หลังจากที่ชิงอีกินมื้อเย็นเสร็จ นางก็เดินไปล้มตัวนอนลงบนเตียงต่อ ก่อนจะพักผ่อนก็สั่งคนเฝ้าประตูด้านนอกตำหนักว่าอย่าให้ใครเข้ามารบกวนการนอนของตนเป็อันขาด
ตะวันลาลับขอบฟ้าจนดำสนิท ราวกับมีใครสาดหมึกจำนวนมากขึ้นไป ทั่วทั้งวังหลวงถูกปกคลุมด้วยความมืดและโคมไฟในวังค่อยๆ สว่างขึ้น แต่ก็มิอาจต้านทานความมืดมิดได้
ประตูตำหนักเชียนชิวถูกกระแทกอย่างแรงจนเปิดออก มีคนกลุ่มหนึ่งทยอยเข้ามา นำโดยขันทีที่ถือแส้หางม้าอยู่ในมือ เขามองไปยังประตูห้องนอนของตำหนักที่ยังคงปิดสนิท พลางยิ้มออกมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ฮองเฮามีพระเสาวนีย์ให้เชิญองค์หญิงใหญ่ไปชมจันทร์ที่ตำหนักอี้คุนกงพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงใหญ่รีบเสด็จตามกระหม่อมไปจะดีกว่า อย่าปล่อยให้ฮองเฮาทรงรอนานเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากหวังซุ่นพูดจบ ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากในตำหนัก เขาเริ่มมีสีหน้าหงุดหงิดก้าวไปข้างหน้าหมายจะเข้าตำหนัก
บริเวณหน้าประตูของตำหนักมีเพียงเถาเซียงและต้านเสวี่ยที่คอยเฝ้าอยู่ หวังซุ่นไม่ได้เห็นพวกนางอยู่ในสายตาย่างสามขุมราวกับจะบุกเข้าข้างใน
“หวังกงกง[1] ท่านเข้าไปไม่ได้เ้าค่ะ องค์หญิงทรงพักผ่อนแล้ว”
หวังซุ่นเลิกคิ้ว พลันยิ้มอย่างดูถูก “พักผ่อนแล้วงั้นหรือ? ข้าทำตามพระเสาวนีย์ของฮองเฮา พวกเ้าสองคนรีบเข้าไปปลุกองค์หญิงจะดีกว่า”
ต้านเสวี่ยมีสีหน้าลำบากใจ พร้อมเตรียมจะเข้าไปในห้องบรรทม แต่เถาเซียงกลับยืนกางแขนขาขวางทางเข้าประตูเอาไว้ ก่อนจะส่ายหน้า และกล่าวหนักแน่น “ไม่ได้เ้าค่ะ นี่คือพระราชดำรัสสั่งขององค์หญิง ใครก็ห้ามเข้าไปรบกวน ยามองค์หญิงทรงกำลังพักผ่อน”
“สามหาว ใครที่เ้าว่านั่นรวมถึงฮองเฮาด้วยหรือไงฮะ” หวังซุ่นตวาด “ใครก็ได้มาเอาตัวนางกำนัลชั้นต่ำสองคนนี่ออกไปให้พ้น แล้วส่งนางกำนัลสองคนเข้าไปช่วยแต่งตัวให้องค์หญิง”
“ไม่! ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาด! ข้าไม่จะยอมให้พวกเ้าเข้าไปรบกวนองค์หญิง!”
เถาเซียงยามนี้กลายเป็คนที่ยึดมั่นคำสั่งยิ่งชีพไปเสียแล้ว นางขวางประตูเอาไว้ไม่ยอมให้ใครเข้าไป ที่น่าประหลาดก็คือเหล่าขันทีที่พยายามเข้าไปลากตัวนางออกไปนั้น แค่แตะตัวก็โดนฝ่ามือนางซัดจนกระเด็น
หวังซุ่นตาโตรีบถอยหลังออกมา พลางะโเสียงดัง “นางบ่าวชั้นต่ำนี่มีวิทยายุทธ์ด้วยงั้นหรือ? จัดการนาง พวกเ้าทั้งหมดลุยเข้าไปซะ จับนางไว้!”
