ตอนที่ 6
ตีอาเจิน
“เธอสร่างเมาั้แ่ตอนโดนจับนั่งตักแล้วใช่หรือเปล่า?”
“…”
อาเจินนั่งนิ่งไปทันทีทั้งเสียงหัวใจที่เต้นดังกระหน่ำอยู่ในอก จู่ ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าบริเวณข้างแก้มร้อนผ่าวไปหมด ได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ แล้วขยับตัวขยุกขยิกไปมาอย่างลนลาน พอคิดอะไรไม่ออกก็ก้มหน้าหนีเสียอย่างนั้น
“หนีเหรอ”
“มะ ไม่ได้หนี!”
เรียวนิ้วแตะลงบริเวณปลายคางมนแล้วออกแรงดันเอาไว้เบา ๆ ไม่ให้คนบนตักก้มหน้าหนีได้ตามใจตน อาเจินพอได้ยินข้อกล่าวหาว่ากำลังหนีอยู่ก็รีบเงยหน้ามาเถียงกลับทันที ก่อนจะหยุดชะงักนิ่งไปเมื่อสบกับดวงตาคมที่ทอดมองมายังตนอยู่ก่อนแล้ว ลนลานทำท่าจะหนีลงจากตัก ทว่ากลับถูกฝ่ามือใหญ่จับเอวตรึงเอาไว้ไม่ให้ลุกหนีไปที่ไหน
“เฮียปล่อยเจิน…”
“เมื่อกี้มุดหาแทบตาย ทีตอนนี้จะมาหนี”
ดวงตาสีน้ำตาลสวยตวัดช้อนขึ้นมองสบกันทันทีทั้งใบหน้างอง้ำ กระนั้นข้างแก้มที่ยังขึ้นสีแดงเรื่ออย่างน่ารักก็ไม่ได้ทำให้อาเจินดูน่ากลัวขึ้นมาแต่อย่างใด เมื่อตั้งสติแล้วเห็นตัวเองที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยก็ขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น กำปั้นน้อย ๆ ทุบลงบนลาดไหล่กว้างอย่างแรงหนึ่งทีเมื่อทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
“เมื่อไหร่จะปล่อยเจินลง…”
“ดื่มเบียร์ทำไม”
“…” คำถามเดิมถูกยกขึ้นมาในบทสนทนาอีกครั้ง คล้ายกับ้าอยากจะรู้ให้ได้ว่าแรงจูงใจที่ทำให้ตัวเขาตัดสินใจกล้าหยิบสุรามากรอกปากตัวเองคืออะไร พอยังไม่ได้รับคำตอบเสียทีก็เอ่ยเรียกย้ำอีกครั้ง
“หมวย”
“เจินจะดื่มหรือจะเมาแค่ไหนก็ไม่ใช่เื่ที่เฮียจะต้องมาสนใจนี่”
“กำลังบอกว่าไม่ให้กูมายุ่ง?” เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็เชิงถาม ในขณะที่อาเจินเริ่มเงียบไปแล้วกัดปากน้อย ๆ ใบหน้าก้มลงหลบสายตา แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยพูดเถียงเสียงอุบอิบ
“…ใคร ๆ เขาก็ดื่มเบียร์กันได้ทั้งนั้น…”
“เถียงได้ฉะฉานขนาดนี้ คงสร่างเมานานแล้วงั้นสิ”
“อะ…”
คราวนี้คนที่เตรียมตัวจะเถียงต่อตามนิสัยกลับทำได้เพียงอ้าปากพะงาบ ๆ มือที่วางประคองตัวเองอยู่บนลาดไหล่กว้างเริ่มออกแรงขยุ้มเสื้อของอีกฝ่ายแรงขึ้นจนมันเริ่มยับยู่ นึกอยากจะมุดหน้าลงพื้นหนีไปเสียั้แ่ตอนนี้ให้หายอับอาย ขยับตัวขยุกขยิกไปมาหมายจะหนีลงจากตัก กระนั้นก็ยังไม่ได้รับอิสระเสียทีจนใบหน้าเริ่มงอง้ำ
“ปะ ปล่อยเจินลง เฮียอย่ามาแกล้งเจินนะ!”
