เมื่อไปถึงหน้าประตูวัง จวินเหยียนก็เลิกม่านและประคองอวิ๋นซีลงมา การกระทำของเขาทำให้บรรดาทหารที่เฝ้าประตูเป็ต้องเหลียวมอง ถึงกระนั้นตลอดมาข่าวลือเื่ที่หนิงอ๋องรักใคร่ชายาต่างก็เป็ที่ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง ปีกว่ามานี้พวกเขาเองก็ได้ยินเื่เกี่ยวกับทั้งสองท่านนี้อยู่บ่อยครั้ง
พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบเฝ้าประตูวัง จึงมีโอกาสได้พบเจอขุนนางใหญ่ของราสำนักและเหล่าเชื้อพระวงศ์มาไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยมีท่านใดที่รักใคร่ทะนุถนอมภรรยาได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งกว่านั้น ท่านผู้นี้ยังกล้าพูดให้ทุกคนรับรู้ด้วยว่า ชาตินี้จะมีภรรยาเพียงคนเดียว ไม่รับอนุ ไม่ยกย่องสาวใช้ข้างห้อง
คนที่มีอำนาจ ใครบ้างจะไม่หวังให้ตนมีสตรีรู้ใจมากมาย? หนิงอ๋องผู้นี้เป็อีกหนึ่งท่านอ๋องที่คลั่งรักภรรยาถัดจากอวี๋อ๋องก็ว่าได้
อวิ๋นซียิ้มมองไปยังสามีตน ก่อนจะหันไปกำชับเยว่หัวที่อยู่ด้านหลังให้ลงรถม้าอย่างระวัง
ยามที่เสี้ยวเหวินตี้เห็นอวิ๋นซีและจวินเหยียน หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันก่อนเป็อันดับแรก จากนั้นจึงพูดออกมาประโยคหนึ่ง “เหตุใดถึงผอมลงเพียงนี้”
อย่างไรก็ตาม เื่ที่ลูกชายและลูกสะใภ้ของตนกระทำในจวนหนิงอ๋อง เขารู้ทั้งหมดแล้ว เ้าสารเลวนี่ ตอนรับราชโองการยังทำตัวตามสบายเพียงนั้น
“เสด็จพ่อ ที่นั่นคือเขตโรคระบาด ลูกและอาซีมิได้ไปเที่ยวเล่นนะพ่ะย่ะค่ะ” จวินเหยียนกล่าวเรียบๆ การเข้าไปในพื้นที่อันตรายแล้วยังสามารถรักษาชีวิตกลับออกมาได้ สำหรับตัวเขาก็ถือว่าโชคดีมากพอแล้ว จะไปหวังให้อาซีมีเนื้อหนังอวบขาวอยู่ในเขตโรคระบาดได้อย่างไร
ทว่า ประโยคเดียวนี้ ทำเอาเสี้ยวเหวินตี้ไปต่อไม่เป็ เขาแค่นเสียงเ็า สาดสายตาใส่ลูกชายของตนไปทีหนึ่ง “เจิ้นก็แค่เป็ห่วงชายาของเ้า เ้าเด็กสารเลวนี่ ใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับบิดาของตนได้อย่างไร”
จวินเหยียนมองไปยังเสี้ยวเหวินตี้ “ลูกเป็โอรสของเสด็จพ่อ หากลูกเป็เ้าสารเลว เช่นนั้นเสด็จพ่อเป็อะไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นซีได้ยินบทสนทนาของสองพ่อลูกก็อดไม่ได้ให้เหงื่อตก สามี บุคคลตรงหน้าเป็ถึงฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือทุกคน ทั้งยังมีอำนาจชี้เป็ชี้ตายต่อทุกผู้คนในหนานเย่าเชียวนะ ท่านพูดเช่นนี้จะดีจริงหรือ? ตอนนี้ท่านไม่ได้เป็เหมือนเมื่อก่อนที่เท้าเปล่าไม่กลัวสวมรองเท้า [1] อีกแล้ว ท่านมีทั้งลูก ภรรยา มีบ้านให้ต้องรักษา หากไปหาเื่ให้เสด็จพ่อท่านไม่พอใจ แล้วเขาสั่งฆ่าล้างตระกูลคนอื่นอีกรอบจะทำเช่นไร?
