ทำไมสถานะของผู้หญิงถึงไม่สูง
ธรรมเนียมสังคมศักดินาในสมัยโบราณกีดกันไม่ให้สตรีรับราชการและค้าขาย ทว่าตอนนี้เข้าสู่สังคมใหม่แล้ว สิ่งที่มติมหาชนเน้นย้ำก็คือ ‘สตรีสามารถค้ำครึ่งผืนฟ้า’ จางชุ่ยหาเงินได้ด้วยตนเอง ร้าน ‘จางจี้’ นี้เรียกได้ว่าคือสิ่งที่เธอสั่งสมมาั้แ่ยังว่างเปล่าจนเป็รูปร่างด้วยสองมือสองเท้า แน่นอนว่าตอนเซี่ยจื่ออวี้ยังศึกษาอยู่มัธยมปลาย ตระกูลเซี่ยให้ค่าใช้จ่ายกินอยู่ในตัวเมืองแก่สองแม่ลูกทุกเดือน ซึ่งเงินส่วนนี้ก็ถูกจางชุ่ยละเลยไปโดยไม่รู้ตัว
เธอรู้เพียงแต่ว่า ‘จางจี้’ คือร้านที่เธอเปิดเอง สามีเซี่ยฉางเจิงมาช่วยงานในเมือง ทุกวันแค่ขี่จักรยานไปโรงงานเนื้อสัตว์เพื่อรับของ เวลาที่เหลือก็วางท่าเป็เถ้าแก่อวดดี พวกคนขายของรายย่อยที่ส่งวัตถุดิบอาหารให้ร้านต่างพากันประจบเขา ดื่มสุราพลางพูดคุยเรื่อยเปื่อย ไม่ทำงานจริงจังอะไรทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า ‘จางจี้’ มีเซี่ยฉางเจิงหรือไม่ก็ไม่มีผลกระทบ
ก่อนหน้านี้จางชุ่ยไม่ตอบโต้ นั่นเป็เพราะความเคยชินมาหลายปีว่าต้องรักษาหน้าสามี
แต่นิสัยของเธอแตกต่างจากหลิวเฟินโดยสิ้นเชิง เมื่อเซี่ยฉางเจิงลงไม้ลงมือ ไฟโทสะในใจของจางชุ่ยก็สะกดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว!
เงินพวกนี้เธอเป็คนหามา เซี่ยฉางเจิงอยากลงมือก็ลงมือหรือ?
จางหม่านฝูน้องชายเธอและเจียงเหลียนเซียงน้องสะใภ้ช่วยงานในร้านตั้งเท่าไร ส่วนเซี่ยหงเซี๋ยที่อู้งานหลงใหลคลั่งไคล้นักเรียนชายเซี่ยนอีจงอยู่ทั้งวัน เทียบจางหม่านฝูและภรรยาได้หรือ? ถ้าการค้าขายของร้านดี จางชุ่ยไม่ถือส่าที่จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงดูเซี่ยหงเซี๋ยทุกเดือน คิดเสียว่าเป็ค่าปิดปากคนตระกูลเซี่ย แต่ภายหลังตรุษจีนสิ้นสุดผลประกอบการของ ‘จางจี้’ หดหายอย่างมีนัยยะสำคัญ จางชุ่ยและเซี่ยฉางเจิงคิดหาวิธีกอบกู้สถานการณ์ไม่ได้ หากไม่ส่งคนเกียจคร้านของร้านกลับไปแล้วจะทำอย่างไร!
พอเซี่ยหงเซี๋ยกลับไปก็ดีเสียเหลือเกิน ปากกระบอกปืนของตระกูลเซี่ยทั้งหมดล้วนเล็งมายังจางชุ่ย
ไล่น้องชายจากครอบครัวตนเองออก จ้างเซี่ยหงปิงและหวังจินกุ้ยมาช่วยงานในร้านแทนหรือ? จากนั้นรับแม่สามีมาอาศัยในเมืองและใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย?