พอพยายามหนีด้วยตัวเองไม่ได้ก็เริ่มงอแงตามนิสัยช่างเง้างอน าาแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งคำจนผู้ฟังขมวดคิ้วเข้าหากันหนักกว่าเก่า กระนั้นก็ยอมผละมือออกจากบริเวณบั้นเอวเล็กอย่างตามใจ อาเจินพอได้รับอิสระสมใจอยากก็รีบลุกขึ้นจากตักเตรียมจะหนีกลับทันที ก่อนจะหยุดชะงักไปเมื่อเห็นคราบที่ตัวเองปลดปล่อยเอาไว้เลอะเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
แม้ว่าใบหน้าจะเริ่มร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกอับอาย แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาสีน้ำตาลสวยกลับเริ่มทอแสงอ่อนลงด้วยความรู้สึกผิด จากที่คิดจะหนีปัญหากลับบ้านทันที เท้าน้อย ๆ กลับเดินตรงดิ่งไปหยิบกระดาษทิชชูมานั่งเช็ดคราบที่เลอะติดเสื้อผ้าออกให้เงียบ ๆ
“ไม่ได้ตั้งใจ…”
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดแ่เบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน คล้ายกับยังแอบรู้สึกผิดที่ทำเสื้อผ้าราคาแพงของอีกคนเลอะแบบนี้ เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจกับสิ่งตรงหน้าของตัวเอง จึงไม่ได้รับรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังมองตนอยู่หรือไม่ าายังคงนิ่งเงียบ เกลี่ยปลายนิ้วลงบนจมูกโด่งรั้นเบา ๆ อย่างหยอกเอินแล้วเอ่ยต้อนถาม
“แล้วที่ทำบนตักเมื่อกี้ตั้งใจหรือเปล่า”
“…”
คราวนี้มือที่กำลังขยับอย่างคล่องแคล่วในคราวแรกกลับหยุดชะงักนิ่งไป ทั้งอาเจินที่เริ่มหน้าแดงเป็มะเขือเทศสุก คิดว่าคนตรงหน้ากำลังกลั่นแกล้งตนอยู่หรือไง คิดได้ดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสบทั้งเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น ทำหน้าให้ดูน่ากลัวคล้ายกับกำลังขู่กัน เอ่ยเถียงกลับเสียงดังแม้ว่าน้ำเสียงจะเริ่มแกว่งไปมาอยู่ไม่นิ่งก็ตามที
“ไม่ได้ตั้งใจ”
“เฮียให้เธอพูดใหม่”
“บะ บอกว่าไม่ได้ตั้งใจไง”
อาเจินเริ่มละล่ำละลักพูด ในขณะที่าาแค่นเสียงหัวเราะออกมาหนึ่งคำ ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็รอยยิ้มเ้าเล่ห์ร้ายกาจ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ทว่ากลับทำให้ผู้ฟังใบหน้าแดงก่ำเสียยิ่งกว่าเก่า
“ไปหัดโกหกมาใหม่”
“…”
“หยิบทิชชูมาอีก”
“เจินเช็ดหมดแล้ว…”
ร่างเล็กขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่น้ำเสียงในท้ายประโยคจะค่อย ๆ แ่เบาลงแล้วถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอยามดวงตาหลุบลงมองเห็นบริเวณกลางกายของอีกฝ่ายที่ยังคงแข็งชูชันดุนดันเนื้อผ้าขึ้นมาอย่างชัดเจน ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันแน่นทั้งดวงตาที่กลอกหนีไปทางอื่นทันทีเมื่อเริ่มรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร
“ฮะ เฮียก็ไปทำในห้องน้ำสิ!”
“ตัวเองไล่คนอื่นเขาได้ด้วยเหรอหมวย”
คำพูดดังกล่าวเป็ผลให้อาเจินเริ่มเถียงไม่ออกเมื่อตัวเองก็ยังคงมีชนักติดหลัง ครั้นเมื่อเห็นว่าร่างสูงเริ่มปลดซิปกางเกงแล้วรูดลงจนเห็นอันเดอร์แวร์สีดำด้านในก็รีบหันหลังหนีทันทีอย่างลนลาน มือน้อย ๆ กำที่บริเวณชายเสื้อของตัวเองแล้วออกแรงขยำแรงขึ้นมันเริ่มยับยู่ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลสวยจะเริ่มทอประกายหม่นลงเมื่อเริ่มมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นมาในหัว
“คนอย่างเฮีย…ไม่จำเป็ต้องมานั่งทำเองเลยด้วยซ้ำ”
ประโยคดังกล่าวถูกเอ่ยพูดออกมาตามความคิด แม้จะแ่เบามากเสียจนแทบไม่ได้ยิน แต่กระนั้นพื้นที่ภายในบาร์ที่เงียบสงบถึงขนาดนี้ มีหรือที่ใครอีกคนจะไม่ได้ยิน…ตัวเขาคิดว่าาาในตอนนี้อาจจะมีคู่นอนเป็ของตัวเอง หรืออาจจะมีคนที่สามารถโทรหาได้เมื่อใดก็ตามที่้าทำกิจกรรมอย่างว่า
แต่ทว่า…
“อ้ะ!!”