จวินเหยียนคล้ายรับรู้ได้ถึงความคิดของอวิ๋นซี เขามองนาง มุมปากโค้งขึ้น
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้เห็นเช่นนั้น ก็แค่นเสียงเ็า “เ้าคนไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ยังจะมาบอกว่าตนไม่ใช่เ้าสารเลวอีก”
“เหนือลูกยังมีเสด็จพ่อ ต่ำลงมายังมีลูกสาวลูกชาย” จวินเหยียนพูดขึ้น
เสี้ยวเหวินตี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขณะมองไปยังจวินเหยียน หลิ่วเก๋อเหล่าเป็อาจารย์ของเด็กคนนี้ คาดว่าในอดีตเพียงเพื่อชื่อเสียงเื่ความกตัญญู คนคงจะกดนิสัยที่แท้จริงไว้ ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นมักจะแสดงกิริยาสง่างามอย่างคนมีการศึกษา ทว่าตอนนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นิสัยที่แท้จริงของบุตรชายตน ฮ่องเต้เล่นแหวนหยกในมือพลางนึกถึงข่าวที่องครักษ์ลับสืบมาได้
เ้าลูกคนนี้ ยามอยู่หานโจวมีชื่อเสียงเลื่องลือเื่ความปากร้าย ปากน้อยๆ ของเขาสามารถพูดจนขุนนางท้องที่เป็ต้องร้องห่มร้องไห้ได้ ได้ยินมาว่า แม้แต่บุตรชายคนนั้นของตระกูลลู่ก็ยังมิใช่คู่มือของเขา ในใจของเสี้ยวเหวินตี้ถูกลูกชายทำให้กริ้วแล้ว แต่เมื่อคิดกลับมาอีกที ก็นึกถึงฉากหน้าสง่างามอ่อนโยนของลูกชายคนโต ก่อนจะมองลูกชายคนรองที่กลับมาจากหานโจวก็ฟื้นคืนนิสัยดั้งเดิม เพียงเท่านี้เสี้ยวเหวินตี้ก็หลุดยิ้มออกมาทันที
ทุกคนต่างก็คิดว่า การได้กลายเป็ฮ่องเต้อยู่อย่างสูงส่งนับเป็เื่ที่น่าภูมิใจ และคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่า การเป็ฮ่องเต้นั้นไม่ง่ายเลย วันเวลาที่ผ่านไปช่างโดดเดี่ยวเดียวดายเหลือทน อีกทั้ง วันๆ ยังต้องเผชิญหน้ากับบรรดาขุนนางที่รับมือได้ยากยิ่งกว่าอิสตรี หากไม่ใช่คนที่ร้ายกาจสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจถูกบรรดาขุนนางผู้หลักแหลมจูงจมูกเข้าก็เป็ได้
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสติปัญญาและฝีปากของลูกคนรองกับภรรยาที่เขาได้พบเห็น ก็ทำให้เชื่อมั่นว่า วันหน้าหากคนได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นจริงๆ คนอื่นๆ คงกินไม่หมด แอบห่อพากลับ [2] เป็แน่ ชั่วขณะนั้นภาพฉากที่บรรดาขุนนางถูกฮ่องเต้ทำให้โกรธจนกระอักเืก็แวบผ่าน อืม อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ช่างไม่เลวจริงๆ
อวิ๋นซีและจวินเหยียนไม่รู้ว่า พระบิดาผู้นี้ของตนกำลังคิดสิ่งใด ประเดี๋ยวยิ้ม ประเดี๋ยวขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก็ทำท่าขบคิดลึกซึ้ง
จวินเหยียนขัดจังหวะการครุ่นคิดของบิดา พูดว่า “ลูกและอาซีพาเยว่หัวมาขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
