การล่าสัตว์ครั้งนี้ถูกกำหนดให้ไม่สงบั้แ่แรก เป่ยเซวียนเฉิงมองเป่ยเหลียนโม่อุ้มเหยาเชียนเชียนไปต่อหน้าต่อตา หลังจากนั้นไม่นานนัก กองกำลังป้องกันเมืองก็เข้าล้อมเขตล่าสัตว์ในชั่วพริบตา
“เกิดอะไรขึ้น?”
ฮ่องเต้ที่เดิมทีกำลังรอทุกคนกลับมาอย่างเบิกบานใจ เมื่อได้รับข่าวแววตาก็พลันไร้ซึ่งวี่แววเบิกบานเมื่อครู่
“ชายาของชิงผิงอ๋องปรากฏตัวในเขตล่าสัตว์ได้อย่างไร?”
ข้าหลวงข้างกายส่ายหน้า เื่ทั้งหมดคงต้องรอชิงผิงอ๋องสืบสวนให้ชัดเจนจึงจะยืนยันได้
“ทหาร รีบไปดูหวังเฟย!”
เป่ยเหลียนโม่พาเหยาเชียนเชียนนำหน้ากลับมาก่อน ทั่วทั้งบริเวณมีหมอหลวงประจำอยู่ เพื่อดูแลในกรณีที่เหล่าองค์ชายและคุณชายตระกูลขุนนางได้รับาเ็หรือเกิดเหตุฉุกเฉินในระหว่างการล่าสัตว์
ทว่าเหตุฉุกเฉินในขณะนี้ เป็เหตุที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเหยาเชียนเชียนมีเืเปรอะเต็มตัว ก็สมควรแล้วที่เขาจะพิโรธ
เขาไม่ได้สงสารเหยาเชียนเชียน เพียงแต่หากลูกธนูนี้ยิงถูกพระโอรสของเขาหรือขุนนางคนสำคัญ หรือกระทั่งยิงถูกตนเอง เช่นนั้นหากคิดจะเตรียมการป้องกันก็สายเกินไปแล้ว
“หวังเฟยถูกลอบสังหารในเขตล่าสัตว์ ลูกส่งคนไปปิดล้อมทั่วทั้งเขตล่าสัตว์แล้ว เสด็จพ่อวางใจเถิด ลูกจะจับมือสังหารมาให้ได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เป่ยเหลียนโม่กอดเหยาเชียนเชียนแน่น หมอหลวงทำได้เพียงห้ามเืโดยเร็วที่สุด หลังจากตรวจอาการาเ็เบื้องต้นแล้วจึงแจ้งแก่เป่ยเหลียนโม่ว่า
“ต้องนำธนูออกโดยเร็วที่สุด ยิ่งเวลาผ่านไปพระชายาชิงผิงอ๋องก็จะยิ่งเป็อันตรายพ่ะย่ะค่ะ”
ธนูดอกนี้ฝังลึกเกินไป คาดว่ามือสังหารคงลงมืออย่างรุนแรง หมอหลวงขมวดคิ้ว ทว่าจุดที่ถูกยิงไม่ใช่จุดอันตราย ไม่ทำร้ายถึงหัวใจและปอด
“มือสังหารลักลอบเข้าไปในเขตล่าสัตว์” ฮ่องเต้รับสั่งให้สืบสวนบุคคลที่อยู่ในเขตล่าสัตว์วันนี้อย่างถึงที่สุดทันที “ชายาชิงผิงอ๋องได้รับาเ็ โม่เอ๋อร์ เ้าพาหวังเฟยไปรักษาตัวก่อนเถิด”
เป่ยเหลียนโม่พาตัวเหยาเชียนเชียนไปยังห้องที่ใกล้ที่สุดเพื่อสะดวกต่อการให้หมอหลวงทำการรักษา หัวธนูฝังลึก ขณะดึงออกมาจะเ็ปมาก ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้เป่ยเหลียนโม่ช่วยกดตัวเหยาเชียนเชียนไว้
“หวังเฟยอาจจะดิ้นรนโดยไม่รู้ตัว ท่านอ๋องเพียงแค่อย่าให้หวังเฟยดิ้นรนก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
เป่ยเหลียนโม่พยักหน้า เขาให้เหยาเชียนเชียนซบลงบนหน้าอกของตน หญิงสาวมีใบหน้าซีดขาว นางเสียเืมากจนไม่หลงเหลือพลังิญญาอย่างเก่าแล้ว
หมอหลวงเตรียมความพร้อม ขณะบรรจงดึงลูกธนูออกมาโดยตรง เืสีสดสาดกระเซ็นนำเอาความอบอุ่นของเหยาเชียนเชียนเปรอะลงบนใบหน้าของเป่ยเหลียนโม่
นี่คือเืที่นางหลั่งเพื่อเขา เป่ยเหลียนโม่มองหญิงสาวในอ้อมกอดโดยไม่กะพริบตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกอดนางแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาจะจำให้มั่นไว้ในใจ เมื่อถึงยามที่จับตัวมือสังหารได้แล้วจะลงมือแก้แค้นให้นางด้วยตนเอง
“อื้อ!”