ดวงตาเบิกกว้างทั้งน้ำเสียงที่หลุดเล็ดลอดออกมาอย่างใเมื่อข้อมือเล็กถูกกอบกุมเอาไว้แล้วออกแรงดึงให้หันหลังกลับไปหากันอีกครั้งอย่างกะทันหัน อาเจินร่างกายเซถลาจนต้องรีบวางมือลงบนลาดไหล่กว้างแล้วบีบไว้แน่นเพื่อประคองตัวไม่ให้เสียหลักล้มลงไป ก่อนจะเริ่มได้สติแล้วชะงักไปเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหงาเงยขึ้นมองกันอยู่ก่อนแล้ว ทั้งประโยคหนึ่งที่ถูกเอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำลง
“มึงอย่ามาดูถูกกูให้มันมากนักเจิน”
ฝ่ามือใหญ่วางลงที่ข้างแก้มขาวแล้วเกลี่ยปลายนิ้วไปมาอย่างเชื่องช้า คล้ายกับ้าััผิวแก้มอย่างละเมียดละไม ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันแน่นิ่ง พลันทุกสิ่งอย่างรอบกายถูกเพิกเฉยไปชั่วขณะหนึ่ง คล้ายกับถูกดึงให้ตกลงไปสู่ห้วงภวังค์…พร้อมกับประโยคเดิมที่ถูกเอ่ยพูดอีกครั้ง ประหนึ่ง้าที่จะเน้นย้ำกันและสื่อความหมายบางอย่างในนั้น
“รู้ว่าไม่อยากจะเชื่อใจกันแล้ว แต่อย่ามาดูถูกกูแบบนี้”
…
หลายวันต่อมา
23.30 น.
“จริง ๆ แล้วไม่ต้องให้เพ่ยนอนห้องพิเศษก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็ไรหรอก”
อาเจินส่ายหน้าเล็กน้อยทั้งรอยยิ้มพลางทอดสายตามองน้องสาวของตัวเองซึ่งมีอายุห่างกันถึงห้าปีอยู่ในชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาล หญิงสาวในตอนนี้ยังคงมีใบหน้าเป็กังวลอยู่ไม่น้อยเมื่อคิดว่าห้องพิเศษของโรงพยาบาลแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าแพงหูฉี่
“ไว้สุขภาพดีขึ้นแล้วค่อยมากังวลเื่นี้เถอะ”
ร่างเล็กทำเป็พูดอย่างกับว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจขึ้น เพ่ยเพ่ยเป็น้องสาวแท้ ๆ ของเขา มีโรคประจำตัวเป็โรคหอบหืด ที่ผ่านมายังคงมีอาการทรง ๆ ทว่าวันนี้กลับเริ่มอาการหนักขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงเป็เหตุผลให้เขาและน้องมาอยู่ในห้องพิเศษโรงพยาบาลกลางดึกแบบนี้
“ฝากขอบคุณพี่คิงด้วยนะคะ”
พอชื่อของบุคคลที่สามถูกเอ่ยขึ้นมา ริมฝีปากอิ่มพลันขบเม้มเข้าหากันแน่นในทันที เมื่อหัวค่ำวันนี้มีสายจากเพื่อนสนิทเพ่ยเพ่ยโทรเข้ามาหาในระหว่างที่เขาทำงานว่าน้องสาวอาการไม่ค่อยดี ตัวเขาที่รีบร้อนใจจึงขอให้าาพามาส่งที่นี่ หากขึ้นรถประจำทางหรือเรียกรถอาจจะใช้เวลานานมากกว่านี้
อีกฝ่ายไม่ได้กลับไปในทันทีเมื่อมาส่งถึงที่ ทว่ากลับเดินมาฟังอาการของเพ่ยเพ่ยจากหมอด้วยกัน เมื่อรู้ตัวอีกทีก็มีการทำเื่ขอย้ายคนป่วยไปนอนห้องพิเศษเสียแล้ว และเอ่ยปากบอกจะเป็คนจ่ายค่าห้องให้เอง ตัวเขาที่รู้ว่าน้องสาวอาจจะไม่ชอบอยู่รวมกับคนแปลกหน้าเท่าไรนัก จึงแอบเห็นด้วยกับการตัดสินใจของคนอายุมากกว่าไปด้วย
“เดี๋ยวไปขอบคุณเขาให้”
เพ่ยเพ่ยพยักหน้ารับทั้งดวงตาที่ปิดลงเห็นเป็ขีดสองขีด ก่อนที่เธอจะเริ่มมีท่าทีลังเลคล้ายอยากจะถามคำถามบางอย่างแต่ก็ยังไม่กล้า ทว่าสุดท้ายแล้วก็พยายามรวบรวมความกล้าถามออกมาในที่สุด
“แล้ว…กลับมาคบกับแล้วเหรอคะ”
คำถามดังกล่าวทำให้อาเจินหยุดชะงักไป ดวงตาของเพ่ยเพ่ยเริ่มเป็ประกายคล้ายกับเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมา อาเจินเอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องสาวเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“เปล่า…ตอนนี้เฮียเขาเป็เ้านาย”
