หญิงสาวลัดเลาะมาตามลำธารพร้อมอาการาเ็ ทว่ากลั้นใจเดินต่อเพื่อให้ห่างจากจวนสกุลเยว่ เมื่อเดินไปได้สักระยะเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ด้วยความกลัว หยางเซียวรีบหันกลับไป พบว่าเป็ชายสวมชุดสีขาวสามคนยืนอยู่พร้อมรอยยิ้ม หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
‘ที่แท้ ก็คนของต้าเหริน’ นางปล่อยยิ้มกว้าง แล้วเดินเข้าไปหาพวกเขา พร้อมยกโคมไฟขึ้น พลันทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“พวกเ้าเป็คนของกลุ่มัขาว ต้าเหรินให้พวกเ้ามาช่วยข้าใช่หรือไม่” แววตาใสซื่อ เอ่ยถามอย่างมีความหวัง ก่อนชายชุดขาว จะยกกระบี่ขึ้นทาบไปที่คอของนาง หยางเซียวใอย่างที่สุด นางถอยหลังสองสามก้าว
“พวกเ้าจะทำอันใด? ขะ...ข้าคือหยางเซียว คนรักของต้าเหริน!” หญิงสาวแนะนำตัว ทว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีลดกระบี่ลง สายตาคมเข้มจับจ้องมองนางหมายเอาชีวิต หยางเซียวเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจทิ้งโคมไฟในมือ แล้ววิ่งหนีสุดชีวิต ทว่าวิ่งหนีได้ครู่หนึ่งจึงสะดุดก้อนหินแล้วล้มลง ทำให้นางไม่อาจวิ่งหนีต่อไปได้ สายตาสั่นไหวหันมองไปยังชายทั้งสาม เห็นชัดว่าพวกเขาสวมชุดของกลุ่มัขาว ทว่าปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิด เห็นเพียงดวงตามุ่งมั่นหมายเอาชีวิตนาง
“พวกเ้าเป็คนของต้าเหริน แต่เหตุใดจึงจะเอาชีวิตข้า?” พูดจบกระบี่ก็แทงเข้าที่หัวใจของนางในทันที ก่อนหยางเซียวจะทิ้งตัวลงนอนราบ พร้อมเืไหลนองเต็มพื้น หลังจากนั้นเสียงของกระบี่ก็กระทบกันดังขึ้นเป็ระยะ หยางเซียวมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากดวงดาวระยิบบนท้องฟ้า
‘สวยจัง’ นางพูดพร้อมเืจำนวนมากไหลทะลักออกมาจากร่างกายอันอ่อนแอของนาง ก่อนภาพของต้าเหรินจะหวนกลับมาให้นางระลึกถึงเป็ครั้งสุดท้าย
“เหตุใดท่านจึงต้องฆ่าข้า” หยางเซียวพูดพร้อมหยดน้ำตารินไหลออกมา แล้วความรู้สึกทั้งหมดก็ดับวูบไปในที่สุด
นานเท่าใดไม่อาจรู้ได้...ก่อนจะรู้สึกตัว นิ้วเรียวค่อย ๆ กระดิกทีละนิด พร้อมลืมตาขึ้นช้า ๆ คิ้วเรียวกระตุกเล็กน้อยเมื่อพบว่านางยังมีลมหายใจอยู่
‘ข้ายังไม่ตายงั้นเหรอ’ นางลืมตาขึ้น ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปรอบ ๆ แล้วหรี่ตา เมื่อแสงจากด้านนอก ลอดเข้ามาให้รู้สึกแสบตาอย่างถึงที่สุด หญิงสาวรีบยกมือขึ้นบังแสง พบว่านางอยู่ในชุดสีแดงสด หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง รีบก้มมองมองชุดของตัวเองแล้วตั้งสติ พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งไม่คุ้นตา ก่อนเสียงฝีเท้าของใครบางคนจะเดินเข้ามา
“พระชายาเพคะ หม่อมฉันเตรียมอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วเพคะ” ท่าทางและคำพูดของผู้มาเยือนทำให้หยางเซียวนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“พระชายาเป็อะไรหรือไม่เพคะ” นางกำนัลถามย้ำ พร้อมจับจ้องมองตรงมา