เสี้ยวเหวินตี้ถูกเสียงของจวินเหยียนดึงกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง เขามองไปยังเยว่หัวที่ยืนอยู่เื้ัอวิ๋นซีไปก้าวหนึ่ง ขณะนั้นเยว่หัวสบเข้ากับดวงตาหลักแหลมทรงปัญญาของเสี้ยวเหวินตี้พอดี นางไม่รอช้ารีบขึ้นหน้ามายืนอยู่ข้างกายอวิ๋นซี โขกศีรษะ “หม่อมฉันผู้ต่ำต้อยเยว่หัวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณเพคะ ฝ่าาทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
เสี้ยวเหวินตี้พยักหน้า “เป็เด็กดีที่มีความรู้ รู้จักมารยาท ลุกขึ้นเถอะ วันหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจิ้นไม่ต้องเรียกตนเองว่าผู้ต่ำต้อยอีกแล้ว เ้าเป็เสี้ยนจู่ที่เจิ้นแต่งตั้งนะ”
เยว่หัวได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นยืน พยักหน้ารับ “เพคะ เยว่หัวจะจดจำไว้”
“เจิ้นได้ยินมาว่า เ้าเป็ลูกศิษย์ของอวิ๋นซี? ”
“เพคะ”
หลังจากนั้นเสี้ยวเหวินตี้ก็ถามเยว่หัวไปหลายคำถาม ซึ่งบางคำถามยังเกี่ยวข้องกับวิชาแพทย์ อย่างไรก็ตาม เยว่หัวตอบทุกคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ ความไม่ถ่อมตัวและไม่หยิ่งผยองของนางทำให้เสี้ยวเหวินตี้พอใจยิ่งนัก ก่อนจะจากกัน เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวประโยคหนึ่ง “รูปลักษณ์ไม่เลว นิสัยเ็าเกินไปหน่อย ทว่าอย่างไร รวมๆ แล้วก็นับว่านางคล้ายอาซีอยู่มากทีเดียว”
มุมปากอวิ๋นซีกระตุกขึ้นลง ลูกศิษย์ของนางที่อยู่ข้างกายนางทั้งวัน จะไม่ให้เหมือนนางได้หรือ?
หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว จวินเหยียนและอวิ๋นซีก็พาเยว่หัวไปถวายบังคมไทเฮาต่อ เมื่อไทเฮาเห็นอวิ๋นซีก็อดไม่ได้ที่จะจับจูงมือนาง ให้คนทั้งสามอยู่ร่วมสนทนากันก่อน อีกทั้ง หญิงชรายังได้สั่งให้ห้องเครื่องตุ๋นน้ำแกงบำรุงมาให้พวกอวิ๋นซี ก่อนจะกำชับว่า หากดื่มไม่หมด จะไม่ให้นางกลับ
อวิ๋นซีทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ต้องดื่มน้ำแกงบำรุงลงไป
เมื่อออกมาจากตำหนักไทเฮา สองสามีภรรยาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งด้วยตั้งใจจะพาเยว่หัวไปยังตำหนักของฮองเฮา เพียงแต่ถงไห่ที่พาคนมากลับแจ้งว่า ฝ่าาตรัสว่า ่หลายวันนี้ฮองเฮาต้องสงบใจใฝ่พระพุทธย่อมไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา ให้พวกเขารีบออกจากวังไป โดยมีถงไห่เป็คนนำทางด้วยตนเอง
อวิ๋นซีนำเยว่หัวขึ้นรถม้าด้วยใจที่มีแต่ความสงสัยเต็มเปี่ยม จากนั้นก็ออกเดินทางกลับจวนไป
