“ฮ่า ๆ เ้ายินดีจะใช้เวลาสิบวันเพื่อสอนข้ากระนั้นหรือ” เหอตังกุยยิ้มตาหยี จู่ ๆ ใบหน้าเ็าและหล่อเหลาของเมิ่งเซวียนก็ดูน่ารักขึ้นทันที นางกล่าว “อาจารย์น้อย ขณะเดินลมปราณเจินชี่ในเส้นลมปราณสำคัญ เ้าช่วยส่งเสียงเตือนข้าสักรอบเพื่อให้ข้าจดจำเส้นทางการเดินลมปราณจะได้หรือไม่?”
เมิ่งเซวียนพยักหน้างุนงงพลางกล่าว “ได้สิ ตอนนี้มันอยู่ในจุดฝังเข็มชี่ไห่ของข้า อีกไม่นานจะเข้าสู่จุดตันเถียน...เ้า้าให้ข้ารับผิดชอบเ้าหรือไม่? เอ่อ ข้ายังไม่มีคู่หมั้น ข้าคิดว่าข้าก็เป็คนดีคนหนึ่ง อารมณ์ดี เข้าถึงง่าย อะไรที่ไม่ดีข้าล้วนไม่ชอบ นิสัยของพวกเราเหมือนกัน อายุก็ใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังใกล้ชิดสนิทสนมกันเช่นนี้ หากเ้ายอม... ”
“เอ๊ะ? มีบางอย่างผิดปกติ” ทันใดนั้นเหอตังกุยก็ลืมตาพลันะโ “ตอนเ้าสอนวิธีการเดินลมปราณเจินชี่ให้ข้า เ้าก็เอาลมปราณเจินชี่ทั้งหมดในร่างกายข้าออกไป แล้วข้าจะเรียนเพื่ออะไร” เช่นนี้ก็เหมือนกับการสอนนางทำอาหารแล้วเอาอุปกรณ์การทำอาหารเป็ค่าเล่าเรียน เมื่อเรียนรู้ทักษะทั้งหมดแล้วก็จะไม่มีอะไรให้ฝึกฝน นับประสาอะไรกับคนี้เีเช่นนาง แม้แก่ชราก็คงไม่มีวันได้เป็ยอดฝีมือ
เมิ่งเซวียนใกับคำว่า “มันไม่มีประโยชน์” เขาจึงหยุดพูดเื่ขอนางแต่งงานก่อนอธิบาย “เมื่อเ้าเรียนรู้วิธีการเดินลมปราณเจินชี่และฝึกฝนกำลังภายนอกเช่นชกมวยอย่างหนักเป็เวลาครึ่งปี ข้าจะสอนวิชาฝ่ามือและดาบซึ่งเป็วิธีการที่เหมาะสำหรับสตรีให้เ้า เมื่อเ้ามีพื้นฐานเหล่านี้ ภายในหนึ่งเดือนข้าจะคืนลมปราณเจินชี่ให้เ้าอย่างนุ่มนวล ขณะเดียวกันลมปราณเจินชี่เ่าั้ก็จะถูกหลอมให้แข็งแกร่ง เ้าก็จะดูดซับมันได้ง่ายขึ้น ข้าจะถ่ายทอดลมปราณเจินชี่ไปยังตันเถียนของเ้าโดยตรง ต่อไปอาการลมปราณพลุ่งพล่านก็จะไม่เกิดขึ้นอีก ดีหรือไม่?”
สิ่งที่เมิ่งเซวียนพูดนั้นทำให้เหอตังกุยมีความสุขและวางความโกรธทั้งหมดลง แต่นางก็มีความคิดในทางกลับกันพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดเ้าถึงดีกับข้าเพียงนี้? เ้าจะหลอมลมปราณเจินชี่ทั้งหมดแล้วส่งคืนให้ข้าโดยไม่เก็บไว้เลยกระนั้นหรือ? แม้ตอนนี้เ้าจะยังอยู่ที่เมืองหยางโจวได้อีกหลายวัน แต่หากผ่านไปครึ่งปีแล้วเ้าตายในสนามรบจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเซวียนเอ่ยปลอบโยน “วางใจเถอะ ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก หากไม่มีการเรียกรวมพลด่วน ปีหน้าข้าก็ยังเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่ พรุ่งนี้ข้าจะบอกเหล่าไท่ไท่เกี่ยวกับเื่นี้ หากนาง้าให้ข้าอยู่ที่จวนตระกูลหลัว ข้าจะปฏิเสธพอเป็พิธีก่อนตอบตกลง หากนางไม่้าให้ข้าอยู่ต่อ ข้าก็จะซื้อเรือนนอกจวนตระกูลหลัวแล้วค่อยปีนข้ามกำแพงมาสอนวรยุทธ์ให้เ้ายามกลางคืนดีหรือไม่?”
