เฟิ่งเฉี่ยนกลอกตาขาวใส่เขา ยังต้องให้ท่านพูดเหรอ?
นางยื่นตะเกียบไปคีบเนื้อหมูสามชั้น รอบเอวของนางพลันถูกคนออกแรงดึง ร่างของทั้งร่างสูญเสียสมดุลล้มลงในอ้อมกอดของเซวียนหยวนเช่อเต็มๆ!
เมื่อช้อนตาขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือใบหน้าคมสันของเซวียนหยวนเช่อที่ขยายใหญ่ขึ้น
“ท่าน...” นางเพิ่งจะพูดได้คำเดียว ต่อมาคำพูดทั้งหมดล้วนถูกจุมพิตเอาแต่ใจของเซวียนหยวนเช่อกลบกลืนเสียสิ้น
เริ่มจากจุมพิตอ่อนโยนกระทั่งกลายเป็จุมพิตร้อนแรงลึกซึ้ง ดูเหมือนเขาจะค่อยๆ ค้นพบความสุขจากัันี้อย่างช้าๆ จุมพิตของเขาพัฒนาก้าวหน้าขึ้นด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเองจนถึงขั้นปรมาจารย์!
เขาชอบจุมพิตนางเหลือเกิน ครั้งแรกคือความแปลกใหม่ ครั้งที่สองคือหลังจากเคยลิ้มลองแล้วคือความรู้สึกติดพัน จุมพิตอย่างไรก็ไม่พอ มีร่างอ่อนนุ่มของนางอยู่ในอ้อมกอด จุมพิตริมฝีปากหวานล้ำที่เขาชมชอบของนาง ความรู้สึกงดงามเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกมีความสุขและพึงพอใจตราบชั่วฟ้าดินสลาย
เริ่มแรกเฟิ่งเฉี่ยนยังขัดขืนบ้างเล็กน้อย ดูเหมือนพวกเขายังอยู่ระหว่างาเย็นมิใช่หรือ? แต่อย่างช้าๆ ภายใต้ทักษะการจุมพิตขั้นแอดวานซ์ของเขา นางเสียการควบคุมตัวเองอย่างราบคาบ ถูกเขาจุมพิตเสียจนหัวหมุน ตะเกียบในมือตกลงบนพื้นเนิ่นนานแล้ว ร่างอ่อนปวกเปียกของนางซบอยู่ในอ้อมกอดของเขา มือทั้งคู่โอบรอบไหล่ของเขาอย่างอ่อนแรง แก้มทั้งสองข้างแดงปลั่ง
เห็นนางถูกจุมพิตจนเหม่อลอยในอ้อมกอดของตนเอง เซวียนหยวนเช่อยกยิ้ม ดูท่าแล้วเคล็ดลับที่สามของลั่วหยิ่งนั้นถูกต้อง เวลาสตรีมีโทสะ หากวิธีอื่นใช้ไม่ได้ผล นั่นก็มีเพียงวิธีที่สาม—
กอดนางเอาไว้ แล้วจุมพิตนางแรงๆ!
กระทั่งเฟิ่งเฉี่ยนเกือบจะหายใจไม่ทัน เซวียนหยวนเช่อจึงปล่อยนาง
มือทั้งคู่ของเฟิ่งเฉี่ยนแปะอยู่บนไหล่ของเขา ในดวงตานั้นมีละอองน้ำฉาบอยู่บางๆ ชั้นหนึ่ง ร่างกายหอบหายใจไม่หยุด
ดวงหน้าขาวเนียนละเอียดงดงามนั้น มีเสน่ห์เย้ายวนเหลือเกิน
ดวงตาของเซวียนหยวนเช่อหม่นแสงลง เขาก้มหน้าลงไปหมายจะจุมพิตนางอีกด้วยทนไม่ไหว
เฟิ่งเฉี่ยนรีบยื่นมือออกมากันเขาเอาไว้ เห็นใบหน้าคมสันหล่อเหลาราวกับเทพมาจุติของเขาแล้วหัวใจของนางว้าวุ่นเหลือเกิน
เขาเป็คนรูปร่างสูงใหญ่และเ็า เดิมทีควรเป็เช่นหยาดพิรุณที่พร่างพรมทั่วท้องฟ้า แต่เขากลับมีสายตามองนางเพียงคนเดียว
ความอ่อนโยนของเขา ความรักอันลึกซึ้งของเขา นางล้วนเห็นอยู่ในสายตา และััได้ด้วยหัวใจ
ในใต้หล้ามีคนเพียงไม่คนที่จะต้านทานเสน่ห์เย้ายวนเช่นนี้ได้!
และความรักของเขาเหมือนยาพิษชนิดหนึ่ง เมื่อตกอยู่ในความรักนั้นแล้วมิอาจถอนตัวออกมาได้
สิ่งใดที่ต้องแลกกับความรักที่ถอนตัวไม่ได้ นางรู้ดีกว่าใคร!