“…”
“เดี๋ยวต้องกลับไปทำงานต่อแล้วนะ”
“อาเจินไม่รักพี่คิงแล้วเหรอ”
“…”
เท้าที่กำลังก้าวเดินจะเปิดประตูออกจากห้องไปเริ่มผ่อนจังหวะช้าลงก่อนจะหยุดนิ่งไปอีกครั้ง อาเจินยังคงยืนหันหลังให้น้องสาวอยู่อย่างนั้นเพราะคิดว่าตัวเขาในตอนนี้ดูไม่มั่นคงเอาเสียเลย ริมฝีปากอ้าออกเตรียมจะเอ่ยพูดปฏิเสธ ทว่ากลับทำไม่ได้เสียอย่างนั้น คล้ายว่าสิ่งที่กำลังจะพูดกับสิ่งที่อยู่ในใจสวนทางกันอย่างสิ้นเชิงจนทำได้แค่เงียบไปเท่านั้น
“ไม่ตอบแปลว่ายังรักอยู่ใช่ไหม”
“นอนได้แล้ว”
คำพูดของเพ่ยเพ่ยจี้ใจดำเข้าอย่างจัง ร่างเล็กส่ายหน้าไปมาสะบัดความคิดที่อยู่ในหัวก่อนจะเอ่ยตัดบทเพื่อยุติการสนทนาที่ยืดยาวนี้โดยทันที บานประตูถูกเปิดออกเพื่อพบกับร่างสูงของาาในชุดเสื้อสีดำกับกางเกงยีนสีซีดยืนกอดอกพิงกำแพงรออยู่ ฝ่ายนั้นเมื่อเห็นว่าเสร็จธุระทุกอย่างแล้วจึงเดินนำไปที่รถทันที ทว่าอาเจินกลับรีบวิ่งไปยืนขวางหน้าไว้ก่อนเมื่อถึงลานจอดรถ
“เจินจะหาเงินมาคืนให้”
“เอาเงินไปซื้อนมมากินเถอะ”
ร่างสูงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแล้วเดินหลีกไปอีกทาง ในขณะที่อาเจินยืนกำหมัดหน้าดำหน้าแดง ร้องเสียงฟึดฟัดในลำคอเป็แมวหงุดหงิดเมื่อถูกหยอกเย้าเื่ส่วนสูง พอตั้งสติได้ก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วเดินดุ่ม ๆ ตามไป เมื่อขาสั้นก้าวเดินแซงไม่ทันก็เปลี่ยนเป็เดินตามหลังแล้วพูดต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“เจินไม่ชอบติดค้างบุญคุณใคร ถ้าไม่เอาเงินก็บอกมาว่าจะให้เจินซื้ออะไรมาตอบแทนให้---อ้ะ!”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอแทนที่ด้วยเสียงร้องออกมาหนึ่งคำเมื่อร่างสูงหยุดเดินแล้วหันกลับมาหากันกะทันหัน จนอาเจินที่เอาแต่หลับหูหลับตาเดินชนหน้าจุ่มอกดังปั่กโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าหวานงอง้ำแล้วผละตัวออกมาพลางเอามือลูบศีรษะตัวเองป้อย ๆ พอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกคนก็ยิ่งหงุดหงิด ดวงตาตวัดช้อนขึ้นมองทั้งใบหน้าบึ้งตึงที่ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเก็บเสื้อผ้า พรุ่งนี้มาเจอกันที่หน้าบาร์ตอนบ่ายโมง”
“ปะ ไปไหน”
เมื่อคนตรงหน้าหันหลังเดินนำไปอาเจินที่เพิ่งได้สติก็รีบสับเท้าวิ่งตามทันที บางจังหวะเกือบจะสะดุดขาตัวเองล้มเพราะนิสัยซุ่มซ่ามไม่มองทางจนาาต้องคอยหันมาคอยจับเป็ระยะ เอ่ยตอบอย่างสบาย ๆ อย่างกับเป็การเดินทางที่ไม่ไกลเท่าไรนัก
“ไปภูเก็ต”
“…”
“หรือว่าจะผิดคำพูดตัวเอง?”
ร่างสูงหันมาเลิกคิ้วถามกันอีกครั้ง จี้ใจดำในสิ่งที่อาเจินเพิ่งจะพูดออกมาด้วยความคะนอง คนอายุน้อยกว่าที่เตรียมจะอ้าปากเถียง พอได้ยินดังนั้นก็ได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ แล้วหุบปากฉับ ตวัดสายตาช้อนขึ้นมองแยกเขี้ยวขู่ใส่อดีตคนรักของตนที่ทำเหมือนเขาเป็หมากระเป๋า นึกอยากจะหิ้วไปที่ไหนก็หิ้วไป
กำปั้นน้อย ๆ ยกขึ้นหมายจะชกหน้าหล่อ ๆ นั่นสักที แต่เมื่อพิจารณาเห็นส่วนสูงของตัวเองที่อยู่ถึงเพียงหน้าอกของอดีตคนรักเท่านั้นก็ได้แต่ร้องฮึดฮัดกับตัวเองอยู่ในใจ เขย่งไปต่อยตอนนี้จะเล็งเป้าแม่นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
น่าขัดใจไปหมด น่าขัดใจอาเจินไปหมดทุกอย่างเลย!