“เพราะเหตุใด? เหตุใดจึงช่วยข้าเช่นนี้” เหอตังกุยไม่เชื่อว่าเมิ่งเซวียนจะช่วยนางโดยไม่หวังผลประโยชน์จึงพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่มีเงินให้หรอก”
“วางใจเถอะ ข้าไม่เรียกเก็บเงินจากเ้าหรอก” เมิ่งเซวียนกล่าวตรงไปตรงมา “พูดตามตรง การที่ข้าทำเช่นนี้ก็มีประโยชน์กับข้าไม่น้อย ใน่ครึ่งปีนี้ลมปราณเจินชี่ของเ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในร่างกายของข้า หนึ่งชีวิตให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม สามให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง ข้าสามารถพัฒนาลมปราณเจินชี่ของเ้าได้ดีขึ้นมาก พวกเราทั้งสองล้วนได้รับประโยชน์จากกันและกันทั้งสิ้น” แน่นอนว่ามีอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่พูด ด้วยลมปราณเจินชี่ของเหอตังกุย ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าจะฆ่าเกิ่งปิ่งซิ่วได้สำเร็จ ในอีกสิบปีความชั่วร้ายนั้นจะคร่าชีวิตเ้าหน้าที่และประชาชนบริสุทธิ์หลายพันคน เขาจึงต้องฆ่าเกิ่งปิ่งซิ่วก่อนเกิ่งปิ่งซิ่วจะแข็งแกร่งกว่านี้ ดังคำกล่าวในศาสนาพุทธ “ฆ่าหนึ่งเพื่อช่วยหนึ่งร้อยชีวิต”
เมื่อได้ยินคำอธิบายที่สมเหตุสมผล เหอตังกุยก็ไม่สงสัยสิ่งใดอีก ถึงอย่างไรเขาก็แข็งแกร่งกว่าตนมาก หากเขาเก็บลมปราณเจินชี่ของนางไว้จริง ๆ เหตุใดต้องอธิบายมากมายเพียงนั้น นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “ข้าชอบวรยุทธ์ที่กว้างขวางและลึกซึ้งของหัวเซี่ยเสมอ อีกทั้งข้าก็เคารพยอดฝีมือเช่นคุณชายเซวียนมากขึ้น ข้าพยายามหาอาจารย์สอนวรยุทธ์มาตลอดแต่กลับไม่มีคนที่เหมาะสม ในเมื่อตอนนี้เ้ายอมสอนข้า ทั้งยังกังวลว่าข้าจะเสื่อมเสียเกียรติ กลัวจะมีผู้คนตำหนิ เช่นนั้นก็ให้ข้าไหว้เ้าเป็อาจารย์เถอะ”
เมิ่งเซวียนตะลึงงันครู่หนึ่ง “ไหว้ข้าเป็อาจารย์หรือ?” เขาจะรับเด็กสาวแสนซนและน่ารักผู้นี้เป็ศิษย์จริงหรือ? แม้จะคุ้นเคยกับนางอย่างบอกไม่ถูกแต่เขากลับปฏิเสธข้อเสนอนี้ “ไม่ได้ ข้าจะเป็อาจารย์ของเ้าไม่ได้ เ้าไตร่ตรองข้อเสนอของข้าให้ดีก่อน จริง ๆ ข้าก็ไม่ใช่คนเลวอะไร”
“อาจารย์น้อย เ้ายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความรักระหว่างชายหญิง เ้าจะรู้ว่าชายหญิงแบบใดที่จะกลายเป็คู่สามีภรรยาเมื่อเ้าโตขึ้น” เพราะเหอตังกุยคิดกับเมิ่งเซวียนแตกต่างออกไปจึงพูดอย่างอดทน “หากเ้าปฏิเสธที่จะรับข้าเป็ศิษย์ ข้าก็ต้องเรียกเ้าว่าอาจารย์น้อยในใจ ท่านอาจารย์ตอนนี้ก็เที่ยงคืนแล้ว เวลามีค่าดั่งทอง เ้าอธิบายให้ข้าฟังหน่อยว่ากำลังภายในของเ้าได้มาจากสำนักใด สำนักของพวกเรานี้เป็สายอธรรมหรือสายธรรมะ?”