แม่สามีเธอคือไม้กวนอุจจาระ ใบหน้าถมึงทึงนั่น ราวกับใครๆ ต่างก็ติดค้างเงินเธอ! เื่แผลงฤทธิ์นอกโรงเรียนคราวก่อน เกรงว่าอาจารย์ใหญ่ซุนยังไม่ลืมเสียด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่เจอแม่สามีเธอ อาจารย์ใหญ่ซุนจะนึกเื่ราวไม่ออกเชียวหรือ
เซี่ยหงปิงไม่เคยหลอกง่ายเท่าเซี่ยต้าจวิน อีกทั้งติดการพนันในหมู่บ้าน หวังจินกุ้ยนั้นสมกับเป็มารดาของเซี่ยหงเซี๋ย ตะกละและเกียจคร้านหนักกว่าเซี่ยหงเซี๋ยเสียอีก
พวกคนแบบนี้ จะให้เอามาอยู่ในร้าน?
จางชุ่ยคิดว่าคงธุรกิจทำต่อไปไม่ได้แล้ว ตระกูลเซี่ยอยากมาแย่งร้านไปไม่ใช่หรือ แต่ใครก็อย่าคิดจะมาเอาไปทั้งนั้น!
จางหม่านฝูพาคนตระกูลจางไปก่อความวุ่นวายที่บ้านเซี่ย รับคำสั่งพี่สาวของเขา ทำร้ายเซี่ยฉางเจิงเสียยกใหญ่ ไม่มีท่อนไม้บ้าดีเดือดอย่างเซี่ยต้าจวินอยู่ กำลังรบของตระกูลเซี่ยจึงลดลงมาก คนของครอบครัวจางชุ่ยคิดว่าหากไม่จัดการคนตระกูลเซี่ยจนยอมจำนน อนาคตจางชุ่ยจะเกื้อหนุนเื่เงินแก่ครอบครัวฝ่ายแม่อย่างไร? ดังนั้นจึงลงมืออย่างไม่ยั้งจริงๆ
ญาติสองฝ่ายทะเลาะกัน คนในหมู่บ้านต้าเหอจะช่วยได้อย่างไร สามีภรรยาไม่ฟาดฟันเคียดแค้นกันนานข้ามคืน [1] ถ้าพวกเขาช่วยรุมคนตระกูลจาง พอจางชุ่ยกับเซี่ยฉางเจิงดีกัน คนร่วมหมู่บ้านที่ช่วยเหลือเช่นพวกเขาเหล่านี้ย่อมกระอักกระอ่วนแน่นอน เมื่อตระกูลจางยกพวกไปต่อยตีที่หมู่บ้านต้าเหอ ความขัดแย้งระหว่างจางชุ่ยและเซี่ยฉางเจิงจึงใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ สองสามีภรรยาเกิด ‘ไฟจริง’ ต่อกันและกันแล้ว
คนตระกูลจางมาช่วยงานในร้าน ทว่าเปิดร้านได้เพียงไม่กี่วัน แม่เฒ่าเซี่ยก็พาเซี่ยหงปิงกับภรรยามาก่อเื่
ทะเลาะกันสองหน ลูกค้าเดิมที่ยังเหลืออยู่ของร้านก็รู้สึกเบื่อหน่าย ธุรกิจย่อมซบเซามากขึ้นเป็ธรรมดา จางชุ่ยพักกิจการไม่กี่วัน คนตระกูลเซี่ยก็ฉวยโอกาสแย่งร้านไป แต่เซี่ยหงปิงและหวังจินกุ้ยทำของกินไม่เป็ด้วยซ้ำ ฝีมือของหวังจินกุ้ยไม่ดี ยิ่งทำให้ลูกค้าไม่พอใจไปกันใหญ่
จางชุ่ยโมโหมาก จึงพาคนในครอบครัวมาพังร้านอีกครั้ง
“มันแบบนี้แหละ ไปๆ มาๆ กันอยู่หลายครั้งหลายหน หลังจากพังร้านคราวก่อน ก็พักกิจการมาหลายวันแล้ว”
จางจี้พักกิจการ ผู้ที่ดีใจที่สุดก็คือน้าหวง
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ยังคาดไม่ถึง คนตระกูลเซี่ยช่างน่าประทับใจอะไรขนาดนี้... ความรู้สึกเธอค่อนข้างซับซ้อน เป็ความรู้สึกที่คิดว่าใครบางคนนั้นร้ายกาจจนถึงที่สุดแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะยังสามารถทำลายขีดจำกัดและแสดงด้านที่เลวร้ายกว่าออกมาได้ ก้าวข้ามความเข้าใจของเซี่ยเสี่ยวหลานไปมากโข!
