เมื่อผู้าุโเจิ้งกล่าวออกมาเช่นนั้น เหล่าบัณฑิตก็พลันเงียบเสียงลงทันที อันที่จริงหลังจากเข้ามาที่สำนักศึกษาเป็เวลาสามเดือนแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าการจะได้รับทักษะวิชาระดับนิลกาฬและคะแนนนั้นเป็เื่ที่ยากมากเพียงใด ทั้งหมดล้วนไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับมาได้โดยง่าย
“ท่านผู้าุโ ถ้าอย่างนั้นการประเมินนี้มันคืออะไรกันแน่ขอรับ?”
บัณฑิตผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้น
บัณฑิตคนอื่นต่างหันไปมองทางผู้าุโเจิ้งด้วยสีหน้าและแววตาสงสัยใคร่รู้ แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็เป็กังวลเกี่ยวกับวิธีการประเมินนี้
“ในเทือกเขาเทียนอวิ่นมีอสูรร้ายและอสุรกายอยู่เป็จำนวนมาก แต่รัศมีรอบนอกกว่าสี่ร้อยลี้ที่ติดกับหุบเขาเทียนอวิ่นนั้น อสูรร้ายที่ทรงพลังได้ถูกขับไล่ออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่อสูรร้ายระดับจื่อฝู่และระดับหนิงกังเท่านั้น สำหรับการประเมินนั้นก็ง่ายมาก เพียงแค่นำผลึกอสูร ผลึกปีศาจหรือสมบัติ์กลับมาให้ได้สักอย่างก็พอแล้ว มีเวลาทั้งหมดสิบวัน เมื่อครบกำหนดเราจะมาตรวจสอบว่าพวกเ้านำผลึกอสูรกลับมาได้เท่าไร
“สำหรับใครที่สามารถนำผลึกอสูรกลับมาได้มากที่สุดหรือนำสมุนไพรที่มีคุณภาพสูงที่สุดกลับมาได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับตำแหน่งอันดับหนึ่งของการประเมินในครั้งนี้ ส่วนคนถัดไปก็จะได้รับตำแหน่งอันดับสองและอันดับสามตามลำดับ”
ผู้าุโเจิ้งอธิบายเกณฑ์การประเมิน
“ให้นำผลึกอสูรกลับมาให้ได้อย่างนั้นหรือ”
แน่นอนว่าเื่นี้ทำให้บัณฑิตหลายคนรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ
ในบรรดาบัณฑิตใหม่จำนวนกว่าพันคน วรยุทธ์ของคนส่วนใหญ่เพิ่งจะบรรลุระดับจื่อฝู่เท่านั้น ส่วนคนที่มีวรยุทธ์ในระดับที่ใกล้เคียงกับมู่เฟิงนั้นมีอยู่น้อยมาก แต่ผลึกอสูรเป็ของล้ำค่าที่อยู่ภายในร่างกายของอสูรร้าย และจะต้องเป็อสูรร้ายระดับจื่อฝู่ขึ้นไปเท่านั้นที่จะมี
“พวกเ้าอย่าเพิ่งสูญเสียความมั่นใจกันไป อย่างที่ข้าได้กล่าวเอาไว้ ไม่ได้ประเมินจากแค่ผลึกอสูรเท่านั้น กระทั่งสมุนไพรล้ำค่าก็สามารถนำมาประเมินได้ ในอดีตที่ผ่านมา มีบัณฑิตผู้หนึ่งที่ไม่ได้เแข็งแกร่งมากนัก เพียงแต่เขาโชคดีบังเอิญไปพบกับสมุนไพรขั้นสี่เข้า ทำให้เขาสามารถเข้าสู่สามอันดับแรกมาได้
“เมื่อเข้าไปยังเทือกเขาเทียนอวิ่นแล้ว ชีวิตของพวกเ้าล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา การถูกอสูรร้ายไล่ล่าสังหารไม่ได้ถือว่าเป็เื่ที่แปลกอันใด นอกจากนี้ยังมีการปล้นชิงกันเองระหว่างบัณฑิตอีกด้วย เพียงแต่ว่าพวกเ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือสังหารกัน แน่นอนว่าสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะถูกจับตามองตลอดเวลา หากมีการสังหารกันเองเกิดขึ้น ทางสำนักศึกษาจะใช้กฎจัดการขั้นเด็ดขาดทันที”
ผู้าุโเจิ้งอธิบายเพิ่มเติม และไม่ลืมที่จะเน้นย้ำถึงกฎเหล็กของสำนักศึกษา
“สามารถแย่งชิงกันได้!”