…
ภูเก็ต
17.45 น.
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาครับคุณคิง ส่วนในร้านก็เริ่มสร้างไปได้เยอะแล้วครับ”
“ขาดเหลืออะไรก็บอกผมแล้วกันนะครับ”
เสียงพูดคุยกันของคนทั้งสองยังคงดังอยู่ตลอด ในขณะที่อาเจินยังไม่สามารถเดินไปที่ไหนได้เพราะมือข้างหนึ่งยังคงถูกกอบกุมเอาไว้หลวม ๆ หลังจากที่เก็บเสื้อผ้าไปรอเจออีกฝ่ายที่บาร์เมื่อตอนบ่าย ตอนนี้เขานั่งเครื่องมาลงที่ภูเก็ตแล้วเดินตามคนอายุมากกว่าที่คุยงานกับคนนั้นทีคนนี้ทีมาสักระยะหนึ่งแล้ว
เนื่องจากาาซื้อที่ดินใกล้ทะเลในภูเก็ตได้ จึงเป็ที่มาของการขยายสาขาคิงบาร์ลงมาถึงที่นี่ด้วย ร่างเล็กกวาดสายตามองหน้าร้านที่ดูหรูหราและมีพื้นที่กว้างขวางทั้งยังถูกสร้างไปได้มากพอสมควรแล้ว พื้นที่แห่งนี้เป็สถานที่ท่องเที่ยวและมีคนพลุกพล่านทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สังเกตเห็นว่ามีคนแอบทอดสายตามองมาที่คนข้างกายของตนอยู่บ่อยครั้ง พลันภายในใจแอบรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
าาในวันนี้สวมเสื้อฮาวายสีเข้มปลดกระดุมสองเม็ดกับกางเกงขาสามส่วน รองเท้าแตะ สวมแว่นกันแดดสีดำตัดกับเส้นผมสีเทาสว่าง ในขณะที่ตัวเขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นสีดำ ดวงตาสีสวยเอาแต่ทอดมองผืนน้ำทะเลที่ส่องประกายระยิบระยับและดวงอาทิตย์ที่มัดย้อมผืนฟ้าให้กลายเป็สีโทนอุ่น พลันความอดทนที่จะรอหมดลงทันที แต่ก็ยังไม่วายโดนรั้งเอาไว้
“จะไปไหน”
“จะไปลงทะเล”
“เคยลงแล้วผื่นขึ้นจำไม่ได้หรือไง”
“มันเป็แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว”
แม้จะเคยมีประสบการณ์ลงทะเลแล้วผื่นขึ้นด้วยเหตุผลบางประการ แต่เมื่อมันเคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวอาเจินย่อมไม่นับว่าเป็อาการแพ้ ร่างขาวเอ่ยเถียงอย่างดื้อดึงเมื่ออยากลงทะเลใจจะขาด ทว่ากลับถูกขัดใจอยู่อย่างนั้น คราวนี้าาขมวดคิ้วเข้าหากัน เอ่ยพูดออกมาอย่างเหลืออด
“อยากหาเื่ใส่ตัวนักก็ไป”
คนหนึ่งท้าทาย อีกคนก็ใจกล้าที่จะประชดพอกัน คล้ายกับราดน้ำมันเข้าไปในกองเพลิงให้มันปะทุมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า อาเจินขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันก่อนจะก้าวเท้าวิ่งหาทะเลทันทีอย่างลิงโลด โดยมีาาวิ่งตามมาช้อนตัวอดีตคนรักขึ้นอุ้มพาดบ่าทันที คล้ายกับตั้งท่ารอไว้อยู่ก่อนแล้ว
“อ้ะ!! ปล่อยเจินลง!”
อาเจินเริ่มดิ้นทันทีเมื่อถูกจับอุ้มขึ้นพาดบ่าจนหัวห้อยโตงเตง เห็นเพียงผืนน้ำทะเลกับหาดทรายเบื้องล่างเมื่ออีกฝ่ายเดินเลียบทะเลไปเรื่อย ๆ กำปั้นน้อย ๆ ทุบลงบนแผ่นหลังกว้างแรง ๆ หนึ่งครั้งหมายจะระบายอารมณ์ให้หายแค้น ครั้นเมื่อหันไปเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนที่ทอดสายตามองมาทางนี้ ใบหน้าก็ยิ่งขึ้นสีแดงเรื่อ ออกแรงดิ้นมากขึ้นแต่ก็ยังไร้ผล
“เฮียปล่อย…แฮ่ก ไม่อายคนอื่นเขาหรือไง!”
