คนผู้นี้ช่างยั่วโมโหคนเก่งยิ่ง โม่เสวี่ยถงผลุนผลันออกจากประตูไปอย่างหัวเสีย เมื่อพ้นออกมาแล้วจึงพบว่าหน้าห้องไม่มีใครอยู่ เอ๋... โม่เหอไม่อยู่จริงๆ หรือนี่ คิดๆ ไปก็มีเหตุผล หากนางอยู่ จะปล่อยคนผู้นั้นให้เข้าไปหาตนเองถึงในห้องโดยไร้สุ้มเสียงได้อย่างไร
นางพกโทสะมาเต็มท้อง ยกชายกระโปรงขึ้นก้าวเท้าฉับๆ ออกมาให้พ้นจากหน้าประตู ทว่านางยังคงรับรู้ได้ว่าแผ่นหลังยังถูกสายตาร้ายกาจจับจ้องอยู่ รู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเองยิ่งนัก ดีที่เดินมาไม่กี่ก้าวก็พบกับโม่เหอที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาพอดี บอกว่านางไปเติมน้ำให้เกิดสะดุดล้ม น้ำในกาหกรดเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม สาวใช้ในร้านจึงพานางไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยไมตรี
เื่นี้ดูจะประจวบเหมาะเกินไปหน่อยหรือไม่ โม่เสวี่ยถงนึกเข่นเขี้ยวในใจ แต่แสร้งทำเป็ไม่สน นางไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าตนเองนั่งคุยอยู่ในห้องรับรองแขกกับเฟิงเจวี๋ยหร่านสองต่อสอง ขณะนั้นลั่วิจูที่เดินกลับมาจากอีกด้าน ก็ลากโม่เสวี่ยถงไปเลือกอาภรณ์อีกสองชุด จากนั้นจึงพากันลงไปชั้นล่างเพื่อหาซื้อแพรต่วนที่เหมาะสมสำหรับนำไปทำผ้าคาดศีรษะให้เหล่าไท่จวิน
ขณะที่ลงไปชั้นล่าง โม่เสวี่ยถงเห็นว่าอวิ๋นอี้ชิวยังอยู่ และเห็นพวกนางเดินจากชั้นบนลงมา แววตาของอวิ๋นอี้ชิวทอประกายวูบ ยิ้มให้โม่เสวี่ยถงอย่างเป็มิตร รอยยิ้มอ่อนโยนเจือไปด้วยความรู้สึกอยากเอาอกเอาใจ ประกอบกับใบหน้างดงามจึงทำให้คนเกิดความรู้สึกดีด้วย เพียงแต่ใบหน้าอาบรอยยิ้มที่ดูเสแสร้งแบบนั้นมิได้ทำให้นางรู้สึกเห็นใจสักนิด
“น้องหญิง นั่นใครหรือ? เ้ารู้จักด้วย?” ลั่วิจูสะกิดแขนโม่เสวี่ยถงเบาๆ แล้วถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
โม่เสวี่ยถงเลื่อนสายตาไปจับที่ใบหน้าของอวิ๋นอี้ชิว ใครจะรู้ว่าสตรีที่ดูเปราะบางอ่อนโยนผู้นี้แท้จริงแล้วจิตใจโเี้ดั่งอาบยาพิษ ยามนี้นางคิดจะทำอะไร จะเข้ามาคุยประจบประแจงตนเองอย่างเหนียมอายเหมือนชาติที่แล้วน่ะหรือ?