คำพูดนี้ทำให้แววตาของผู้ที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่งในหมู่บัณฑิตเปล่งประกายขึ้นมาทันที
“น่าสนใจ เช่นนี้การแย่งชิงผลึกอสูรจากผู้อื่นย่อมเป็วิธีการที่ง่ายกว่ามาก"
ในหมู่บัณฑิต มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งอายุราวสิบแปดปีกำลังคลี่ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ เขาสวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงิน กระทั่งเส้นผมของเขาก็ยังมีสีน้ำเงิน เวลานี้ใบหน้าของเขากำลังเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“จริงด้วย พี่หยาง บัณฑิตในรุ่นเราวรยุทธ์ของพี่หยางแข็งแกร่งที่สุดแล้ว วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเก้า แบบนี้ยังจะมีใครสามารถสู้ท่านได้อีก?”
เด็กหนุ่มที่อยู่รอบๆ ต่างก็พูดยกยอปอปั้นอีกฝ่าย ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะหัวเราะออกมา
“ล่าผลึกอสูรอย่างนั้นรึ หึ ยังจะมีใครเก่งเื่การล่ามากไปกว่าตระกูลลู่ของพวกเราอีก ฮ่าๆ อันดับหนึ่งของการประเมินในครั้งนี้จะต้องตกเป็ของข้าลู่โหย๋วเยี่ยอย่างแน่นอน”
เด็กหนุ่มร่างกำยำที่มีความสูงเกือบหกฟุตครึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะอวดฟันขาวของเขา
เหล่าบัณฑิตใหม่ที่มีความแข็งแกร่งหลายคนต่างก็มีความมั่นใจว่าตนจะสามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้
“พี่เฟิง ฮ่าๆ ๆ ข้าว่าครั้งนี้พวกเราคงเหมือนได้กลับไปใช้ชีวิตบนเทือกเขาอันหนานอีกครั้ง”
ไป๋จื่อเยว่หัวเราะร่า
“หึๆ ถูกต้อง นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ต่อสู้กับอสูรร้าย ชักคันไม้คันมือขึ้นมาแล้วสิ”
มู่ขวงกัดริมฝีปาก ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ
มู่เฟิงยิ้มบาง แววตาอันเฉียบคมของเด็กหนุ่มถูกซ่อนเอาไว้ แน่นอนว่าในดวงตาคู่นั้นมีความทะเยอทะยานและกระหายอยากอยู่ ไม่อย่างไรเขาก็จะต่อสู้เพื่อเป็ที่หนึ่งให้ได้
“เอาละ ตอนนี้รีบไปรวมพลกันที่ปลายหุบเขาเทียนอวิ่นได้แล้ว ข้าจะรอพวกเ้าอยู่ที่นั่น”
หลังจากผู้าุโเจิ้งกล่าวจบ ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะกลายเป็ลำแสงสีน้ำเงินพุ่งทะยานไปยังอีกฟากหนึ่งของหุบเขาเทียนอวิ่นทันที
“ไปเร็ว..."