เถาเซียงใช้วิทยายุทธ์ที่มีจัดการกับเหล่าขันทีและนางกำนัลได้อย่างเป็ต่อ ถึงแบบนั้นก็มิอาจจะยื้อเอาไว้ได้นาน ส่วนต้านเสวี่ยเอาแต่หลบอยู่ใกล้ๆ ด้วยความตื่นกลัวและมีท่าทีลังเล ทันใดนั้น นางก็เห็นเถาเซียงขยิบตาให้ พลางขยับปากพูดสองคำ
ต้านเสวี่ยลังเล สักพักก็กัดฟันและตัดสินใจหมุนตัววิ่งหนีไป ในขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับเถาเซียงอยู่
ทางด้านชิงอีตื่นั้แ่ตอนที่หวังซุ่นพาคนบุกเข้ามาแล้ว เดิมทีนางตั้งใจจะออกไปสั่งสอนพวกบ่าวชั้นต่ำที่บังอาจเข้ามารบกวนเวลานอนของนาง แต่พฤติกรรมของเถาเซียงทำให้นางประหลาดใจ
นางเลยตัดสินใจนั่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายในตำหนักต่ออีกสักพัก นางอยากรู้ว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับคนมากมายเช่นนี้ เถาเซียงจะจัดการเช่นไร?
แม้ว่าเถาเซียงจะมีวิทยายุทธ์อยู่บ้าง แต่หากต้องสู้กับคนหลายคนด้วยตัวคนเดียวก็คงไม่ไหว นางต้านไว้ได้ไม่นานก็ถูกจับได้ นางอยู่ในสภาพผมกระเซอะกระเซิงและใบหน้ามีรอยฟกช้ำหลายแห่ง ถึงอย่างนั้นนางกำนัลและขันทีที่เข้ามาจับนางเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน
“นางบ่าวชั้นต่ำไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง วันนี้ข้าจะสั่งสอนเ้า!” หวังซุ่นเดินมายืนตรงหน้าเถาเซียง แล้วเงื้อมือขึ้นสูงหมายจะฟาดมือลงมา
แอ๊ด—
ประตูตำหนักถูกเปิดจากด้านใน โดยมีหญิงสาวก้าวออกมา
หวังซุ่นลดมือลง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย้ยหยัน และทำเป็ถวายบังคม “องค์หญิงตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ชิงอีไม่ได้สนใจมองหวังซุ่นเลยแม้แต่น้อย และเดินตรงไปหาเถาเซียง เหล่านางกำนัลและขันทีที่จับเถาเซียงอยู่ต่างพากันลดมือลงอย่างไม่รู้ตัว
ในคืนอันมืดมิด มีเพียงแสงเทียนสลัว ทว่า ยามที่นางปรากฏกาย ราวกับมีแสงสาดส่องลงมาจนแสบตา หญิงสาวในชุดอาภรณ์สีแดงเปล่งประกายยามค่ำคืนนั้นงดงามเหนือคำบรรยาย
ชิงอีก้มตัวเล็กน้อย ใช้นิ้วเรียวสวยราวกับหยก เชยคางสาวน้อยตรงหน้าขึ้น ดวงตาคมมองไล่ไปตามหางคิ้วและมุมปากที่เขียวช้ำ ก่อนจะถามไถ่ด้วยเสียงอ่อนโยนที่ยากนักจะได้ยิน “เจ็บไหม?”