โง่เง่าจริงๆ ทั้งโง่เง่าและชั่วร้าย
โง่เง่าที่ตัดช่องทางทำหากินด้วยตนเอง ชั่วร้ายที่ตนเองไม่ได้ ก็ดัน้าให้คนอื่นไม่ได้ไปด้วย สองตระกูลผลัดกันทำลายร้าน เดิมทีเป้าหมายของเซี่ยเสี่ยวหลานคือทำให้ ‘จางจี้’ เปิดต่อไปไม่รอดเช่นกัน นึกว่าอย่างน้อยต้องผ่านไปอีกหลายเดือน กลับไม่คิดว่าจะสิ้นสุดกิจการก่อนเวลาที่คาดไว้ด้วยวิธีที่รุนแรงเช่นนี้
“จางจี้เปิดต่อไปไม่ได้แล้ว ต่อให้เก็บกวดเรียบร้อยและเปิดกิจการอีกครั้ง การค้าขายก็ไม่มีทางอู้ฟู่เท่าเมื่อก่อนหรอกค่ะ น้า ไม่มีจางจี้ก็ยังมีคนอื่นคิดทำธุรกิจนี้อยู่ดี น้าต้องวางแผนล่วงหน้านะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้พูดลงรายละเอียดมากนัก เธอยังต้องไปโรงเรียนต่อนี่นา
----------------------------------------
ไม่มาโรงเรียนเกือบสองเดือน เซี่ยเสี่ยวหลานถูกอาจารย์ฉีประจำวิชาภาษาจีนจับได้คาหนังคาเขาเป็คนแรก
“นักเรียนเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอทำข้อสอบชุดนี้ก่อน ทำในห้องพักครูนี่แหละ”
อาจารย์ฉีส่งข้อสอบให้เธอหนึ่งแผ่น
โดนอาจารย์ภาษาจีนกักตัวไว้ เมื่ออาจารย์ประจำวิชาอื่นๆ ทราบเข้า จะไม่ส่งข้อสอบให้เซี่ยเสี่ยวหลานได้หรือ? กว่าเธอจะทำข้อสอบเสร็จและออกมาจากห้องพักอาจารย์ ก็เป็เวลาหลายชั่วโมงให้หลังแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานแทบจะหนีหัวซุกหัวซุนเลยทีเดียว
หนีออกมาจากห้องพักอาจารย์แล้วเธอเพิ่งนึกได้ว่ามาเพื่อถามเื่การสอบคัดเลือกรอบแรก แต่พอคิดว่าเมื่อครู่เกือบโดนเหล่าอาจารย์ฉีกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงหลอนอยู่
“นักเรียนเสี่ยวหลาน?”
เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เซี่ยเสี่ยวหลานหันหน้าไปมอง ชายคนนั้นดูค่อนข้างคุ้นตา
อ๋อ เธอเคยพบตอนสอบเข้าเรียน คนที่เอาอกเอาใจอาจารย์เสี่ยวซุนสุดชีวิตนั่น แซ่อะไรนะ?
“สวัสดีค่ะครูจ้าว!”