“เ้าพูดกับข้างั้นเหรอ?” หยางเซียวเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ก่อนร่างของหญิงสาวในชุดนางกำนัล ที่ยืนอยู่จะน้อมกายด้วยกิริยาอ่อนน้อมอย่างถึงที่สุด
“หม่อมฉันพูดกับพระชายาเพคะ” อีกฝ่ายตอบ ทำให้หยางเซียวชะงักนิ่ง จำได้ว่าความรู้สึกสุดท้าย นางถูกกระบี่ของกลุ่มัขาวแทงจนหมดลมหายใจไปแล้ว ท่ามกลางความโดดเดี่ยวบริเวณตีนเขา ที่เร้นห่างจากผู้คน
“ข้างั้นเหรอ?” นางชี้มือมายังตัวเองด้วยความสับสน พร้อมนางกำนัลผู้นั้นจะพยักหน้าตอบด้วยกิริยาราบเรียบ
หยางเซียวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วก้มมองชุดที่ตัวเองสวมใส่ พลันชะงักนิ่ง ทบทวนทุกอย่างด้วยความสับสนอย่างถึงที่สุด
“เอาคันฉ่องมาให้ข้า” หยางเซียวจับแขนของนางกำนัลแน่นแล้วเอ่ยขอคันฉ่อง
“อยู่นี่เพคะ” นางกำนัลรีบหันไปหยิบ แล้วยื่นให้อีกฝ่าย ก่อนหยางเซียวจะค่อย ๆ ทอดมองไปยังใบหน้าในคันฉ่องสีทองนั้น พลันเบิกตากว้าง อย่างถึงที่สุด
“พี่ใหญ่!” นางอุทานขึ้น พร้อมคันฉ่องหลุดมือลงพื้น ในห้วงแห่งความคิด ทุกอย่างเงียบสนิท หยางเซียวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วก้มมองชุดที่สวมใส่ด้วยสายตาสั่นไหว
‘ข้ามาอยู่ในร่างของพี่ใหญ่ เป็ไปได้ยังไง?’ หยางเซียวตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนแทบประคองตัวไม่อยู่ ก่อนจะตั้งสติแล้วหันไปหานางกำนัล
“เ้าออกไปก่อน” หยางเซียว้าเรียบเรียงเื่ราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นช้า ๆ ตามลำพัง
“เพคะพระชายา” หลังจากประตูห้องปิดลง นางกำนัลได้แต่ทำตาปริบ ๆ แล้วหันไปยังผู้มาเยือน
“นางโวยวายสิ่งใดอีก” คำถามขององค์ชายสาม ทำให้นางกำนัลนามว่า ซูเยว่ สะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วอ้ำอึ้ง
“องค์ชายสาม!” นางน้อมกายลงด้วยกิริยาอ่อนน้อม
“พระชายาอาจจะยังปรับตัวไม่ได้เพคะ นางไม่ได้โวยวายสิ่งใดเพคะ” เขาทอดสายตามองไปยังประตูห้อง แล้วขบคิด เมื่อคืนเป็วันเข้าหอ เยว่จางเหม่ยพยายามใช้ร่างกายอันงดงามที่นางเฝ้าฟูมฟักดูแลด้วยสารพัดวิธี เพื่อยั่วยวนให้เขายอมหลับนอนกับนาง
‘ถึงขนาด พยายามใช้ร่างกายของนาง เพื่อบังคับให้ข้าหลับนอนกับนาง! ไม่น่าเชื่อ ว่านางจะเป็หญิงไร้ยางอายถึงเพียงนี้’ สิ้นความคิดชายหนุ่มจึงเบี่ยงตัวเดินออก
“องค์ชายสามเพคะ หม่อมฉันเตรียมอาหารเช้าไว้เสร็จแล้วเพคะ” นางกำนัลเอ่ยรั้ง
“บอกนางด้วย ว่าข้าไม่กินอาหารกับนาง ข้าจะไปหาเสด็จแม่ที่ตำหนักหลวง” ซูเยว่ได้ยินดังนั้นจึงชะงักนิ่ง ก่อนจะน้อมกายลงรับคำสั่ง
“เพคะ”
ภายในห้องหอ หยางเซียวทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ แล้วจับจ้องไปยังคันฉ่อง ด้วยสายตาสั่นไหวอย่างถึงที่สุด ภาพสุดท้ายที่นางจำได้คือ ชายฉกรรจ์สามคน สวมชุดของกลุ่มัขาว เป็กลุ่มที่ต้าเหรินอ้างว่าเขาตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา เพื่อปราบปรามคนชั่วอย่างลับ ๆ