“ไม่ ไม่เจ็บเพคะ” เถาเซียงตอบราวหลงเสน่ห์ในความงามอันเย้ายวนของนาง
“เด็กโง่ เ้าต้องบอกว่าเจ็บสิ” ชิงอีถอนหายใจ ผิดหวังกับคำตอบ
“เจ็บเพคะ! เจ็บจะตายอยู่แล้ว!” เถาเซียงที่เริ่มเข้าใจสถานการณ์ รีบเอามือกุมหน้า พร้อมบีบน้ำตาออกมาสองสามหยด
ชิงอียืดตัวขึ้นอย่างพึงพอใจ ก่อนจะใช้หลังมือฟาดไปที่หน้าของหวังซุ่นอย่างรวดเร็ว โดยไม่ให้ตั้งตัว
เสียงตบดังสนั่น จนหวังซุ่นและเหล่าข้าหลวงที่เขาพามาต่างตกตะลึงราวกับคนโง่
หวังซุ่นกุมใบหน้าของตน ยังไม่ทันได้ร้องออกมาเพราะความเจ็บ ก็ได้ยินเสียงหวีดร้องของใครบางคนดังขึ้น ชิงอีขมวดคิ้วเรียว ก่อนจะนวดคลึงข้อมือของตัวเองด้วยสีหน้าโเี้ “มือข้าเจ็บไปหมดแล้วเนี่ย หน้าของบ่าวชั้นต่ำนี่แข็งชะมัด นี่เ้าตั้งใจจะประทุษร้ายข้างั้นหรือ?”
พรืด—
เถาเซียงรีบเอามือปิดปาก พยายามไม่ให้ตัวเองส่งเสียงหัวเราะออกมา
ตรรกะขององค์หญิงใหญ่นี่...สุดยอดไปเลย!
หวังซุ่นนั้นรู้สถานะของตนดี ในเมื่อโดนตบก็ต้องยอมปล่อยไป ก็ใครใช้ให้ชิงอีเป็นาย ส่วนเขาเป็บ่าวล่ะ? แต่คำพูดขององค์หญิงใหญ่ฟังแล้วน่าโมโหยิ่งนัก ตบเขาแล้วยังจะมาโทษว่าหน้าของเขาแข็งอีกงั้นหรือ?
หวังซุ่นทั้งอายทั้งโมโห แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรู้สึกตกตะลึงไม่หาย ในความทรงจำของเขา เมื่อก่อนองค์หญิงใหญ่นั้นทั้งอ่อนแอ ทั้งขี้ขลาด ไร้ประโยชน์ ั้แ่เมื่อไรที่นางกลายเป็คนโอหังอวดดีเช่นนี้?
ขนาดองค์หญิงเทียนหนิง พระราชธิดาในหลิวกุ้ยเฟย[2]ยังไม่ยโสโอหังเท่ากับนางตอนนี้เลย!
“องค์หญิง กระหม่อมจะบังอาจไปประทุษร้ายพระองค์ได้เยี่ยงไร ฮองเฮามีพระเสาวนีย์ให้เชิญท่านไปชมจันทร์ด้วยกัน พระองค์รีบตามกระหม่อมไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากให้ฮองเฮาทรงรอนาน คนที่จะลำบากก็คือท่านนะพ่ะย่ะค่ะ” หวังซุ่นพยายามข่มความแค้นเอาไว้ พร้อมพูดจาเสียดสี
“ท้องฟ้ามืดสนิทขนาดนี้เนี่ยนะ ไหนเ้าลองเรียกพระจันทร์ออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ?” ชิงอีชายตามอง พลางหัวเราอย่างเย้ยหยัน “เ้าบ่าวชั้นต่ำนี่ บังอาจแอบอ้างพระเสาวนีย์ของฮองเฮาเข้ามาทำร้ายข้าถึงในตำหนัก!”
หวังซุ่นใ การชมจันทร์นั้นเป็เพียงข้ออ้าง ที่จริงคือเรียกนางไปสั่งสอนต่างหาก ซึ่งไม่จำเป็ต้องสาธยายให้มากความ เป็เื่ที่ทุกคนนั้นรู้กันดีอยู่แล้ว แต่กลายเป็ว่าชิงอีหาเื่ยัดข้อหาทำร้ายร่างกายให้เขา หวังซุ่นมีหรือจะกล้ารับโทษในฐานความผิดนี้
“องค์หญิงใหญ่ ทรงอย่าล้อกระหม่อมเล่นสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไหนเลย...”