นึกออกแล้ว แซ่จ้าวนี่เอง
เซี่ยเสี่ยวหลานมาโรงเรียนไม่บ่อย ทว่าเคยเห็นอาจารย์จ้าวและซุนเถียนเดินด้วยกัน ทั้งสองคนคบหากันแล้วหรือ? เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ค่อยชอบอาจารย์จ้าวผู้นี้โดยสัญชาตญาณ สายตาของเขาดูไม่ซื่อตรง แววตาที่มองคนอื่นก็ลอกแลก แต่เธอรู้สึกดีกับอาจารย์เสี่ยวซุนมาก ซุนเถียนคืออาจารย์สาวที่ใฝ่ใจรักในความยุติธรรมคนหนึ่ง ตอนทะเลาะเบาะแว้งหน้าประตูโรงเรียนคราวก่อน ซุนเถียนคือผู้ที่ก้าวออกมาสนับสนุนเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนแรก
จ้าวกังพยายามทำท่าทางอ่อนโยน
สำหรับการลงมือจัดการเซี่ยเสี่ยวหลาน เขาไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย หลังเกิดเื่วุ่นวายในวันที่สี่ของตรุษจีน นี่เป็ครั้งแรกที่เซี่ยเสี่ยวหลานมาโรงเรียนด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าอาจารย์ในโรงเรียนกักตัวเซี่ยเสี่ยวหลานไว้ทำข้อสอบ กว่าจ้าวกังจะรู้ข่าวคราว คงไม่เห็นแม้แต่เงาของเซี่ยเสี่ยวหลาน
“นักเรียนเสี่ยวหลาน ด้านการเรียนจะหย่อนยานไม่ได้นะ เธอไม่ควรคิดว่าตนเองคะแนนดีก็เลยไม่มาโรงเรียน พวกครูทุกคนเป็ห่วงเธอมาก...” จ้าวกังกล่าวคำพูดมากมายด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกระอากับอาจารย์จ้าวผู้ยังไม่ถึงวัยกลางคนทว่าช่างน่าขนลุกคนนี้ยิ่งนัก
จ้าวกังพูดก็พูดไปเถอะ ยังออกมือออกเท้าเพื่อเพิ่มอารมณ์ตื่นเต้นอีก ราวกับว่าเขากำลังสร้างโอกาสแตะเนื้อต้องตัวเซี่ยเสี่ยวหลาน ตอนแรกเซี่ยเสี่ยวหลานนึกว่าตนเองเข้าใจผิด ทว่าพอเธอขยับถอยหลังอีกนิด จ้าวกังก็เดินเข้ามาอีกหน่อย สายตาค่อยๆ เคลื่อนที่ลงจากใบหน้าเธอ สุดท้ายค้างอยู่ตรงหน้าอก ทำเอาเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกขยะแขยงเหลือเกิน!
ซุนเถียนจะชอบคนแบบนี้ได้อย่างไร?
แต่ก็อธิบายได้ยาก ซุนเถียนนิสัยขี้อายเกินไป ส่วนจ้าวกังเป็พวกหน้าทนอย่างเห็นได้ชัด
คนหน้าไม่อายนี่ ถึงขั้นกำลังจีบเธอด้วยหรือ?
อย่าโทษว่าเซี่ยเสี่ยวหลานอ่อนไหวเกินไปเลย แต่ท่าทีของจ้าวกังน่ารังเกียจเหลือทนต่างหาก จีบคนไม่เป็แล้วยังจะฝืนอีก
สุนทรียภาพของเซี่ยเสี่ยวหลานถูกโจวเฉิงบ่มเพาะจนมีระดับสูง อยู่ในร่างปัจจุบันเกือบปี เธอคุ้นชินกับรูปลักษณ์ของตนเองในทุกวันนี้แล้ว นอกจากโจวเฉิง มีคนแสดงความชอบต่อเธออยู่ไม่น้อย จ้าวกังคือผู้ที่ไม่เข้าตาเธอเลยแม้แต่นิดเดียว นอกเสียจากเซี่ยเสี่ยวหลานจะตาเสียเสียก่อนถึงจะชอบเขาได้
สิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าคือคนคนนี้ยังไล่ตามซุนเถียนไม่ปล่อยด้วย
จ้าวกังผู้ไม่รู้จักสถานภาพของตนเองคนนี้ คู่ควรกับอาจารย์ซุนเถียนเสียที่ไหน? เซี่ยเสี่ยวหลานตีหน้านิ่งเฉย
“อาจารย์จ้าว เหมือนพวกเราจะไม่ค่อยสนิทสนมกันนะคะ ขอตัวก่อนค่ะ ฉันยังต้องไปบ้านอาจารย์ใหญ่ซุน ”
เชิงอรรถ
[1]床头打床尾和 สามีภรรยาไม่ฟาดฟันเคียดแค้นกันข้ามคืน มาจาก ทะเลาะกันที่หัวเตียง ปรองดองกันที่ปลายเตียง หมายถึง สามีภรรยาทะเลาะ ไม่นานจะกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง ไม่ได้เก็บมาคิดแค้นจริงจัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้