กุ่ยเม่ยเดินตามหลังมู่จื่อหลิงไปโดยอัตโนมัติ
แม้ยามเดินกุ่ยเม่ยจะยังมีสีหน้าไร้ความรู้สึกดังเดิมทุกประการ แต่ในใจเขากลับมีความผิดปกติโหมกระหน่ำอยู่
หวางเฟยทำอะไรพวกนั้นกันแน่ ทำให้พวกเขายืนขึ้นมาไม่ได้ แถมยังต้องดื่มปัสสาวะตนเองหนึ่งโต่วจึงจะฟื้นตัวขึ้นมา
“หวางเฟย คนพวกนั้นต้องดื่มปัสสาวะตนเองหนึ่งโต่วจริงๆ หรือ?” กุ่ยเม่ยเดินตามหลังมู่จื่อหลิง ในใจมิอาจสงบได้นานแล้ว เขาจึงยังคงถามออกมาด้วยความสงสัย
ถ้าเป็กุ่ยเม่ยในยามปกติต้องไม่มีทางปากมากถามเช่นนี้แน่ แต่ระยะนี้ราวกับเขาจะได้รับอิทธิพลจากหวางเฟยที่เหมือนปริศนาผู้นี้เข้าแล้ว ยามนี้อยากรู้นักว่านางจัดการผู้อื่นเช่นไร
มู่จื่อหลิงแย้มยิ้มด้วยสีหน้าของผู้บริสุทธิ์ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เ้าโง่งมพวกนั้น เดิมทีสามชั่วยามก็จะหายเป็ปกติได้เอง ใครให้พวกเขามาเตือนเปิ่นหวางเฟยด้วยความหวังดีกันเล่า หากดื่มปัสสาวะหนึ่งโต่วเช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็สิบสองชั่วยามไปเลยแล้วกัน!”
กุ่ยเม่ยได้ยินคำตอบนี้ ใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงดังขอนไม้ ในที่สุดก็ผ่อนคลายลง มุมปากอดไม่ได้ที่จะกระตุกเล็กน้อย
แม้ยามปกติเขาจะเห็นฉากโหดร้ายทารุณมาจนชินแล้ว แต่ว่าวิธีจัดการผู้อื่นของหวางเฟยวิธีนี้ คิดแล้วก็หนาวสั่นขึ้นมาพักหนึ่ง
เขาก็รู้ว่าหวางเฟยมิใช่ผู้ที่จะยอมเสียเปรียบ คราที่แล้วตำหนักโซ่วอันของไทเฮาถูกก่อกวนเสียจนไก่สุนัขมิอาจเป็สุข [1] เขาล้วนได้เห็นด้วยตาของตนเอง เหตุการณ์นั้นนับว่าเป็เหตุการณ์ที่โหดร้ายเกินจะจินตนาการ น่าสังเวชจนมิอาจทนดูต่อได้
หวางเฟยเป็บุคคลอันตรายที่กล้าทำกล้ารับนัก ยังสามารถมีรอยยิ้มน้อยๆ ด้วยสีหน้าไร้ความผิดไม่รู้เื่ราว เขาไม่รู้จะพูดคำใดแล้วจริงๆ
แต่วิธีจัดการผู้อื่นของหวางเฟยนี้ช่างแปลกพิลึกและมีมาไม่หยุดหย่อนจริงๆ!
ยามเที่ยงตรง แสงแดดร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง
มู่จื่อหลิงออกมาจากคุกหลวงแล้วก็ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ใช้มือบังบริเวณหน้าผากป้องแสงแดด เงยหน้ามองท้องฟ้าน้ำเงินก้อนเมฆสีขาว สูดอากาศสดชื่นด้านนอกด้วยสีหน้าสำราญใจ
หลังจากใช้ชีวิตอย่างมืดมิดไร้แสงตะวันมาสามวัน ในที่สุดก็สามารถออกรับแสงแดดได้แล้ว
ช่างสดชื่นจริงๆ!
กุ่ยเม่ยมองมู่จื่อหลิงที่มองท้องฟ้าด้วยสีหน้าสำราญใจ แม้จะไม่อยากรบกวนนัก แต่เขาก็ยังอดที่จะกล่าวตักเตือนด้วยความปรารถนาดีไม่ได้ “หวางเฟย นายท่านยังรออยู่นะขอรับ!”