เหยาเชียนเชียนฟื้นขึ้นมาเพราะความเ็ป ั้แ่เล็กจนโต นางเจ็บสุดก็แค่ไข้หนาวสั่นใน่รอบเดือนเท่านั้น แต่ครั้งนี้ถูกยิงด้วยลูกธนูหนาโดยตรง นางนึกเสียใจว่าเหตุใดตนถึงต้องฟื้นขึ้นมา
“หวังเฟยโปรดทรงอย่าดิ้นพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงกำลังพันแผลให้นางอยู่ “แม้ลูกธนูนี้จะยิงไม่ถูกหัวใจและปอด ทว่าหวังเฟยร่างกายอ่อนแอและเสียเืมาก จึงต้องรักษาตัวอีกหลายวันพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋อง” เหยาเชียนเชียนเอ่ยขึ้นหลังจากหมอหลวงออกไปแล้ว “หม่อมฉันเห็นคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาถือธนูของท่าน พวกเขาต้องเป็คนร้ายอย่างแน่นอน หม่อมฉันจึงไปหาพระองค์แต่ก็หาไม่เจอเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่ขมวดคิ้วเป็ปม สีหน้ายุ่งเหยิงเหมือนกับในคืนวันอภิเษกสมรส
“เปิ่นหวังรู้ มีคนจงใจส่งพวกนั้นมา เปิ่นหวังเตรียมการป้องกันไว้ก่อนแล้ว”
เตรียมการป้องกันไว้ก่อนแล้วหรือ เหยาเชียนเชียนอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เตรียมการป้องกันไว้ก่อนแล้วก็รีบบอกสิ ดูนางยามนี้...เจ็บจะตายอยู่แล้ว!
เป่ยเหลียนโม่เห็นท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของนางก็ทั้งโกรธทั้งขบขัน เป็ครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกปวดใจขึ้นมาหลายส่วน
เขาได้รับข่าวมาก่อนแล้วว่าการล่าสัตว์ครั้งนี้จะมีการใช้กลอุบาย และเขาได้เตรียมแผนซ้อนแผนไว้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเหยาเชียนเชียนจะโผล่มาทำแผนเดิมพังเช่นนี้
“เดิมทีตั้งใจจะพาเ้ามาสูดอากาศ แต่ดูเ้าสิ รีบร้อนสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองเสียได้”
เหยาเชียนเชียนเจ็บเสียจนหมดแรงจะใส่ใจคำพูดกระทบกระเทียบของเขา ในเมื่อชิงผิงอ๋องเตรียมความพร้อมไว้ก่อนแล้ว เช่นนั้นที่นางทำไปก็สูญเปล่าอย่างนั้นหรือ?
นางเจ็บตัวเสียเปล่าแล้วน่ะสิ?
น้ำตาแห่งความเสียใจเอ่อล้นในดวงตา นางไม่มีโอกาสแสดงผลงานอีกแล้ว ปะการังหยกโลหิตก็ไม่มีแล้ว ความเสียหายในครั้งนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย
“วางใจเถิด เปิ่นหวังไม่ให้เ้าเจ็บตัวโดยเสียเปล่าแน่” เป่ยเหลียนโม่เหลือบตามองนาง “ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่เพื่อเ้า แต่เพื่ออาเหยียนต่างหาก”
นางนอนเจ็บเจียนตายอยู่ที่นี่ คาดว่าอาเหยียนที่ทำพันธสัญญากับนางในยามนี้ก็คงทรมานอยู่เช่นกัน
“ท่านอ๋องจะเสด็จไปที่ใดหรือเพคะ?”