เมื่อเขาเห็นว่าเหอตังกุยปฏิเสธข้อเสนอจึงตระหนักได้ว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับความรู้สึกระหว่างชายหญิงจริง ๆ พลางยอมแพ้ก่อนเอ่ย “ข้าไม่ใช่คนในยุทธภพ สิ่งที่ข้าเรียนรู้คือวรยุทธ์ที่ตกทอดจากตระกูลเมิ่ง อีกทั้งข้ายังงานยุ่งมากจึงไม่มีค่อยมีเวลาสอนเ้า หากเ้าอยากหาอาจารย์ก็ไปหาคนอื่นเถอะ จริงสิ เ้าเป็นักพรตหญิงใช่หรือไม่? ข้าได้ยินว่าสำนักหลงฮูมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยมมาก ไม่มีใครสอนเ้าได้อย่างไร” สาวน้อยถูกเขาเปิดโปงเสียแล้ว
ทว่าเหอตังกุยนั้นหน้าหนายิ่งนัก ถูกเปิดโปงเล็กน้อยเพียงนี้จะหน้าแดงได้อย่างไร นางจึงพูดต่อ “การไม่อายที่จะถามเป็คุณธรรมแต่โบราณ แม้ข้าจะมีความรู้มากกว่าเ้า ประสบการณ์ในยุทธภพของข้าก็มากกว่าเ้า แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกของข้าที่นับถือเ้าเป็อาจารย์ได้ แม้สอนเพียงคำเดียวหรือกระบวนท่าเดียวก็ยังถือว่าเป็อาจารย์” ครั้งล่าสุดหลังเกาเจวี๋ยช่วยจัดการลมปราณเจินชี่ให้นาง นางก็เคยไหว้เขาในฐานะอาจารย์หนึ่งครั้ง ไม่ต้องพูดถึงเมิ่งเซวียนที่สอนการเดินลมปราณให้นางถึงเพียงนี้ “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดถึงการไหว้ไม่ไหว้เป็อาจารย์แล้ว ข้ามองว่าเ้าเป็ชายสูงศักดิ์และซื่อสัตย์กับข้า ข้าถือว่าเ้าเป็อาจารย์ของข้า...เอ๊ะ มันมาถึงจุดฝังเข็มจงฝูของข้าแล้วใช่หรือไม่? จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกร้อนตรงนั้น”
“ไม่ใช่ ตอนนี้อยู่ในเส้นลมปราณเสาอินของเ้า” เมิ่งเซวียนบิดผมให้นางดู “เมื่อครู่ข้าช่วยเก็บเส้นผมบนเสื้อผ้าให้เ้า จะว่าไป...เหตุใดตัวเ้าเหมือนน้ำแข็งเช่นนี้เล่า? จะปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิดหรอก ข้าอยู่บนเตียงแต่ตัวข้ากลับอบอุ่นเลย ส่วนเ้าก็ยังเย็นชืดเช่นเคย เ้าหนาวมากหรือ?” ขณะเอ่ยก็คลุมผ้านวมให้นาง
“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ร่างกายข้าเย็นเช่นนี้ั้แ่เกิด คืนนี้ข้ารู้สึกหนาวั้แ่หัวจรดเท้า” เหอตังกุยเอนหัวพิงแผงอกเด็กหนุ่มพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ขอบใจสำหรับคืนนี้นะเ้าคะ”
“ไม่ต้องขอบใจหรอก ข้าเต็มใจช่วยเ้า ประการแรกคือข้าสนใจเ้า ประการที่สอง...” ลมหายใจร้อนของเด็กหนุ่มรดบนหน้าผากของนาง ดวงตาสดใสจ้องมองผมของหญิงสาวท่ามกลางความมืด ก่อนกล่าว “ข้ามักรู้สึกว่าเ้ามีบางอย่างเหมือนกับข้า”
เหอตังกุยก็รู้สึกเช่นกัน…