เหล่าบัณฑิตใหม่นับพันคนต่างก็ะโออกมา จากนั้นพวกเขาก็รีบวิ่งไปยังอีกทางด้านหนึ่งของหุบเขาเทียนอวิ่น จุดรวมพลนั้นอยู่ห่างออกไปมากกว่าร้อยลี้ กว่าบัณฑิตใหม่จะวิ่งไปถึงก็ต้องใช้เวลากันถึงหนึ่งชั่วยาม
ณ ปลายสุดของหุบเขาเทียนอวิ่น บริเวณนี้มีกำแพงเมืองสีดำขนาดใหญ่ที่ทอดยาวออกไปมากกว่ายี่สิบลี้ ขณะที่ตัวกำแพงมีความสูงสามสิบเมตรและมีความหนากว่าสิบเมตร
กำแพงเมืองนี้ใช้ปิดกั้นทางเข้าออกระหว่างหุบเขาเทียนอวิ่นและเทือกเขาเทียนอวิ่นเอาไว้ โดยอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงก็คือูเาเขียวขจีที่ทอดตัวยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา ป่าดึกดำบรรพ์แห่งนั้นเป็สถานที่ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศและกลิ่นอายโบราณ
นั่นคือเทือกเขาเทียนอวิ่นที่เลื่องลือกันว่าเป็พื้นที่ที่มีขนาดกว้างใหญ่มากที่สุดแห่งหนึ่ง
แผ่นดินใหญ่เป๋ยอู่นั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลราวกับว่าจะไร้ขอบเขต ลำพังแค่เขตเป่ยหยวนก็มีอาณาจักรตั้งอยู่มากกว่าสิบอาณาจักรแล้ว กล่าวได้ว่าอาณาเขตเป่ยหยวนนี้เป็ดินแดนขนาดเล็กที่อยู่ในมุมหนึ่งของแผ่นดินใหญ่เป๋ยอู่เท่านั้น
บริเวณด้านของหน้าประตูของกำแพงขนาดใหญ่มีบัณฑิตที่เป็ผู้คุมกฎในชุดคลุมสีขาวอยู่จำนวนไม่น้อย พวกเขาแต่ละคนก็กำลังขี่อยู่บนหลังอินทรีั์สีคราม ซึ่งเป็อสูรร้ายระดับจื่อฝู่
อินทรีั์สีครามเหล่านี้มีความสูงเท่ากับมนุษย์ มีความยาวราวสามเมตร และสามารถใช้เป็สัตว์พาหนะได้
จำนวนของบัณฑิตผู้คุมกฎนั้นมีมากกว่าร้อยคน ทุกคนต่างก็สวมใส่ชุดคลุมสีขาวที่เป็เอกลักษณ์และขี่อยู่บนหลังของอินทรีั์ ท่าทางดูสง่างามเป็อย่างมาก โดยหัวหน้ากลุ่มของพวกเขาก็คือขงย่วน
เมื่อบัณฑิตใหม่มารวมตัวกันด้านหน้าของประตูกำแพงแล้ว ผู้าุโเจิ้งก็กล่าวเตือนอีกครั้งว่า “จงจำเอาไว้ให้ดี ห้ามเข้าไปลึกเกินกว่ารัศมีสี่ร้อยลี้เป็อันขาด ที่บริเวณสุดขอบนั้นทางเราได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ให้แล้ว หากพวกเ้าเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาเทียนอวิ่น พวกเ้าจะต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง เอาละ ตอนนี้การประเมินได้เริ่มขึ้นแล้ว ขอให้พวกเ้าโชคดี แล้วเจอกันอีกครั้งที่นี่ในอีกสิบวันข้างหน้า”
“แยกย้าย!”
สิ้นคำเหล่าบัณฑิตนับพันก็หลั่งไหลออกไปทางประตูเมือง และรีบมุ่งหน้าไปยังป่าดึกดำบรรพ์อันกว้างใหญ่ตรงหน้าทันที
หลังจากผ่านไปไม่นานก็ไม่สามารถเห็นเงาร่างของเหล่าบัณฑิตที่อยู่ด้านนอกกำแพงเมืองได้อีก
“ออกลาดตระเวนในรัศมีสี่ร้อยลี้!”