ท่าทางเยี่ยงนี้แสดงว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นบอกกับนางไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะแต่งตนเองเข้ามาเป็ภรรยาเอก เขาถือดีอย่างไรกล้าเชื่อมั่นในตนเองขนาดนั้น โม่เสวี่ยถงตั้งป้อมระวังอยู่เงียบๆ ในใจ
ใบหน้าทอยิ้มบางเบา ริมฝีปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มองพิจารณาหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าั้แ่หัวจรดเท้าอย่างเปิดเผย เมื่ออวิ๋นอี้ชิวเห็นสายตานางกวาดมองมา ก็อมยิ้มน้อยๆ ขณะที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยวาจาบางอย่าง โม่เสวี่ยถงกลับหันมองผ่านไปไม่เหลือบแลนางแม้แต่น้อย แล้วกล่าวกับลั่วิจูเรียบๆ “ไม่รู้จัก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นอี้ชิวพลันแข็งค้าง
ลั่วิจูโตมาในจวนฝู่กั๋วกง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่รู้สึกดีกับคนที่เข้ามายิ้มประจบประแจงลักษณะนี้อยู่แล้ว ให้คิดถึงอนุภรรยาสองสามคนที่บ้านก็มักจะใช้สายตายั่วยวนกึ่งประจบประแจงแบบนี้กับบิดาของนางเช่นกัน ยามนี้จึงเกิดความรู้สึกไม่สบอารมณ์ แค่นเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง สายตากวาดมองไปที่ใบหน้าของอวิ๋นอี้ชิว จงใจกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย “ไม่รู้จักกัน แต่กลับยิ้มให้เ้าด้วยสายตาประจบสอพลอแบบนั้น มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามิใช่สตรีที่ดีงามอันใด”
แม้ว่าในห้องโถงจะมีผู้คนไม่น้อย แต่เนื่องจากส่วนใหญ่เป็สตรี ดังนั้นจึงมีเพียงน้ำเสียงนุ่มนวลที่คุยกันเบาๆ พอลั่วิจูลั่นวาจาดังขึ้นกว่าปรกติสองสามส่วนก็ย่อมดึงดูดสายตาทุกคนให้มองมา สายตาทุกคู่ของคนที่ยืนอยู่ในที่แห่งนั้นต่างจับจ้องมาที่อวิ๋นอี้ชิวกะทันหัน จนนางรู้สึกกระอักกระอ่วนรับมือไม่ถูก
เมื่อเห็นสายตาร้อนแรงพุ่งตรงมาที่นาง มีทั้งดูิ่ เหยียดหยาม มองด้วยหางตา วางอำนาจ...
“ดูท่าทางไม่น่าจะใช่สตรีที่มาจากสกุลดีที่ไหน สายตาฉอเลาะแบบนั้นคงเป็สาวใช้กระมัง”
“ไม่ใช่หรอก เห็นไหมข้างหลังนางมีสาวใช้ติดตามอยู่ด้วยคนหนึ่ง อาจจะเป็อนุภรรยาของบ้านไหนสักบ้านล่ะมั้ง”
“ไม่น่าจะใช่นะ ดูจากทรงผมก็มิได้เกล้ามวยเยี่ยงสตรีที่ออกเรือนแล้วสักหน่อยนี่นา”
“ไม่ใช่อนุ ไม่ใช่สาวใช้ หรือจะเป็แม่นางที่มาจากหอคณิกาเ่าั้?”
“อาจเป็ไปได้ ดูท่าทางก็เหมือนมาก ครั้งที่แล้วที่ข้าผ่านทางไปเห็นแม่นางที่ยืนอยู่ในหอคณิกาคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาเหมือนนางเปี๊ยบเลย เวลามองคนก็มักจะใช้สายตาแบบนั้นแหละ พูดไปก็เท่านั้น เ้าดูเองสิ กิริยาท่าทางยั่วยวนแบบนี้แหละ ที่พวกผู้ชายหลงใหลนักหนา”
“หญิงคณิกาประเภทนี้เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร อัปมงคลแท้ๆ สงสัยเป็เพราะวันนี้ลืมดูปฏิทินฤกษ์ยามก่อนออกจากบ้านแน่ๆ”
“นั่นน่ะสิ อยู่ห่างๆ นางไว้หน่อยดีกว่า เดี๋ยวจะพานติดเสนียดจัญไรให้มัวหมองไปด้วย”
…
แปดในสิบของสตรีที่มาที่นี่ไม่ใช่บ้านรองของเหล่านายท่านเลี้ยงไว้ในบ้าน หรือเป็บุปผาริมทางให้บุรุษเชยชมยามออกไปหาความสำราญนอกบ้าน ดังนั้นปรกติพวกนางจึงไม่ถูกชะตากับสตรีประเภทนี้เป็ที่สุด เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชายก็ออดอ้อนออเซาะ ทำตัวให้ดูน่าสงสาร ยั่วให้บุรุษให้หลงใหลใจแตก ยามนี้มีโอกาสไหนเลยจะไม่ชี้หน้า ด่ากระทบกระเทียบให้เจ็บใจ โดยเฉพาะสตรีที่คนที่บ้านพาอนุภรรยามาด้วย ต่างโผล่หน้ามาร่วมวงนินทากันอย่างคะนองปาก ทำให้อวิ๋นอี้ชิวอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
นางเกือบจะสลัดหน้ากากทิ้งแล้วด่าทอกลับด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ ใบหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด คำติฉินนินทายิ่งพูดยิ่งฟังไม่ได้ น้ำตาเอ่อล้นคลอเต็มสองเบ้าตา ขบริมฝีปากแน่น ใบหน้าขาวซีดไม่กล้าเอ่ยคำใด จูงมือสาวใช้เดินเบียดฝูงชนออกไปด้วยความอับอาย เสียงหัวเราะเยาะหยันที่ดังตามหลังมาเป็ระลอกทำให้นางโกรธจนมือสั่น ตัวสั่นสะท้าน ลมหายใจหอบกระชั้น กัดริมฝีปากจนหลั่งเื
นางส่งความเคียดแค้นทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่โม่เสวี่ยถง นึกเข่นเขี้ยวในใจ ความอัปยศที่นางได้รับในวันนี้โม่เสวี่ยถงเป็ผู้มอบให้ วันหน้านางต้องตอบแทนกลับเป็พันเท่าหมื่นเท่า!