เหอตังกุยปิดตาพลันััได้ว่าร่างกายเบาสบายยิ่งนัก นางทั้งประหลาดใจและซาบซึ้งที่์ส่งคนที่เหมือนนางมาให้ในคืนนี้ เขาดึงนางออกจากความเหงาอันหนาวเหน็บ เป็เด็กโดดเด่นที่ให้ความรู้สึกสนิทสนม เป็เหมือนคนแปลกหน้าที่คุยกันเหมือนเพื่อนสนิท เป็เหมือนเพื่อนร่วมทางขณะเดินผ่านเส้นทางที่ยากที่สุด ขณะนี้เหอตังกุยเชื่อว่ามีทวยเทพบนโลกจริง ๆ ท่านจึงนำพาเด็กหนุ่มที่แตกต่างจากคนอื่นมาอยู่เคียงข้างนาง
เหอตังกุยหาวพลางซุกใบหน้าบนแผงอกที่มีกลิ่นหอมของชาจาง ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา การเดินทางที่พวกเขาเดินไปด้วยกันเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน
ทั้งสองนอนหลับใหลตลอดคืน แม้แต่ฝันก็ยังไม่ฝัน
“ตึง ๆ ๆ ” เสียงของไฮว่ฮวาดังขึ้นหน้าประตู “คุณหนู ตื่นหรือยัง? พวกข้าทานอาหารเช้ากันหมดแล้ว หากนานกว่านี้โจ๊กของเ้าจะเย็นชืดเสียหมด เมื่อครู่คุณชายเผิงมาหาครู่หนึ่งแต่กลับไปแล้ว” เป็จริงดังพูด คุณชายรองเผิงมาที่หน้าประตูใหญ่ได้เพียงครู่เดียวก็ถูกคุณชายใหญ่เผิงตีจนสลบก่อนลากตัวออกไป น่าแปลกนัก เรือนเถาเหยาของพวกนางอันตรายเพียงนั้นเชียวหรือ? แม้แต่ประตูใหญ่หน้าเรือนก็ยังไม่ให้เข้า
เมื่อเหอตังกุยได้ยินเสียงก็รีบตื่นทันที เมื่อลืมตาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาอยู่อีกด้านหนึ่งของหมอน ขณะนี้เหอตังกุยเต็มไปด้วยความง่วงงุนและสับสนพลันรีบเอ่ยตอบ “ข้าตื่นแล้ว เ้าไปทำงานของเ้าก่อน”
“งานอื่น? งานใหญ่ที่สุดของข้าคือการรับใช้สวมชุดหวีผมให้เ้า...” จากนั้นนางก็ผลักประตูสองที ทว่ากลับเปิดไม่ได้ ไฮว่ฮวาแปลกใจมากพลันเอ่ย “เ้าลงกลอนประตูหรือ? เ้าไม่เคยลงกลอนประตูนี่ เปิดประตูให้ข้าเร็วเข้า ข้าจะเข้าไปรับใช้เ้า” ประตูยังคงสั่นอยู่เช่นนั้น...ราวไฮว่ฮวาอยากพิสูจน์ว่ากลอนประตูของเรือนนี้แข็งแรงพอหรือไม่
เหอตังกุยโบกมือผ่านประตูพลางเอ่ย “ยังไม่จำเป็ต้องให้เ้ามารับใช้ข้า เ้า…เ้าไปเลือกดอกไม้ในสวนดอกท้อให้ข้าที…คืนนี้ข้าอยากอาบน้ำดอกไม้” เหอตังกุยใเพราะรู้สึกเหมือนถูกจับจึงคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างของเมิ่งเซวียน ก่อนปล่อยมุ้งลงเพื่อบดบังชายหนุ่มบนเตียง
“ก็ได้” เสียงของไฮว่ฮวาดังขึ้น “เช่นนั้นคุณหนูอย่าตื่นสายนะเ้าคะ”
เหอตังกุยถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทันใดนั้นประตูก็สั่นอย่างรุนแรงอีกครั้ง ฝุ่นละอองลอยคละคลุ้งบนประตูท่ามกลางแสงตะวันยามเช้า เหอตังกุยสบายใจได้ไม่ทันไรก็ต้องใอีกครา เสียงของฉานอีดังจากนอกประตู “น้ำล้างหน้ามาแล้ว คุณหนู เหตุใดถึงลงกลอนประตูเล่า?”