ขงย่วนในชุดคลุมสีขาวที่ดูสง่างามะโสั่งการในทันที จากนั้นเหล่าบัณฑิตผู้คุมกฎกว่าร้อยคนก็ขี่อินทรีั์สีครามทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของเทือกเขาเทียนอวิ่น
ลำแสงมากกว่าสิบสายพุ่งผ่านท้องฟ้าก่อนจะร่อนลงบนกำแพงเมืองขนาดใหญ่ พวกเขากำลังมองดูเหล่าบัณฑิตใหม่ที่ค่อยๆ หายเข้าไปในป่าใหญ่
“หึๆ ผู้าุโทั้งหลาย พวกท่านคิดว่าคราวนี้ในบรรดาเด็กน้อยเ่าั้ ใครจะคว้าตำแหน่งสามอันดับแรกมาได้?”
ผู้อำนวยการเฉินเฟิงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะยืนอยู่บนกำแพง
“ฮ่าๆ ท่านผู้อำนวยการ เื่นี้ยังกล่าวได้ยากนัก เด็กๆ รุ่นนี้ถือได้ว่ามีต้นกล้าดีๆ อยู่จำนวนไม่น้อย บางคนเพิ่งจะอายุได้สิบแปดปีก็สามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าได้แล้ว กระทั่งขั้นเจ็ดและขั้นแปดก็ยังมีเยอะกว่าบัณฑิตในรุ่นก่อนเสียอีก เื่นี้จึงยากที่จะคาดเดาได้”
ผู้าุโในชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งหัวเราะเสียงดังออกมา
“ข้าคิดว่าหลี่ว์หยางจากตระกูลหลี่ว์มีโอกาสมากทีเดียว ได้ยินมาว่าเขาฝึกฝนเคล็ดกระบี่พันวารีของตระกูลจนถึงขั้นแรกเริ่มของระดับสัมฤทธิ์ได้แล้ว นอกจากนี้วรยุทธ์ของเขาก็ยังแข็งแกร่งมาก มีความเป็ไปได้ค่อยข้างมากว่าเขาจะสามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้”
ผู้าุโอีกคนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป ในรุ่นนี้ยังมีคนของตระกูลลู่อย่างลู่โหย๋วเยี่ยผู้นั้นอยู่อีกไม่ใช่หรือ ตระกูลลู่นั้นเชี่ยวชาญด้านการล่าอสูรร้าย พวกเขามีความรู้ในการล่าและฆ่าอสูรร้ายมากที่สุด แน่นอนว่าระดับวรยุทธ์ของลู่โหย๋วเยี่ยเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”
“นอกจากนี้ยังมีเว่ยชิงจากอาณาจักรเทียนเฟิงอีกคน ในบรรดาบัณฑิตใหม่ ความแข็งแกร่งของเว่ยชิงนั้นนับว่ายอดเยี่ยมมาก”
ผู้าุโแต่ละคนต่างก็กล่าวชื่อของบัณฑิตใหม่ที่ตนคิดว่าจะชนะออกมา
“เอ๊ะ จริงสิผู้าุโอู๋อี้ คราวนี้ข้าได้ยินมาว่าท่านได้คัดเลือกอัจฉริยะที่มีกระดูกิญญาและร่างกายิญญากลับมาจากอาณาจักรหนานหลิง ท่านคิดว่าเด็กหนุ่มสองคนนั้นมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่สามอันดับแรกได้หรือไม่?”
ทันใดนั้นผู้าุโคนหนึ่งก็เอ่ยถามอู๋อี้ขึ้นมา
“หึ ข้าไม่คิดว่าเ้าเด็กสองคนนั้นจะติดสิบอันดับแรกได้ด้วยซ้ำ”
แต่กลับกลายเป็น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของบุคคลที่สามที่ตอบกลับมาเสียก่อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้