ขณะที่นางกำลังต่อสู้กับจิตใจของตนเองอย่างหนัก มีคนมารายงานด้านนอกประตู “ทูลเหนียงเหนียง หลานเฟยขอเข้าเฝ้าเพคะ—“
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงงัน “นางมาทำไมกัน?”
ไม่มีเื่อันใดย่อมไม่มาเยือน!
องค์หญิงหลานซินมากะทันหัน ไม่ใช่เื่ดีแน่!
นางตอบรวดเร็วเด็ดขาด “ไม่พบ!”
เซวียนหยวนเช่อมองนางปราดเดียวก็รู้ถึงความคิดของนาง ในแววตานั้นปรากฏให้เห็นรอยยิ้ม “มักจะมีคนมาฟ้องเจิ้นต่อหน้าเสมอว่า ฮองเฮาข่มเหงรังแกคนในตำหนักใน ยโสโอหัง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ที่จริงเจิ้นไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เจิ้นเชื่อแล้ว!”
หางตาเฟิ่งเฉี่ยนกระตุก นางถลึงตาใส่เขา “ที่ท่านกล่าวว่ามีคนบอก ใครกัน? ฉีเหม่ยเหริน? หรงเหม่ยเหริน? อินเหม่ยเหริน? หรือว่าหลานเฟยของท่าน?”
เซวียนหยวนเช่อเชยคางของนางขึ้นเมื่อมองนางอย่างเอ็นดู “เฉียนเฉี่ยน เ้ากำลังกินน้ำส้มใช่หรือไม่?”
“ใครกินน้ำส้มกัน?” เฟิ่งเฉี่ยนมีท่าทีราวกับถูกเหยียบหางก็ไม่ปาน นางโมโหจนะโออกมาจากอ้อมกอดของเขา แต่กลับถูกเขาดึงกลับมากอดไว้แแ่ในอ้อมกอดอีกครั้ง คางของเขากดลงบนกระดูกไหปลาร้าของนาง เขาแนบแก้มกับแก้มของนางแล้วยิ้มอย่างมีความสุข “เจิ้นชอบท่าทางกินน้ำส้มของเ้า เชิญเ้ากินน้ำส้มต่อไปได้!”
นางถูกเขาทำให้โมโหจนต้องหัวเราะออกมา ไม่เคยเห็นคนน่ารังเกียจเช่นเขามาก่อนเลยจริงๆ!
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูรายงานอีกครั้งว่า “เหนียงเหนียง หลานเฟยเหนียงเหนียงยืนกรานจะพบท่านให้ได้ นางบอกว่า นางมาเพื่อขอขมาท่านโดยเฉพาะ! หากท่านไม่รับการขอขมาจากนาง นางจะไม่ไปไหนเพคะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง “นางที่ไหนมาขอขมากัน? นางมาปิดล้อมวังมากกว่า!”
เซวียนหยวนเช่อ “หากเ้าไม่ชอบ ก็ไม่ต้องใส่ใจ!”
เฟิ่งเฉี่ยนเบ้ปาก “นางเป็หลานเฟยของท่าน ท่านไม่ปวดใจหรือ?”
เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตามองนาง “บอกว่าเ้ากินน้ำส้ม เ้ายังไม่ยอมรับ?”
เฟิ่งเฉี่ยนถลึงตาใส่เขาแล้วดิ้นจนหลุดออกจากมือของเขา นางลุกขึ้นเมื่อกล่าวว่า “ท่านกลับไปก่อนเถิด! ข้าอยากรู้เหมือนกันว่านางจะขอขมาข้าอย่างไร!”
เห็นเขาไม่ตอบคำนางจึงหันไปมอง กลับเห็นเขาจ้องมองนางด้วยสายตานิ่งลึก ยากจะอ่านออก
“บนโลกใบนี้ คนที่กล้าไล่เจิ้นต่อหน้า ก็มีเพียงเ้าคนเดียวนี่แหละ!”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะแห้งๆ นางรีบกล่าวเสริม “ข้ารู้ว่าท่านไม่โมโหข้าแน่นอน! ใครใช้ให้ท่านเป็เทพบุตรที่ทั้งสูงใหญ่ทั้งฉลาดเฉลียวทั้งหล่อเหลาและมีเงินทองมากมายเล่า?”
คิ้วตานั้นกวาดมองมา ทว่าเซวียนหยวนเช่อกลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้คำพูดของเ้าจะไม่ค่อยจริงใจนัก แต่การใช้คำนับว่าถูกต้องอยู่บ้าง เจิ้นจะรับไว้ทั้งหมดก็แล้วกัน!”
เฟิ่งเฉี่ยนยกมือประสานเป็หมัดแสดงความเลื่อมใส “ฝ่าา ท่านจึงจะเป็คนที่หน้าหนาอันดับหนึ่งของใต้หล้า!”
เซวียนหยวนเช่อยกมือขึ้นดีดหน้าผากนางครั้งหนึ่ง “คืนนี้ เจิ้นจะมาใหม่ มากินข้าวเป็เพื่อนเ้า!”
พูดแล้วเขาก็หมุนกายเดินออกไปจากห้องบรรทมด้วยรอยยิ้ม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้