ขอเพียงคุณหนูสามโม่แต่งให้กับสกุลซือหม่า นางจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่นอน ในหัวใจของพี่ชายมีเพียงนางเท่านั้น นางไม่เชื่อว่าตนเองสู้คุณหนูสามโม่ผู้นี้ไม่ได้ ก็แค่มีชาติสกุลที่ดีกว่าส่วนเื่อื่นๆ หรือแม้แต่หน้าตาคงงดงามสู้นางไม่ได้ จะต้องเป็เช่นนี้แน่
เจตนาเดิมของนางในวันนี้คือ้าเข้ามาผูกมิตรกับโม่เสวี่ยถงเอาไว้ก่อน วันหน้าเมื่ออีกฝ่ายแต่งเข้ามาในจวน หากอาศัยว่ามีวาสนาต่อกันเคยรู้จักกันมาก่อน จึงจะคิดหาวิธีจัดการกับนางได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นนางจึงบอกกับซือหม่าหลิงอวิ๋นว่าตนเองอยากจะเลือกซื้อแพรพรรณเพื่อตัดอาภรณ์ให้เขา และบอกให้กลับไปก่อน
ไม่คิดว่าแค่คำพูดง่ายๆ ว่าไม่รู้จักของคุณหนูสามโม่เพียงประโยคเดียว จะทำให้นางต้องตกเป็ขี้ปากของชาวบ้านถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้อวิ๋นอี้ชิวนึกแค้นเคืองโม่เสวี่ยถงได้อย่างไร ความอับอายที่ได้รับในวันนี้ นางจะต้องเอาคืนให้ได้
ในห้องโถงใหญ่ โม่เสวี่ยถงยืนมองอวิ๋นอี้ชิวที่ได้รับความอัปยศจนต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนออกไปพร้อมกับสาวใช้ที่คอยประคองอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากอมยิ้มรู้ดีว่าครานี้อวิ๋นอี้ชิวคงแค้นตนเองฝังลึกแน่นอน แต่แล้วอย่างไร เกี่ยวข้องอันใดกับนางเล่า? เพราะถึงอย่างไรชีวิตนี้นางก็ไม่มีทางแต่งให้กับซือหม่าหลิงอวิ๋นเด็ดขาด ดังนั้นอนุเล็กๆ ในบ้านของเขายิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตนเอง
ภายในห้องโถงใหญ่มีแเื่มากมาย คงจะต้องมีบางคนที่รู้จักมักจี่กับจวนเจิ้นกั๋วโหวอยู่บ้างกระมัง อย่างไรเื่นี้ย่อมล่วงรู้ไปถึงที่นั่น แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น หากฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวผู้รักหน้าตายิ่งชีวิตพบว่าผู้ที่ทำให้จวนเจิ้นกั๋วโหวต้องอับอายขายหน้าคือหลานสาวของตนเอง ไม่รู้ว่านางจะมีสีหน้าอย่างไร
ชาติที่แล้วโม่เสวี่ยถงยังจำฝังใจ ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวผู้นี้เป็คนปากร้ายใจดำ มิได้เป็คนดีมีเมตตาอันใด นางยืนมองหลานชายของตนเองตายไปต่อหน้าต่อตา แล้วก็สะบัดชายเสื้อจากไป แม้แต่โลงศพสักใบก็ยังไม่ซื้อให้ อ้างว่าเด็กยังเล็กมาก แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ได้ตั้ง ไม่อาจให้นำเข้าสุสานบรรพชนสกุลซือหม่า แค่หาที่ฝังง่ายๆ ก็พอ