เหยาเชียนเชียนเห็นเขากำลังจะออกไปจึงรีบเอ่ยถาม “หม่อมฉันไปด้วย”
“เจ็บขนาดนี้นอนพักอยู่ที่นี่เฉยๆ เถิด รอเปิ่นหวังจัดการเื่นี้เรียบร้อยแล้วจะมารับเ้ากลับ”
ละครฉากนี้จะให้อีกฝ่ายแสดงไปโดยเสียเปล่าไม่ได้ ประกอบกับยามนี้เขามีเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัวแล้ว เป่ยเหลียนโม่มองสตรีที่อยู่บนเตียง เืนี้จะให้นางหลั่งไปโดยเสียเปล่าไม่ได้
“หม่อมฉันไปด้วย ท่านอ๋องจะช่วยแก้แค้นให้หม่อมฉันใช่หรือไม่” เหยาเชียนเชียนพยายามลุกขึ้นนั่ง “หม่อมฉันไหวเพคะ ท่านอ๋องพาหม่อมฉันไปด้วยเถิด พระองค์ทอดพระเนตรสิ่งนี้สิเพคะ”
เหยาเชียนเชียนหยิบหางธนูที่หักออกมา นี่คือธนูที่มือสังหารใช้ยิงนาง
“หม่อมฉันรู้ว่ามีคน้าใส่ความท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ได้กล่าวความเท็จนะเพคะ และถ้ามีหม่อมฉันอยู่ด้วย เมื่อเสด็จพ่อเห็นหม่อมฉันาเ็ เราก็จะดูอ่อนแอในสายตาผู้อื่น ง่ายต่อการได้รับความเห็นใจและได้รับการสนับสนุนมากกว่านะเพคะ”
ในเวลาเช่นนี้การเข้มแข็งไม่ใช่วิธีที่ดี หากจะเชิดหน้ากล่าวต่อผู้คนว่าข้าถูกใส่ความ มิสู้ลดทัศนคติให้อ่อนลง และวางตนให้ดูอ่อนแอเสียก่อน เพื่อลดทอนเจตนาอันเป็ปฏิปักษ์และความขุ่นเคืองของทุกคนลง เช่นนี้จึงจะสามารถพลิกสถานการณ์ให้ตัวเองได้
ความปลอดภัยของนครหลวงถูกมอบหมายให้เป็หน้าที่ของเป่ยเหลียนโม่มาตลอด ครั้งนี้เกิดเหตุในเขตล่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็ความผิดของเขาหรือไม่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงคำตำหนิได้
“ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าหากเสด็จพ่อทอดพระเนตรเห็นหม่อมฉันแล้วพระองค์จะทรงตำหนิท่านได้ลงหรือ?”
เป่ยเหลียนโม่พยายามจะเอื้อนเอ่ยอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไร
เขาจะกลัวคำตำหนิของเสด็จพ่อไปไย วันๆ ในหัวของสตรีผู้นี้คิดแต่เื่อะไรกัน
เป่ยเหลียนโม่ลอบวิจารณ์ในใจ แต่การกระทำกลับนุ่มนวลเหลือเกิน เขาโอบนางในไว้อ้อมแขนอย่างระมัดระวัง ทำท่าราวกับทนเห็นนางเจ็บไม่ได้
“อีกครู่ปล่อยให้เป็หน้าที่ของเปิ่นหวังก็พอ”
เหยาเชียนเชียนพยายามยึดลำคอของเขาไว้ ท่านี้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของนางไปจนสิ้น ดังนั้นนางจึงพิงไหล่ของเขาและตอบรับเบาๆ
เหมือนแมวน้อยไม่มีผิด การกระทำนี้ของนางทะลวงเข้าไปในใจของเป่ยเหลียนโม่
เขตล่าสัตว์เงียบสงัดไปทั่วบริเวณ กองกำลังป้องกันเมืองจับตัวมือสังหารทั้งหมดได้แล้ว พวกเขามีกันสามคน ธนูที่สะพายไว้ที่หลังหายไปแล้ว เมื่อเป่ยเหลียนโม่มาถึง พวกเขาก็ยอมรับสารภาพไปก่อนแล้วว่าได้รับคำสั่งจากชิงผิงอ๋อง เป้าหมายคือใช้โอกาสนี้ลอบสังหารองค์ชายสาม
เหยาเชียนเชียนถูกเป่ยเหลียนโม่กอดอยู่ในอ้อมแขน นางมองเห็นสามคนนั้นได้อย่างชัดเจน และสังเกตเห็นว่าบนตัวพวกเขาไม่มีลูกธนูอยู่แล้ว นั่นยังไม่สามารถบอกได้อีกหรือว่าคนกลุ่มนี้จงใจใส่ร้ายเป่ยเหลียนโม่
ถึงอย่างไรมือสังหารก็ไม่มีลูกธนูของเป่ยเหลียนโม่ จึงอาจกล่าวได้ว่าเป่ยเหลียนโม่เป็คนยิงออกไปด้วยตัวเอง จุดประสงค์คืออาศัยจังหวะชุลมุนคร่าชีวิตของเป่ยเซวียนเฉิง
“โม่เอ๋อร์ เ้าจะอธิบายอย่างไร?”