“กูหน้าด้านไง” คราวนี้อาเจินเริ่มมีใบหน้างอง้ำ ทุบกำปั้นลงกับแผ่นหลังกว้างอีกหนึ่งทีอย่างแรงดังปั่ก ทว่า
เพียะ!!
“อ๊ะ!!”
ร่างขาวสะดุ้งสุดตัวเมื่อบั้นท้ายอวบถูกฝ่ามือใหญ่ฟาดลงมาอย่างแรงจนเกิดเสียงเป็การเอาคืน ความรู้สึกเจ็บแสบที่แก้มก้นส่งผลให้คนที่เคยดื้อดึงเริ่มสิ้นฤทธิ์ลง สุดท้ายแล้วจึงทำได้เพียงขยุ้มมือลงกับเสื้อฮาวายของอีกฝ่ายจนมันเริ่มยับยู่ หัวก็ยังคงห้อยโตงเตงไปมาเมื่อยังถูกอีกฝ่ายจับพาดบ่าเดินเลียบชายทะเลยามเย็นไปอย่างนั้น
19.30 น.
ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ทั้งพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดทว่ายังคงมีแสงสว่างจากดวงไฟที่คอยให้แสงสว่างอยู่ตามระยะทาง อาเจินที่หมดแรงไปั้แ่ตอนเย็นเพียงนั่งกอดเข่าดูดนมสดปั่นจากแก้วพลางทอดสายตามองดูคลื่นที่ถูกซัดกระทบหาดทรายอยู่เป็ระยะ สายลมพัดเพหอบกลิ่นอายทะเลให้ัักับผิวเนื้อและเส้นผม
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ตัวเขากลับเริ่มลอบทอดสายตามองคนข้างกายที่นั่งกระดกกระป๋องเบียร์ดื่มอยู่ข้าง ๆ เส้นผมสีสว่างตกลงปรกใบหน้าเนื่องจากไม่ได้ถูกเซตขึ้นให้เป็ทรงเฉกเช่นทุกวัน มีความคิดและคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในหัวก่อนจะที่มันจะแตกกระเจิงไปหมด เช่นเดียวกับร่างเล็กที่สะดุ้งน้อย ๆ เมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามามองสบกันอย่างกะทันหัน
“อ่อยเอิน!” (ปล่อยเจิน!)
ครั้นเมื่อจะหันหน้าหนีบริเวณข้างแก้มทั้งสองข้างกลับถูกมือบีบเอาไว้จนปากยู่ไปหมด ไม่ให้เป็การหันหนีกันไปไหน เรียวคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันทั้งดวงตากลมที่มองอดีตคนรักของตนอย่างดื้อดึง ทว่าอาเจินที่อยู่ในสภาพโดนบีบแก้มกลม ๆ ทั้งสองข้างจนปากยู่แบบนี้กลับไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด
“จะทำงานที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน?”
คำถามดังกล่าวทำให้อาเจินเริ่มชะงักนิ่งไปอย่างไม่เข้าไปว่าอีกฝ่ายกำลังมีความคิดหรือความรู้สึกเป็อย่างไรก่อนที่จะเอ่ยคำถามแบบนี้ออกมา ทว่าสำหรับในมุมมองของคนที่เคยจบความสัมพันธ์กันมาย่อมมองไปที่แง่ลบก่อนอยู่เสมอ ที่ถามแบบนี้เพราะอยากให้เขาไปไว ๆ หรือไง หรือว่าการที่เขาอยู่ตรงนี้มันจะกลายเป็การขวางหูขวางตาไปเสียแล้ว
คิดได้ดังนั้นก็เอ่ยตอบกลับไปด้วยรูปประโยคที่ดูมั่นอกมั่นใจ ทว่าน้ำเสียงกลับแ่เบาลงอย่างเห็นได้ชัด
“ให้เจินทำงานเป็เด็กนั่งดริงก์สิ พอเก็บเงินได้เยอะแล้วเดี๋ยวเจินก็ไปให้พ้นหน้าเฮียเองนั่นแหละ” คราวนี้าาแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งคำ
“ยั่วแขกยังทำไม่เป็เลย”
“เจินยั่วเป็”
เมื่อได้ยินถ้อยคำปรามาสก็หันไปเถียงสู้ทันที คนอย่างอาเจินสร้างเกราะกำแพงขึ้นมาอย่างแ่าเพื่อป้องกันตัวเอง อะไรที่คนอื่นบอกว่าเขาทำไม่ได้ เขาก็จะพยายามทำให้ได้อย่างดื้อดึง คราวนี้คนอายุมากกว่าเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน ใบหน้าหล่อเหลาหันมองคนข้างกาย ก่อนจะขยับเข้าหาเล็กน้อย ลดทอนระยะห่างระหว่างกัน
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบถามราบเรียบในขณะที่ดวงตาสีรัตติกาลเริ่มมีสีเข้มขึ้น
“ไหน? จะไปยั่วคนอื่นเขายังไง?”