คนที่ใจจืดไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ ก็คงมีเฉพาะในตระกูลซือหม่าเท่านั้น
เมื่อนึกถึงอวี้เอ๋อร์ร่างแข็งทื่อตัวเย็นเฉียบอยู่ในอ้อมอก หัวใจพลันสั่นสะท้าน รู้สึกเ็ปเหมือนหัวใจถูกไฟแผดเผา ร่างของนางโอนเอนหยัดกายไว้ไม่อยู่ที่หัวบันได หากไม่ใช่เพราะโม่เหอหูตาไวคว้าตัวนางไว้ทัน เกรงว่าคงจะพลัดตกลงไปแล้ว
“น้องหญิงเป็อย่างไรบ้าง รู้สึกไม่สบายหรือ” ลั่วิจูเห็นโม่เสวี่ยถงดูผิดปรกติจึงถามขึ้นอย่างร้อนใจ
“ไม่เป็อะไรเ้าค่ะ แค่เวียนหัวนิดหน่อยเท่านั้นเอง” โม่เสวี่ยถงถอนหายใจยาว พยายามระงับความเ็ปที่ทิ่มแทงในหัวใจ แล้วเงยหน้าขึ้นตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าภายใต้หมวกเหวยเม่าซุกซ่อนใบหน้าขาวซีดไร้สีเืที่ไม่มีใครเห็น ลั่วิจูมิใช่คนพิถีพิถัน ส่วนโม่เหอแต่ไหนแต่ไรมาก็มักเลินเล่อขาดความระมัดระวัง สาวใช้ของลั่วิจูก็มิได้สังเกตโม่เสวี่ยถงเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครจับสังเกตถึงน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยของนาง เ็ปรวดร้าวประหนึ่งถูกคมมีดกรีดลงมาในหัวใจ
จวนเจิ้นกั๋วโหวของซือหม่าหลิงอวิ๋นเป็เสมือนรังเสือรังหมาป่า หากจิตใจไม่อำมหิตพอ ใครเล่าจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ นางหลงคิดไปว่าพวกเขาล้วนมีจิตใจดีงาม พยายามเอาอกเอาใจโหวฮูหยิน ยกอวิ๋นอี้ชิวให้ซือหม่าหลิงอวิ๋น สุดท้ายก็ยังให้โม่เสวี่ยิ่เข้าจวนมาช่วยเหลือนางอีก
เมื่อมีแต่หมาป่าชั่วร้ายตบเท้าเข้ามาทีละตัวๆ แล้วนางจะมีชีวิตรอดอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีแต่คนโฉดได้อย่างไร
ดังนั้นอวี้เอ๋อร์ก็ตาย ตนเองก็ตาย สวี่มามา โม่หลัน โม่อวี้และโม่เหอ ข้ารับใช้ผู้จงรักภักดีล้วนตายหมด นางหลุบตาลงครึ่งหนึ่ง ซ่อนความเ็าไว้ภายใต้ก้นบึ้งดวงตา นี่คือเหตุผลของการแก้แค้น ชาติก่อนทำไว้อย่างไร ชาตินี้ย่อมได้รับการตอบแทนอย่างสาสม นางไม่ยอมให้ทุกคนต้องตายเปล่า ทุกชีวิต ทุกหยาดโลหิต นางจะค่อยๆ ทวงคืน ทีละก้าว… ทีละก้าว
“ไม่เป็ไรจริงๆ หรือ?” ลั่วิจูเอื้อมมาคว้ามือนางไว้ จึงพบว่ามือของนางเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง ก็จี้ถามด้วยความเป็ห่วง “มือเย็นเป็น้ำแข็งขนาดนี้ พวกเรารีบกลับกันเถอะ อีกประเดี๋ยวให้ท่านหมอมาตรวจอาการดู ขออย่าให้เป็ไข้หวัดลมหนาวไปจริงๆ เลย มิเช่นนั้นท่านย่าต้องไม่ละเว้นข้าแน่”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้ายังอยากจะมอบแพรต่วนให้ท่านน้าเล็กสักสามสี่ผืน