ฮ่องเต้แววตาหนักอึ้ง มองไม่เห็นความรู้สึก ทว่าจิตใจของผู้คนในเหตุการณ์ล้วนถูกหินขนาดใหญ่ทับอยู่ ทุกคนรู้ดีว่าชิงผิงอ๋องและองค์ชายสามไม่ลงรอยกัน และด้วยเหตุนี้ทั้งคู่ยังได้แย่งชิงคุณหนูสามแห่งตระกูลเหยากันอีกด้วย
ครั้งนี้ทั้งคู่้าเป็ผู้ชนะเพื่อชิงตำแหน่งเหยียนซือ หากผู้ใด้าถือโอกาสยามล่าสัตว์เพื่อใช้กลอุบาย นั่นก็เป็สิ่งที่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว
“เสด็จพ่อ ลูกไม่เคยคิดสังหารพี่น้อง ส่วนคนพวกนี้อาศัยเพียงลมปากเลื่อนลอยหมายใส่ความลูก หากข่าวแพร่ออกไปอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติของราชวงศ์ได้พ่ะย่ะค่ะ”
สายตาเฉียบคมของเป่ยเหลียนโม่กวาดมองมือสังหาร ก่อนจะหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ หากไม่ได้มีการเตรียมการไว้อย่างครอบคลุม เขาก็อาจปล่อยให้คนพวกนี้เข้ามาได้อย่างง่ายดาย
“เสด็จพ่อ เมื่อสองสามวันก่อนลูกได้รับข่าวหนึ่งซึ่งน่าสนใจทีเดียว และวันนี้ได้นำมาให้เสด็จพ่อทอดพระเนตรด้วยพอดีพ่ะย่ะค่ะ”
จดหมายฉบับนี้มีคนเขียนให้ขุนนางใหญ่ในราชสำนักคนหนึ่ง เนื้อความระบุชัดเจนว่าวันนี้จะเตรียมส่งกำลังคนไปยังเขตล่าสัตว์ และเมื่อถึงเวลานั้นชิงผิงอ๋องย่อมอธิบายไม่ได้อย่างแน่นอน
“ยามที่ลูกได้อ่านจดหมายก็รู้สึกว่าน่าขัน ที่แท้ก็มีคนทราบเหตุการณ์ในวันนี้ล่วงหน้า และยังกล่าวถึงสภาพการณ์ของลูกโดยไม่มีหลักฐานอีกด้วย เสด็จพ่อทรงคิดเห็นเช่นไร?”