มู่จื่อหลิงจึงเก็บสีหน้าสำราญใจไป
เดิมนางคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่จะล่วงหน้าไปก่อน หลังจากนั้นกุ่ยเม่ยค่อยพานางไป ดังนั้นทั้งทางนางจึงได้กล้าอืดอาดยืดยาด ไม่คิดว่าหมอนี่จะยังรออยู่!
ทำให้ฉีอ๋องผู้สูงศักดิ์รอได้ ช่างเป็เกียรติเสียนี่กระไร
มู่จื่อหลิงมิกล้าโอ้เอ้อีก ก้าวเท้าลงบันได
นางก็เห็นหลงเซี่ยวอวี่ขี่ม้ารูปร่างดีไม่ธรรมดาสีดำอยู่ไม่ไกลเข้าพอดี เปล่งประกายอยู่ภายใต้แสงแดดร้อนแรง
ก่อนหน้านี้หลงเซี่ยวเจ๋อเคยพูดกับนางว่าหลงเซี่ยวอวี่มีม้าสีนิลดำ รูปร่างสูงใหญ่ รวดเร็วดั่งลมกรด องอาจทรงพลัง มีนามว่าเปินเหลย ได้ยินว่าม้าตัวนี้นอกจากหลงเซี่ยวอวี่ไม่มีผู้ใดแตะต้องมันได้
มู่จื่อหลิงนึกถึงม้าเปินเหลยที่หลงเซี่ยวเจ๋อพูดถึง คงจะเป็ตัวเบื้องหน้าแล้ว ปากว่าไม่เท่าตาเห็น
เ้าของเป็คนเช่นใด ม้าก็เป็เช่นนั้นจริงๆ ด้วย ม้าตัวนี้เหมือนผู้เป็เ้าของ ด้วยท่าทางที่เ็าหยิ่งทระนง ผู้อื่นยากเข้าใกล้
ถุยๆ หลงเซี่ยวอวี่ผู้นี้ช่างร่ำรวยเงินทองเหลือเกิน สิ่งใดล้วนต้องดีที่สุด แม้แต่อานม้ายังเป็สีทองอร่าม ล้ำค่าฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้
ภายใต้แสงแดดสาดส่องหลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่บนหลังม้าในยามนี้ก็ยิ่งเปล่งประกายทิ่มแทงดวงตา ท่าทางสูงศักดิ์ ถือดีและทรงอำนาจที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ผู้อื่นไร้หนทางเมินเฉยต่อการมีอยู่ของเขา ราวกับาาที่ลงจาก์มาจุติ!
มู่จื่อหลิงชำเลืองมองแล้วลอบแลบลิ้น เตรียมก้าวเท้าเดินเข้าไป ทว่าเพิ่งยกเท้าก้าวก็ต้องวางเท้าลงอีก
เพราะนางพึ่งนึกได้ว่าตรงนั้นมีม้าสองตัว หลงเซี่ยวอวี่หนึ่งตัว กุ่ยเม่ยหนึ่งตัว แล้วนางเล่า?
คงมิได้ถูกพวกเขามัดไว้แล้วก็ถูกพวกเขาขี่ม้าลากให้วิ่งตามไปแบบนักโทษจริงๆใช่หรือไม่ หากเป็เช่นนั้นจริง ให้นางถูกลากให้วิ่งอยู่บนพื้นอย่างโหดร้ายทารุณ มิสู้ให้นางติดคุกแต่โดยดีเสียดีกว่า
ดูเหมือนจะรู้ว่ามู่จื่อหลิงกำลังคิดสิ่งใดอยู่ กุ่ยเม่ยที่อยู่ด้านหลังจึงเอ่ยปากด้วยความหวังดี “หวางเฟย หากไม่รังเกียจล่ะก็ ม้าของข้าน้อยให้ท่านขี่ ส่วนข้าน้อยจะหาวิธีตามไปเอง”
ในใจกุ่ยเม่ยนั้นคิดว่า ยามนี้หวางเฟยในสายตาของเขา นับได้ว่าไม่มีเื่ใดที่ทำไม่ได้ ความสามารถรึก็เหนือธรรมชาติ คงจะขี่ม้าเป็กระมัง
แต่ว่าคราวนี้กุ่ยเม่ยกลับคิดผิดเสียแล้ว
มู่จื่อหลิงได้ยินคำนี้ก็ผ่อนลมหายใจอย่างเงียบเชียบ ยังดี ยังดีที่มิได้จะลากนางเดินไป
ทว่าใบหน้าเล็กของมู่จื่อหลิงก็ยุ่งยากขึ้นมาอีก กุ่ยเม่ยมอบม้าให้นางอย่างใจดี นางซาบซึ้งใจนัก แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต่อให้มีม้านางก็ขี่ไม่เป็อยู่ดี!