เมื่อวานนี้นางให้ผ้าต่วนข้ามาตัดชุดใหม่หลายชิ้น มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น นางคงเลือกมาให้อย่างพิถีพิถันด้วยตนเองแน่นอน ข้าไม่อาจเอาเปรียบท่านน้าได้” โม่เสวี่ยถงยิ้มตอบแล้วค่อยๆ ชักมือกลับอย่างแเี นางรู้สึกไม่ชินจริงๆ เวลาถูกใครจับมืออย่างสนิทสนมเช่นนี้
ชาติที่แล้วนางยื่นมือออกไปให้ผู้อื่นง่ายเกินไป เชื่อใจผู้อื่นมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องตายอย่างอนาถ ชีวิตนี้นางจะไม่เชื่อใจใครอีก แม้ว่าลั่วิจูจะดีต่อนาง แต่นางก็ไม่กล้าไว้วางใจจนขาดการป้องกันตนเอง
ดังนั้นนางจึงจำเป็ต้องสร้างกำแพงหัวใจที่คล้ายไม่มีแต่ว่ามีอยู่กับคนทุกคน
แม้แต่ลั่วิจูนางก็ไม่กล้าเชื่อใจมากนัก และไม่กล้าวางมือของตนเองไว้ในอุ้งมือนางอย่างวางใจ
แผลใจในอดีตหนักหนาร้ายแรงปานนั้น หนักถึงขั้นทำให้นางฝันร้ายยามค่ำคืน ว่าตนเองยังอยู่ท่ามกลางกองเพลิงในห้องหับ กลิ่นควันไฟร้อนแรงฉุนแสบจมูกจนหายใจไม่ออก ทุกสิ่งล้วนย้ำเตือนนางว่าต้องแก้แค้น นางต้องแก้แค้นให้ได้ และโศกนาฏกรรมที่ได้รับ ทำให้เกิดปมในใจจนไม่อาจเชื่อใจใครได้อีก
“งั้นก็ได้ ข้าก็อยากหาซื้อแพรพรรณให้อาหญิงอยู่เหมือนกัน ั้แ่นางเข้าจวนมาก็แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย แพรต่วนพวกนั้นคงจะเก็บไว้นานแล้วกระมัง มีโอกาสซื้อของใหม่ให้นางบ้างก็ดี” ปฏิกิริยาที่ลั่วิจูมีต่ออาหญิงของนางก็นับว่าไม่เลวนัก สวี่เยียนเป็คนจิตใจดีเข้ากับคนง่าย ปรกติก็มีมิตรภาพที่ดีกับนาง และมักจะให้คนส่งของเล่นน่าสนใจมาให้เป็ประจำ บอกว่าเอามาให้นางเล่น แต่ของเ่าั้ล้วนเป็ของชั้นดีทั้งสิ้น
สกุลสวี่แทบล่มสลายไปแล้ว ในบ้านก็เหลือเพียงสตรีกำพร้าผู้นี้ แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาจะถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมตามใจ แต่เมื่อบิดามารดาล้วนสิ้นใจทั้งคู่ นางจึงจำเป็ต้องมาพึ่งพาสกุลลั่วอย่างจนหนทาง สวี่เยียนอายุมากกว่าคุณหนูทั่วไปค่อนข้างมาก ดังนั้นนางจึงจัดการเื่ราวต่างๆ ได้ดีเป็ที่น่าเลื่อมใส แม้แต่สวี่เหล่าไท่จวินก็ยังชมไม่ขาดปากว่าผู้ใดแต่งหลานสาวผู้นี้ของนางไป ภายในเรือนชั้นในคงจะเรียบร้อย ไม่ต้องมีสิ่งใดต้องกังวล
โม่เสวี่ยถงเห็นลั่วิจูก็มีใจอยากจะซื้อผ้า ก็ดึงนางไว้แล้วกระซิบข้างหูเบาๆ สองสามประโยค ลั่วิจูได้ยินแล้วก็ตาโตเอ่ยถามอย่างตะลึงลาน “จริงหรือ?”