เมิ่งเซวียนที่เพิ่งตื่นนอนพลันหัวเราะเสียงเบา เหอตังกุยจ้องเขาเขม็งด้วยความโกรธ ก่อนพูดกับฉานอี “วางน้ำไว้หน้าประตู ตอนนี้ข้าอยากกินบะหมี่ไข่ ไปเอามาให้ข้าที” ฉานอีตอบรับพลางพูดกับไฮว่ฮวา “นับวันคุณหนูยิ่งี้เีขึ้นทุกที” ก่อนพวกนางจะเดินจากไป
หลังพวกนางเดินไปไกลแล้ว เหอตังกุยก็ะโลงจากเตียงพลางสวมชุดที่วางบนพื้น ก่อนเอ่ยอย่างรวดเร็ว “เ้ารีบออกไปทางหน้าต่างเร็วเข้า อย่าให้ใครเห็น วันนี้หลังเที่ยงคืนค่อยมาอีก เคาะหน้าต่างสามครั้ง ข้าจะเปิดหน้าต่างให้เ้าเข้ามา หากเห็นคนในจวนตระกูลหลัวระหว่างทางเดินแถวเรือนเถาเหยาก็บอกพวกเขาว่าเ้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเผิงเจี้ยนและเผิงสือ เพราะเรือนสีชั่งที่พวกเขาอาศัยอยู่ถัดจากเรือนของข้าเล็กน้อย วันนี้ขณะพูดถึงการไปเรียนที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่กับเหล่าไท่ไท่ หากนางขอให้เ้าอยู่ต่อก็ตอบตกลงทันที ไม่เช่นนั้นนางอาจเข้าใจผิดว่าเ้าไม่เต็มใจและจะไม่เชิญเ้าอีกครั้งในฐานะแขก องครักษ์ของจวนตระกูลหลัวมีอยู่ทั่วจวน บางคนก็เป็ยอดฝีมือ ไม่ใช่เื่ง่ายที่เ้าจะปีนข้ามกำแพงมาพบข้าทุกคืน…”
เมื่อเหอตังกุยไม่ได้ยินคำตอบจึงหันกลับมาก่อนเห็นเมิ่งเซวียนหลับไปอีกครั้ง พลันพูดด้วยความร้อนใจ “ไม่ต้องนอนต่อแล้ว ตื่นเร็วเข้า ฉานอีใช้เวลาทำอาหารไม่นาน นางจะมาที่นี่ในไม่ช้า เกรงว่าตอนนี้คงใกล้เที่ยงแล้ว หากพ่อของเ้ามาตามหาเ้าจะทำอย่างไร? อยากจะนอนต่อก็ไปนอนในห้องของเ้า”
“ขาข้าชามาก เดินไม่ไหวหรอก” ขณะนี้เมิ่งเซวียนได้อำนาจเตียงนอนหลังนี้แต่เพียงผู้เดียวพลันนำผ้าห่มห่อตัว “พ่อของข้ากลับศาลาพักม้า[1]ของเมืองหยางโจวั้แ่เมื่อคืนแล้ว ข้าโกหกเขาว่าเผิงเจี้ยน เผิงสือและข้ากลายเป็เพื่อนกัน พวกเขาขอให้ข้าอยู่ที่จวนตระกูลหลัวต่ออีกสองสามวัน พ่อของข้าจะมารับข้าในวันมะรืน”
“ถึงอย่างนั้นเ้าก็นอนที่นี่ไม่ได้” เหอตังกุยแต่งตัวอย่างรีบร้อน หยิบเสื้อคลุมไหมสีขาวของเมิ่งเซวียนวางบนโต๊ะ รีบวิ่งไปดึงผ้าห่มออกพลางกล่าว “ในฐานะแขกที่มีชื่อเสียง วันนี้จะมีแขกมาเยี่ยมเยียนตลอดทั้งวัน พวกเขาจะกังวลหากไม่พบเ้าในห้องพัก นั่นอาจก่อให้เกิดการค้นหาครั้งใหญ่” เนื่องจากนางไม่สามารถลากตัวเมิ่งเซวียนออกจากผ้าห่มได้จึงต้องนำหมอนออกเพื่อให้เขานอนไม่สบาย นางกล่าวต่อ “รีบตื่นเร็วเข้า รีบไปใส่ชุดเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า โตเพียงนี้แล้วยังนอนตื่นสายอีกหรือ? ยาชาที่ข้าใช้กับเ้าไม่นับว่าเป็ปัญหา แม่ทัพผู้กล้าหาญสามารถกลืนฟันที่หักและอาบด้วยเืได้ ข้าแน่ใจว่านั่นคือสิ่งที่พ่อของเ้าสอน เมื่อคืนเ้าเข้ามาอย่างไร ตอนนี้ก็ออกไปเช่นนั้น...หรือว่าเมื่อคืนเ้าเหาะมา?”