หลังม้าตัวนั้นสูงกว่านางเสียอีก นับประสาอะไรกับขี่ แค่จะปีนขึ้นไปได้หรือไม่ก็เป็ปัญหาแล้ว ต่อให้ปีนขึ้นไปได้ ถ้าไม่ระมัดระวังก็อาจจะตกลงมา เช่นนั้นไม่ตายก็พิการแล้ว
ในเมื่อพวกเขามิได้้าลากนางให้เดินไป ก่อนจะมาเหตุใดจึงไม่รู้จักนำรถม้ามาด้วยเล่า?
ต่อให้ไม่มีรถม้า ใช้รถคุมขังนักโทษก็ได้นี่!
หากกุ่ยเม่ยรู้ความคิดของนางในยามนี้ ไม่รู้ว่าจะอาจหาญกล่าวโอดครวญเสียยกใหญ่หรือไม่ ‘เพียงนายท่านรู้ว่าท่านถูกคุมขัง เพิ่งเข้าเมืองหลวงมา ม้ายังไม่ทันหยุดฝีเท้าก็มาที่คุกหลวงแล้ว หาได้มีเวลาเตรียมรถม้าไม่!’
มิกล้าให้พระพุทธรูปองค์ใหญ่รออีก มู่จื่อหลิงครุ่นคิดเล็กน้อย ถามอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าขี่ม้าไม่เป็ ้าไปวังหลวงหรือไปที่ใด? ข้าหาวิธีตามไปเอง เ้าวางใจ ข้าไม่มีทาง…”
เพียงแต่คำพูดนี้ของมู่จื่อหลิงยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเสียงเย็นๆ ลอยมาตัดบทอย่างหมดความอดทน “มัวยืนทำอันใดอยู่!”
ได้ยินเสียงเย็นนี้ในใจมู่จื่อหลิงและกุ่ยเม่ยก็หนาวสั่นขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมาย!
หมอนี่ต้องเ็าเพียงนี้เลยหรือ
บัดนี้มู่จื่อหลิงมิกล้าเสียเวลาพูดอะไรไร้สาระอีก กัดฟันก้าวเท้าไปด้านข้างม้าของกุ่ยเม่ยตัวนั้น
นางเงยศีรษะมองหลังม้าที่สูงกว่านางครึ่งศีรษะ กัดฟันอย่างเงียบๆ ตายเป็ตาย แม้ไม่เคยกินเนื้อม้า แต่ก็เคยเห็นม้าวิ่งมาก่อน!
ความเฉลียวฉลาดของนางดีเยี่ยม ก็แค่ขี่ม้าหนึ่งตัวมิใช่หรือ มีอันใดยากกัน บางทีนางอาจจะมีพร์ติดตัวมาแต่เกิด เรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์ชี้แนะก็ได้!
หลังจากคิดเข้าข้างตนเองแล้ว มู่จื่อหลิงก็พับแขนเสื้ออย่างไม่หวาดหวั่นและมุ่งมั่นเตรียมปีนขึ้นหลังม้า เพียงแต่มือน้อยยังมิทันแตะโดนอานม้า
ในขณะที่กุ่ยเม่ยกำลังจะอ้าปากยับยั้งด้วยความตื่นตระหนก เสียงที่ทำให้ผู้คนตัวสั่นก็ลอยมาอีกครั้ง!
หลงเซี่ยวอวี่หันหัวม้ามานานแล้ว ดวงตาเ็ามองทุกการกระทำของมู่จื่อหลิง ในยามที่มู่จื่อหลิงพองพวงแก้ม เตรียมสร้างความฮึกเหิมทำใจกล้าปีนขึ้นไปบนหลังม้า
หลงเซี่ยวอวี่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ พูดอย่างเย็นเยียบ “มานี่!”
มู่จื่อหลิงพึมพำในใจ ไปนู่น? ไปนู่นทำไม? หมอนี่เรียกนางไปนางก็ไป เช่นนั้นจะมิขายขี้หน้าจนเกินไปหรือ?