“เ้าเบาหน่อยสิ...” โม่เสวี่ยถงถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง บอกใบ้ให้เงียบเสียงไว้ เมื่อครู่เพราะลั่วิจูทำเสียงดัง เลยทำให้อวิ๋นอี้ชิวตกเป็เป้าหมายสายตาของฝูงชน เดี๋ยวมิใช่ว่าครานี้พวกนางจะตกเป็เป้าสายตาเสียเอง
ลั่วิจูมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองไว้ มองซ้ายมองขวา เห็นผู้อื่นต่างเลือกซื้อผ้าของตนไปตามปรกติ แล้วจึงเอ่ยถามเสียงเบาอย่างไม่อยากเชื่อ “เ้าแน่ใจหรือ?”
“จริงแท้แน่นอน” โม่เสวี่ยถงยิ้มอย่างไม่นำพา เหล่ตามองลั่วิจู นางรู้ว่าอีกฝ่ายอยากฟังนางอธิบายต่อ แต่นางกลับทำท่าไม่สนใจ ไม่ยอมพูดต่อ
“จะได้หรือ?” ยามนี้พวกนางลงมาถึงข้างล่างแล้ว ผู้คนเบาบางไปมาก สายตาที่จับจ้องมาที่พวกนางก็น้อยลงแล้ว ลั่วิจูจึงกดเสียงให้ต่ำถามรบเร้า แววตาเป็ประกายมองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง
“ทำไมจะไม่ได้เล่า เ้าคอยดูให้ดีแล้วกัน” โม่เสวี่ยถงผงกศีรษะ ยิ้มอย่างมั่นใจ
“งั้นดีเลย คราวหน้าหากท่านอาเขยมาอีก เ้าอย่าลืมเรียกข้านะ หากท่านอาหญิงก็มีใจจริงๆ ข้าจะช่วยไปพูดขอร้องกับท่านย่าให้นางเอง” ลั่วิจูแค่ได้ฟังก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว
ให้ลั่วิจูมาดู? เื่นี้ยังให้คนทั้งจวนลั่วรู้ไม่ได้ ดังนั้นยามนี้โม่เสวี่ยถงจึงส่ายหน้า “เ้ายังไม่ต้องมาดีกว่า ส่วนหนึ่งบิดาข้ามา เ้าจะวิ่งมาดูก็คงไม่เหมาะสมเท่าไร อีกอย่างหากเ้ามองคนนี้ทีคนนั้นที แล้วเกิดทำเสียเื่ขึ้นมาก็แย่น่ะสิ”
“สรุปว่าไม่ให้ข้าดู?” ลั่วิจูถามอย่างร้อนใจ
“ไม่ให้!” น้ำเสียงมั่นคงหนักแน่นดูขัดกับใบหน้าที่ดูนุ่มนวลอ่อนโยนของนางโดยสิ้นเชิง
“ไม่ให้จริงหรือ?” ลั่วิจูเริ่มโมโห ถลึงตาใส่โม่เสวี่ยถงบ้าง
“ไม่ได้จริงๆ!” โม่เสวี่ยถงยิ้มเรียบๆ
“ฮึ้ย… ขัดใจจริงๆ เลย งั้นครั้งหน้าจำไว้ว่าหากเื่สำเร็จ ข้าต้องเป็คนแรกที่ได้รู้” เห็นท่าทางของโม่เสวี่ยถงแล้ว ลั่วิจูก็กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด แต่กลับทำอะไรนางไม่ได้ ได้ต่อย้ำว่าหากเื่สำเร็จจริงๆ นางจะต้องได้รู้เื่นี้เป็คนแรก
เห็นนางมีท่าทางสนใจมากจริงๆ โม่เสวี่ยถงก็ได้แต่รับปาก
เมื่อได้รับคำสัญญาจากโม่เสวี่ยถงแล้ว ลั่วิจูก็ดีใจยิ่ง ลากนางไปเลือกซื้อผ้าต่วนที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ยามนี้อากาศเย็นลงแล้ว สุขภาพของสวี่เหล่าไท่จวินก็ไม่ค่อยแข็งแรง ผ้าคาดศีรษะก็มีแต่ของเก่า ควรทำชิ้นใหม่ให้หนาขึ้นอีกหน่อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้