หากไม่ได้คิดไปเอง อาเจินกลับแอบรู้สึกว่าการท้าทายของาาแฝงไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในนั้น ดวงตาสีน้ำตาลสวยช้อนขึ้นมองสบกับคนตรงหน้าแน่นิ่งครู่หนึ่งทั้งริมฝีปากที่ขบเม้มเข้าหากันแน่นอย่างลังเลเมื่อถูกท้าทายให้ทำจริงขึ้นมา ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ ขยับตัวเข้าหาคนที่นั่งรออยู่ ดวงตาหลุบลงมองริมฝีปากบางกระจับตรงหน้า พลันบริเวณข้างแก้มเริ่มเกิดความรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
“…”
เกิดความเงียบสงบโอบล้อมรอบกายชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เรียวนิ้วจะค่อย ๆ แตะลงบนริมฝีปากล่างของาาที่จรดจุมพิตตีตราเรือนร่างของเขามาแล้วหลายครั้งหลายครา ท่าทีที่เคยทำเป็อวดเก่งในตอนแรก ยามนี้กลับเริ่มดูเก้ ๆ กัง ๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงดวงตาคมคู่ตรงหน้าที่ทอดมองกันอยู่แทบจะตลอดเวลา
ครั้นเมื่อช้อนสายตาขึ้นมองสบ…ก็เกิดความรู้สึกคล้ายกับทุกสิ่งอย่างรอบกายถูกหยุดไปโดยพลัน
อาเจินรู้สึกคล้ายตัวเองกำลังตกลงไปสู่ห้วงภวังค์ ภายในหัวไม่ได้ยินเสียงคลื่นทะเลทว่ากลับเป็เสียงลมหายใจของตัวเองที่คละเคล้าไปกับเสียงหัวใจที่เต้นดังกระหน่ำอยู่ในอกยามที่ตัวเขาหลับตาลง ขยับใบหน้าเขาไปหาแล้วจรดจุมพิตลงบนปลายนิ้วมือของตนซึ่งกั้นกลางระหว่างริมฝีปากเอาไว้อย่างอ้อยอิ่ง
“จะ เจินทำได้ เห็นหรือยัง…”
ความรู้สึกคล้ายกำลังทำตัวไม่ถูกเกิดขึ้นหลังจากนั้น แทนที่ความอยากเอาชนะทั้งหมดเมื่อัักับคนที่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตนมาถึงสี่ปี าายังคงทอดมองคนอายุน้อยกว่านิ่ง ไม่เอ่ยพูดสิ่งใดจนอาเจินเริ่มทำตัวไม่ถูก จะผละมือออกมาเพื่อหนีปัญหา ทว่าข้อมือกลับถูกกอบกุมเอาไว้ไม่ให้หนีไปที่ไหน
“ไม่เห็นเลย”
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงเข้าใกล้ กดปลายจมูกเกลี่ยกับปลายนิ้วเรียวแล้วจรดริมฝีปากจูบลงไป กระทั่งอาเจินเริ่มตัวเกร็งขึ้นมายามรับรู้ได้ถึงััความร้อนผะผ่าวที่ยังคงติดอยู่บริเวณปลายนิ้ว ดวงตาคมสีรัตติกาลช้อนขึ้นมองสบกันแน่นิ่งทั้งแววตาที่ฉายแววล้ำลึก ในขณะที่ริมฝีปากค่อย ๆ จรดลงบนปลายนิ้วเรียวทีละนิ้วอย่างละเมียดละไม
อาเจินไม่รู้ตัวเลยว่าถูกอีกฝ่ายรุกเร้าจนต้องขยับตัวถอยหลังหนีั้แ่เมื่อไร ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าถูกดันให้ร่างกายนอนลงจนแผ่นหลังแนบัักับผืนทรายละเอียดั้แ่เมื่อไร
….ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะตกอยู่ในอ้อมกอดของาาอีกครั้งั้แ่เมื่อไร
“พะ พอ…พอแล้ว…”
มือน้อย ๆ ที่เริ่มสั่นเทาถูกยกขึ้นมาดันลาดไหล่กว้างเอาไว้ ก่อนที่ตัวเขาจะไร้ซึ่งหนทางหนีไปมากกว่านี้ เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงเสียจนน่ากลัวว่าใครจะได้ยิน าายอมหยุดการกระทำทุกอย่างตามคำขอ ริมฝีปากบางกดจูบลงบนข้อมือเล็กของร่างในอาณัติอีกหนึ่งครั้งแ่เบา พร้อมกับถ้อยคำเอ่ย
“ไม่ผ่าน”
“…”
“เฮียไม่ให้ผ่าน เพราะงั้นไม่ต้องไปทำตำแหน่งอื่น”
…
อดีต
แม้ว่าวันครบรอบสี่ปีจะผ่านไปอย่างหงอยเหงา ทว่าอาเจินก็ยังทำเป็เพิกเฉยต่อมัน…ร่างเล็กในชุดสุภาพก้มหน้าลงมองช่อดอกไม้ขนาดพอดีในมือ ก่อนจะเงยขึ้นมองโรงแรมหรูระดับห้าดาวตรงหน้าที่ถูกเป็สถานที่จัดงานเฉลิมฉลองครอบครัวอัครเหมสกุลชั่วคราว เห็นบรรดาแขกในชุดที่ถูกตัดเย็บอย่างสวยงามวิจิตรเดินเข้าไปในงานไม่ขาดสาย พลันตัวเขาเริ่มแอบรู้สึกประหม่าขึ้นมา