“อืม ๆ ” เมิ่งเซวียนลุกขึ้นเอ่ยพลางหาว “ข้าใช้สองมือคลานมา สาวน้อย ชาน้ำค้างที่เ้าใช้กับข้ามันคืออะไร? ร้ายกาจเสียจนข้าไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาได้”
“คลาน?” เหอตังกุยคิดว่ามันคงน่าอึดอัดหากเขาคลานกลับไปห้องพักในเรือนทางทิศใต้ ทุกคนในจวนต้องเข้ามามุงดูเป็แน่ ขณะเดียวกันก็ประหลาดใจพลางเอ่ย “ยาชามีผลกับยอดฝีมือเท่านั้น ยิ่งยอดฝีมือมีพลังแข็งแกร่งมากเท่าใดก็จะได้รับผลกระทบมากเท่านั้น ข้าแปลกใจที่อาจารย์น้อยเช่นเ้ามีพลังมากจนวิชาตัวเบาได้รับผลกระทบไปด้วย”
“กำลังพูดถึงชาน้ำค้างไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงเปลี่ยนเื่?” เมิ่งเซวียนยืดหัวออกจากผ้าห่ม
เหอตังกุยอธิบายรายละเอียด “เ้าได้รับผลกระทบจากยาชาและชาน้ำค้าง ตอนนั้นข้าใส่ก้านชาลงในกระถางพร้อมจุดไฟ จากนั้นก็ใส่ยาชาเพราะมันมีกลิ่นคล้ายชาหลังถูกเผาไหม้ หากข้าเลือกเผาไม้จันทน์แล้วเพิ่มสมุนไพรยาชาเข้าไปก็จะทำให้มีกลิ่นคาวเหมือนปลา กรณีนี้ผู้คนจะปิดจมูกรวมทั้งมือสังหารด้วย ดังนั้นนอกจากข้าที่ปิดผนึกจุดฝังเข็มล่วงหน้าแล้ว ทุกคนในห้องโถงจะได้รับยาชาทั้งหมด ในบรรดาคนเหล่านี้ ใครก็ตามที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งจะรู้สึกชาครึ่งซีกหรือไม่ก็ทั่วร่างกายขณะคนผู้นั้นเดินลมปราณเจินชี่ เมื่อครบสามวัน ฤทธิ์ยาก็จะค่อย ๆ หายไป แต่ยาชาไม่ใช่สมุนไพรชนิดเดียว มันเป็ยาแก้เมาที่ทำจากสมุนไพรหลายชนิดผสมหญ้าอันซีที่มีฤทธิ์ชา ข้าจึงเรียกมันว่า ‘ยาชาสามวัน’ ”
“เ้าตั้งชื่อให้มันเองหรือ? หรือเ้าเป็คนคิดค้น?” เมิ่งเซวียนลุกขึ้นนั่งพลันมองเหอตังกุยั้แ่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยถาม “สาวน้อย เ้าเป็ใครกันแน่? อายุสิบปีจริงหรือ?” ลุงคนที่สี่ของเมิ่งเซวียนมีนามว่าเมิ่งซี เป็ผู้ก่อตั้งสำนักฉีหยางกงด้วยมือของเขาเอง เมิ่งซีเดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาสมุนไพรหายากและมีค่า แต่กลับไม่พบสมุนไพรที่สามารถต่อสู้กับยอดฝีมือได้ เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีผลกระทบร้ายแรงต่อยอดฝีมืออูหลิน...มันสามารถทำให้ยอดฝีมืออูหลินกลายเป็คนธรรมดาได้...แม้การคิดจะทำให้คนธรรมดาหลงใหลนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ แต่ยากที่จะทำให้ยอดฝีมือผู้มีกำลังภายในแข็งแกร่งหลงใหลเสมือนคนที่อยากบินสู่ท้องฟ้า นอกจากนี้เคล็ดวิชาฉางเฟิงที่ลุงสี่สอนนั้นมีวิธีเดินลมปราณเจินชี่ถึงสิบเก้าวิธี ดีกว่าวิธีปกติหนึ่งถึงสองวิธี แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีสูตรยาที่สามารถจำกัดพลังของเขาได้มากเพียงนี้ อีกทั้งสูตรยานั้นก็เป็ของเด็กสาววัยเพียงสิบขวบ
------------------------------------------------
[1] ศาลาพักม้า หมายถึงสถานที่ที่ผู้ส่งสารในสมัยโบราณสามารถพักผ่อนและเปลี่ยนม้าได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้