แม้ในใจจะบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ แต่เท้าของนางก็ยังก้าวยาวๆ ไปหาหลงเซี่ยวอวี่อย่างไม่รู้ตัว
ั์ตาดำขลับดั่งน้ำหมึกของหลงเซี่ยวอวี่หรี่ลงน้อยๆ ก้มลงมามองมู่จื่อหลิงที่เดินมาตรงหน้าเขา
เป็เพราะไม่เจอแสงแดดมาสองสามวัน ใบหน้าเล็กที่มิได้ทาแป้งประทินโฉมของนาง ในยามนี้ภายใต้การสาดส่องของแสงอาทิตย์แผดเผาจึงแดงเรื่อขึ้นมา ดูเปราะบางดั่งกระเบื้องเคลือบ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็เปล่งประกายระยิบระยับ การเคลื่อนไหวบนใบหน้าก็ยิ่งแช่มชื่นจนใจผู้อื่นสั่นไหว
มู่จื่อหลิงยืนอยู่นานแล้วก็ไม่เห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่บนม้าจะอ้าปาก หมอนี่เป็อะไรกัน เรียกนางมาก็ไม่กล่าววาจา หากยังไม่ไปอีก นางคงถูกแสงแดดแผดเผาจนสุก!
สุดท้ายนางร้อนเสียจนทนไม่ไหว เหลือบสายตาขึ้นมองหลงเซี่ยวอวี่ พระอาทิตย์เจิดจ้าเสียจนนางลืมดวงตาไม่ขึ้น ได้แต่หรี่ตาลงพูด “ท่านอ๋อง…อ๊าย!”
มู่จื่อหลิงเพิ่งอ้าปากพูดก็ร้องออกมาอย่างใ
ในขณะที่มู่จื่อหลิงอ้าปาก จู่ๆ หลงเซี่ยวอวี่ก็โน้มตัวลงมากลางอากาศ ยื่นแขนเรียวยาวทรงพลังมาตวัดรัดรอบเอวของมู่จื่อหลิงขึ้นไป
เขาอุ้มมู่จื่อหลิงขึ้นมานั่งลงตรงข้างหน้าตัวเขา มือข้างหนึ่งย่อมโอบรัดเอวคอดของนางไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งดึงสายบังเหียน
ไม่รอให้มู่จื่อหลิงมีการตอบสนอง ม้าเปินเหลยที่ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นาย ส่งเสียงร้องฮี่ยาวๆ ตะกุยสองเท้าขึ้นมาสูงๆ วิ่งห้อออกไป
ยามนี้ใบหน้าท่อนไม้ของกุ่ยเม่ยที่ยังอยู่ที่เดิม คล้ายว่าจะเปลี่ยนเป็ตาโตอ้าปาก ยืนตื่นตะลึงอยู่ที่เดิม
เขามองเงาสุดท้ายที่เหลือไว้ของม้าเปินเหลยที่วิ่งควบออกไปอย่างตกตะลึงจนคางเกือบจะถึงพื้น
สะ ์! เขาเห็นสิ่งใด นายท่านของพวกเขาผู้ที่เ็าดั่งน้ำแข็ง ไม่เคยเข้าใกล้สตรีเพศมาก่อนผู้นั้น อุ้มหวางเฟยขี่ม้าไปด้วยกัน
เขาไม่ได้มองผิด ขี่ม้าไปด้วยกันจริงๆ!
ถ้าเขาพูดออกไป ต้องไม่มีคนเชื่อเป็แน่ แต่ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาอย่างจริงแท้แน่นอน
ไม่ใช่จินตนาการ ไม่ใช่ความฝัน เป็ความจริง!
กุ่ยเม่ยเหม่อมองดวงอาทิตย์ร้อนแรงบนท้องนภาด้วยใบหน้าตื้นตันใจ ทอดถอนหายใจอย่างเงียบงัน!