เมื่อถงไห่ส่งพวกอวิ๋นซีเสร็จแล้ว ก็กลับไปยังห้องทรงพระอักษร ตอนนั้นเขาเห็นฮ่องเต้กำลังยืนเอามือไพล่หลัง จดจ้องต้นอู๋ถงที่อยู่นอกหน้าต่าง ขณะนั้นเสี้ยวเหวินตี้รับรู้ได้ถึงเสียงฝีเท้า จึงเปิดปากพูดขึ้นอย่างช้าๆ “ถงไห่ ต้นอู๋ถงต้นนี้คงจะมีอายุใกล้สามสิบแล้วกระมัง? ”
ถงไห่รีบก้าวไปด้านหน้าหลายก้าว หยุดยืนอยู่เื้ัเสี้ยวเหวินตี้ จากนั้นจึงตอบคำ “ทูลฝ่าา ต้นอู๋ถงครบยี่สิบเจ็ดปีในปีนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เสี้ยวเหวินตี้พยักหน้า “นางเคยบอกว่า หวังว่าที่ที่ตนอาศัยอยู่จะมีต้นอู๋ถงปลูกเต็มไปหมด”
เมื่อถงไห่ได้ยินเช่นนั้น ก็ทำได้แค่ก้มหัวลงต่ำ ไม่ได้พูดตอบอะไรออกไปแม้แต่ครึ่งคำ เขารู้ดีว่า สิ่งที่ฝ่าาตรัสเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร และเพราะรู้ จึงได้เลือกปิดปากเงียบ อย่างไรเสีย เื่บางเื่ก็ไม่ควรเปิดปากวิจารณ์ เมื่อฝ่าาเอ่ยถาม เวลาตอบก็ควรต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
“รู้อยู่แล้วว่าเ้าคงจะทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้เช่นเดิม ว่ามาเถอะ เื่ที่เจิ้นให้ไปสืบ ได้ความว่าอย่างไร”
ถงไห่นึกถึงข่าวที่ตนได้รับมาเมื่อสองวันก่อน สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เขาพูดเสียงเบา “สืบได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เื่เป็ดังที่ฝ่าาทรงคิดไว้จริงๆ ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น ทว่า เื่นั้นก็ผ่านไปเกือบสามสิบปีแล้ว คนของเราจึงสืบได้เพียงเื่ที่น่าสงสัยบางประการเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่กล้าปักใจพ่ะย่ะค่ะ”
“นางระมัดระวังตัวเพียงนั้น พวกเ้ายังสามารถสืบได้ถึงเื่ที่น่าสงสัยก็นับว่าไม่ง่ายดายแล้ว” เสี้ยวเหวินตี้แค่นเสียงเ็า หมุนกายเดินกลับไปยังบัลลังก์ั “สตรีนางนี้เก่งเื่เสแสร้งเป็ที่สุด มิเช่นนั้น ตอนนั้นเจิ้นจะมองไม่ชัดเจนถึงขนาดทำเื่ผิดมหันต์เช่นนั้นได้อย่างไร”
ถงไห่ได้ยินคำตัดพ้อ ก็ได้แต่ยิ่งก้มหัวลงไป ไม่กล้าเอ่ยคำ
เสี้ยวเหวินตี้เห็นเช่นนั้นก็ถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย จากนั้นก็เหวี่ยงแก้วที่อยู่ใกล้มือลงไปบนพื้น เมื่อสิ้นเสียงเพล้งก็ตามมาด้วยเสียงกริ้วของเสี้ยวเหวินตี้ “ไสหัวออกไป! ”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เท้าเปล่าไม่กลัวสวมรองเท้า(光脚不怕穿鞋)เปรียบเทียบถึงคนที่ไม่มีอะไรเลย จึงไม่ต้องหวั่นเกรงอะไรทั้งนั้น
[2] กินไม่หมด แอบห่อพากลับ(吃不了, 兜着走)รับประทานอาหารไม่หมด ก็ฉวยโอกาสห่อเก็บไว้ในเสื้อคลุมพาออกไป เปรียบเทียบว่า หากก่อเื่ไม่ดีหรือทำให้เกิดเื่ไม่ดี ก็จำต้องแบกรับผลที่ตามมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้