เนื้อความในจดหมายฉบับนี้แม้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าผู้ใดเป็ผู้บงการ แต่ยังคงสามารถเห็นได้ว่าเป็แผนที่ถูกเตรียมไว้นานแล้วและพุ่งเป้าไปที่ชิงผิงอ๋อง
ไม่ว่าจะมีมือสังหารลอบเข้ามาในเขตล่าสัตว์ หรือว่ามีคนได้รับาเ็ในพื้นที่ ทั้งหมดล้วนเกี่ยวโยงไปถึงชิงผิงอ๋องทั้งสิ้น
“ช่างน่าขันยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรด้วยแววตาเ็า สายตามองไปยังขุนนางทุกคนที่อยู่ล้อมรอบ จดหมายฉบับนี้ต้องเขียนถึงหนึ่งในพวกเขาเป็แน่
“ชิงผิงอ๋องกล่าวเช่นนี้เป็การฟังความข้างเดียว” ขุนนางคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังยืนขึ้น ชื่อเสียงเรียงนามของเขาเป่ยเหลียนโม่จำไม่ได้ ทว่าสามารถมั่นใจได้ว่าเขาเป็ขุนนางใต้บัญชาของเป่ยเซวียนเฉิงอย่างแน่นอน
“จดหมายฉบับนี้เป็จริงหรือเท็จชิงผิงอ๋องจะพิสูจน์ได้อย่างไร กระหม่อมมิได้สงสัยในตัวท่านอ๋อง เพียงแต่หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาอย่างไม่มีมูลเหตุเพื่อใช้เป็เครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านอ๋อง ค่อนข้างไม่น่าเชื่อถือกระมัง”
เป่ยเหลียนโม่ไม่มองคนผู้นั้นและไม่ขยับร่างกายแม้แต่น้อย เขาทำเพียงมองไปยังฮ่องเต้อย่างนอบน้อม
“เ้าหมายความว่าเปิ่นหวังเขียนจดหมายนี้ขึ้นมาเอง และส่งมือสังหารลอบเข้าไปในเขตล่าสัตว์ กระทั่งทำให้หวังเฟยของตัวเองได้รับาเ็ จากนั้นก็ส่งกองกำลังป้องกันเมืองไปจับตัวมือสังหารมา เพื่อทำให้เสด็จพ่อสงสัยในตัวเปิ่นหวัง และสุดท้ายก็พยายามใช้จดหมายที่ตนเขียนขึ้นมาเองขจัดข้อสงสัย ใช่หรือไม่?”
“พรืด!”
หลิ่วอิงเอ๋อร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ขอเพียงเป็คนที่มีสมองอยู่บ้าง ล้วนต้องคิดว่าหลักการนี้มีปัญหา
หลังจากคำนวณรอบหนึ่ง แผนนี้เดิมทีทำไปก็เสียเปล่า และยังทำให้ตนเองเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกด้วย ชิงผิงอ๋องต้องถูกถอดสมองออกเท่านั้นถึงจะวางแผนนี้ขึ้นมาได้
คนผู้นั้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เป่ยเหลียนโม่น้ำเสียงเ็าเล็กน้อย เมื่อหันไปมองเขา ั์ตาสีดำสนิทคู่นั้นไร้ซึ่งแววอ่อนโยน สายตาแหลมคมราวกับมีดน้ำแข็งเจือไอเย็น แทงเข้าไปกลางกะโหลกศีรษะ และทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่าง
“หวังเฟยได้รับาเ็ บาง...บางทีอาจจะไม่ใช่เจตนาของท่านอ๋อง” คนผู้นั้นกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องอาจมิได้คาดคิดว่ามือสังหารจะรับสารภาพ การนำจดหมายออกมาเป็เพียงแผนสำรองยามฉุกเฉินเท่านั้น”
ผู้ใดบอกว่าเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือแว้งกัดเป่ยเหลียนโม่ คนผู้นั้นคุกเข่าลงและโขกศีรษะทันที และกล่าวอย่างชัดเจนอีกครั้งว่าคนเหล่านี้เข้ามาเพื่อลอบสังหารองค์ชายสาม
“เสด็จพ่อ เชียนเชียนาเ็เพื่อลูกจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เป่ยเซวียนเฉิงคุกเข่าลงด้วยสีหน้าเ็ป เมื่อคำกล่าวนั้นดังขึ้น ทำให้สายตาของทุกคนมองไปยังเป่ยเหลียนโม่อีกครั้ง
เป็ถึงชายาของชิงผิงอ๋อง แต่กลับไม่รักตัวกลัวตายเข้าไปช่วยองค์ชายสาม เหยาเชียนเชียนผู้นี้ยังหลงเหลือเยื่อใยต่อองค์ชายสามอยู่อีกหรือ?
ไม่รู้ว่าในใจของชิงผิงอ๋องรู้สึกอย่างไรยามที่หวังเฟยของตนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชายอื่น
“เสด็จพ่อ เชียนเชียนรักลูกอย่างลึกซึ้ง ยามนี้ได้รับาเ็สาหัสก็เพื่อลูก” เป่ยเซวียนเฉิงมองไปยังเป่ยเหลียนโม่พลางกล่าวต่อว่า “แต่ไม่รู้ว่าลูกกลายเป็อุปสรรคในสายตาผู้ใด บีบให้เชียนเชียนยอมสละชีวิตเพื่อช่วยลูกโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งชายาชิงผิงอ๋อง”