ดูท่า วันนี้ฝนโลหิตกำลังจะตกเสียแล้ว
ดูท่า ในที่สุดฉีอ๋องก็ทำลายข่าวลือไม่เข้าใกล้สตรีเพศลงเสียแล้ว
ดูท่า อีกไม่นานหลังจากนี้พวกเขาจะมีนายหญิงที่แท้จริงเสียแล้ว
-
ม้าเปินเหลยวิ่งพุ่งออกไป ความเร็วทะยานขึ้นถึงจุดสูงสุด ทิวทัศน์สองข้างทางถอยไปข้างหลังไม่ขาดสาย
ไม่รู้ว่าควบขี่อยู่นานเพียงใด ความเร็วของม้าเปินเหลยจึงค่อยๆ ช้าลง เปลี่ยนเป็วิ่งเหยาะๆ
เสียงลมฟู่ๆ ข้างหู อ้อมกอดเย็นเยือก กลิ่นของเหมยอันหอมเย็นที่โอมล้อม ก็ดึงมู่จื่อหลิงกลับมาจากอารมณ์อกสั่นขวัญแขวนได้ที่สุด
์! หลงเซี่ยวอวี่อุ้มนางมาขี่ม้าตัวเดียวกัน ความเร็วของม้าเปินเหลยนี้รวดเร็วเสียจนน่าทึ่ง เพียงชั่วพริบตาทิวทัศน์รอบกายก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
ยามนี้มู่จื่อหลิงถูกหลงเซี่ยวอวี่กอดไว้ในอ้อมกอดแน่น ดวงหน้าเล็กของนางร้อนน้อยๆ หัวใจเต้นรัวตึกตัก พูดไม่ออกว่าเป็ความรู้สึกเช่นใด!
เพียงแต่ถูกมือขนาดใหญ่ของหลงเซี่ยวอวี่รัดไว้แน่น มู่จื่อหลิงจึงขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด
ฉีอ๋องผู้ที่ขี่ม้าร่วมกับสตรีเป็ครั้งแรกนั้น ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าที่หญิงสาวในอ้อมกอดดิ้นรนเป็เพราะถูกเขากอดรัดไว้แน่นเกินไปจนอึดอัดตัว
เข้าใจผิดคิดไปว่ามู่จื่อหลิงดิ้นรนจะลงจากม้า จึงส่งเสียงเย็นๆ “ถ้าขยับอีก เปิ่นหวางจะทิ้งเ้าลงไป!”
มู่จื่อหลิงได้ยินเสียงนี้ก็ไม่กล้าขยับอีกดังคาด ยามนี้ต่อให้นางอึดอัดขึ้นอีก ก็ไม่กล้าดิ้นแล้ว
นางเกรงว่าแค่ความสะเพร่าเพียงเล็กน้อย คนเ็าไร้ความรู้สึกด้านหลังจะโยนนางลงจากม้าไปจริงๆ เช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว!
แม้มู่จื่อหลิงจะไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก แต่ปากนางก็ยังเผลอพึมพำสิ่งที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว “รัดได้อึดอัดนัก!”
แม้น้ำเสียงจะเป็เสียงแ่เบา แต่หลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านหลังนางก็ยังได้ยินอยู่ดี ใบหน้าของเขาในตอนนี้มองไม่ออกว่ารู้สึกเช่นใด เขาคลายมือที่รัดมู่จื่อหลิงลง แต่ว่าก็ยังมิได้ปล่อยมือออก
ครู่เดียวมู่จื่อหลิงก็หายใจได้สะดวกขึ้น หมอนี่เป็เทพเซียนหรือ? รู้สิ่งที่นางคิดในใจได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงในขณะนี้นึกไม่ออกเลยว่า เมื่อครู่ตัวนางบ่นพึมพำสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเสียแล้ว จากนั้นหลงเซี่ยวอวี่ก็ถูกนางเข้าใจผิดคิดว่าเป็เทพเพราะได้ยินเข้า
มู่จื่อหลิงและหลงเซี่ยวอวี่อยู่ใกล้ชิดกันยิ่งนัก ระหว่างกันดูเหมือนจะไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อย มู่จื่อหลิงสามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนแผดเผาที่รินรดบริเวณศีรษะ
ยามนี้เพียงแค่นางเงยหน้าก็จะสามารถเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาจนไม่ว่าคนหรือเทพก็เกลียดชังได้แล้ว!
หลังจากที่สงบลง นางจึงรู้สึกว่าทั้งแผ่นหลังนั้นเย็นเยือก สบายนัก
ต่อให้ยามนี้เป็เวลาเที่ยงตรงที่มีดวงอาทิตย์ร้อนแรงอยู่บนท้องฟ้า นอกจากใบหน้าที่รู้สึกร้อนเล็กน้อยแล้ว กายนางก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนอบอ้าวเลยแม้แต่น้อย สดชื่นแจ่มใส สบายกายดังรับลมวสันตฤดู
หมอนี่เป็เครื่องปรับอากาศหรือ?
----------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไก่สุนัขมิอาจเป็สุข หมายถึง ถูกก่อกวนจนวุ่นวายอุตลุด ไม่สงบสุข