เนื่องจากธุรกิจส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ของตระกูลอัครเหมสกุลสามารถทำยอดขายได้อย่างก้าวะโในปีนี้ จึงเป็ที่มาของการจัดงานเฉลิมฉลอง ควบไปกับวันครบรอบหลายสิบปีของการก่อตั้งบริษัท…ความสำเร็จในครั้งนี้มีาาเป็ส่วนหนึ่งในนั้น แม้ว่าจะได้เริ่มเรียนรู้งานเพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัวเพียงไม่นาน
วันนี้เป็วันดีของคนรัก เพราะงั้นอาเจินจึงเก็บซ่อนความน้อยใจทุกอย่างเพื่อมาแสดงความยินดี
และพวกเขาตกลงกันว่าจะฉลองวันครบรอบสี่ปีย้อนหลังด้วยกันในวันนี้
“เอาละ…ใจเย็น ๆ ไว้อาเจิน”
เพราะความรู้สึกประหม่าและรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างสังคมทำให้อาเจินเริ่มรู้สึกเป็กังวลจนแทบจะลนลานขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วก็พยายามสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วบอกตัวเองให้ใจเย็น พอเริ่มตั้งสติได้แล้วจึงตัดสินใจก้าวเท้าเดินเข้าไปในงานเพื่อพบกับเหล่าผู้คนในแวดวงธุรกิจมากมายที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้จะรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของตัวเองเท่าไร แต่ก็ยังตั้งใจแน่วแน่ว่าจะมามอบดอกไม้ให้กับคนรักให้ได้
“เฮีย---”
“สวัสดีค่ะ นี่าาลูกชายท่านเหมราชเหรอเนี่ย ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ”
เมื่อเห็นร่างสูงของาาอยู่ในชุดสูทยื่นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้คนมากมายก็ยิ้มร่า แล้วก้าวเท้ารีบเดินเข้าไปหา ก่อนที่น้ำเสียงจะถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่อยังมีคนอื่นเดินเข้าหาอีกฝ่ายอีกมากมายจนตัวเขาเริ่มค่อย ๆ ถูกกั้นออกมาจนยากที่จะเข้าหาในที่สุด แม้ว่าในตอนแรกจะพยายามหาช่องทางเข้าไปหา แต่เมื่อเริ่มเห็นว่าคนที่พูดคุยกับอีกฝ่ายเป็ใครบ้างความมั่นใจที่เคยมีอยู่ก็ค่อย ๆ ลดลงไปทีละน้อย
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้อาเจินนึกถึงเหตุการณ์ในวันปัจฉิมนิเทศอีกครั้ง…าายังคงเป็จุดสนใจของผู้คนมากมาย ในขณะที่ตัวเขาก็ยังเป็คนที่ได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอก ทั้งด้วยความไม่กล้าและนิสัยที่ไม่กล้าโผงผางเข้าไปหาโดยไม่สนใจใคร
ทุกอย่างยังคงเป็เหมือนเดิม แต่ก็ยังคงมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป
เด็กมัธยมที่ยืนรายล้อมอีกฝ่ายในอดีต ในวันนี้กลับเป็กลุ่มคนจากสังคมระดับสูงที่อาเจินเข้าไม่ถึงและไม่มีโอกาสได้ัั เช่นเดียวกันกับระยะห่างที่อีกฝ่ายเคยมองเห็นและเดินเข้ามาหาเองในอดีต ทว่าในวันนี้าาถูกยกขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นเกินกว่าจะมองเห็นว่ายังมีเขายืนรออยู่ตรงนี้
“…” อาเจินหลุบสายตาลงมองช่อดอกไม้ในมือของตัวเองที่ไม่ได้ดูสวยงามมากมายเหมือนคนอื่น ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบาแล้วตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ในใจ
...ว่าตัวเขาจะพยายามปรับตัวกับสิ่งที่กำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรดี?
...
“มึงอย่ามาดูถูกกูให้มันมากนักเจิน”
- าา -
...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้