“เสี่ยวเถาเอ๋อร์” เสียงของชิงอีดังขึ้น
เถาเซียงรีบลุกขึ้น “หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ”
“จำได้หรือไม่ว่าใครตบตีเ้าบ้าง?”
เถาเซียงพยักหน้าหงึกๆ ใบหน้าเล็กๆ นั่นเต็มไปด้วยความโเี้
“ดีมาก” หลังจากชิงอีละสายตาจากใบหน้าของเถาเซียง นางก็สั่งเสียงเย็น “ตบพวกนั้นซะ ใครกล้าตอบโต้ ก็ตบมันจนกว่าจะตาย!”
นางยังพูดต่อท้ายอีกว่า “หากมีใครตาย ข้าจะรับผิดชอบเอง”
“องค์หญิงใหญ่ นี่พระองค์” หวังซุ่นใอย่างมาก
“ตบปาก”
เถาเซียงก้าวเข้าไป พลันยกมือฟาดลงบนหน้าเขา
ชิงอีชูนิ้วชี้ส่ายไปมา “หากข้าไม่ได้สั่งให้เ้าปริปาก ก็ควรปิดมันให้สนิทนะ”
หวังซุ่นกุมใบหน้าของตน ถลึงตามองด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก หลายครั้งที่อยากจะยกฮองเฮาตู้ขึ้นมาอ้าง ทว่า พอสบตากับดวงตาคู่สวยที่แสนเ็าของชิงอีแล้วก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตั้ว
ความรู้สึกนี้ มันเหมือนกับตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเซียวเจวี๋ยไม่มีผิด
หากพูดเพ้อเจ้อออกมาอีกเพียงครึ่งคำ เขาอาจจะโดนตัดหัวก็เป็ได้
จู่ๆ หวังซุ่นก็นึกถึงหลิวมามาขึ้นมา วันนั้นหลังนางกลับมาจากตำหนักเชียนชิวก็ป่วยเป็โรคอี้เจิ้ง ซ้ำยังพูดจาเพ้อเจ้อ ซึ่งหวังซุ่นเองยังจำตอนที่เขาไปจัดการนางได้ดี หลิวมามาคลุ้มคลั่งราวคนบ้าจนใครต่อใครกลัว โรคอี้เจิ้งอะไรกัน เหมือนคนโดนผีหลอกมาเสียมากกว่า!
อีกทั้งคนที่ติดตามนางไปก็มีสภาพไม่ต่างกัน...
หวังซุ่นขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาััได้ว่าชิงอีที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้น มีกลิ่นอายของผีแฝงอยู่
เหล่าข้าหลวงที่เห็นหวังซุ่นเงียบราวกับเป็ใบ้ ก็รู้สึกราวกับสูญเสียที่พึ่งพิง เถาเซียงตรงเข้าไปตบซ้ายตบขวาจนพวกสุนัขรับใช้พากันส่งเสียงร้องครวญคราง
เกิดเื่ใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าข้าหลวงคนอื่นๆ ภายในตำหนักเชียนชิวต่างพากันตื่นตระหนก แต่พวกเขาทำได้เพียงแอบดูอยู่ไกลๆ ไม่กล้าจะเข้ามาใกล้ ทุกคนต่างใกับท่าทีกล้าหาญดุดันของชิงอีจนพูดไม่ออก
นี่ใช่องค์หญิงใหญ่ที่พวกเขารู้จักจริงๆ หรือ?
ทันใดนั้นชิงอีก็ชายตาไปมองพวกเขา
เหล่าข้าหลวงใกลัวจนตัวสั่น
“ให้คนคนเดียวตบดูจะน่าเบื่อไปสักหน่อย พวกเ้ามานี่สิ ผลัดกันตบปากพวกมันแทนข้าที”
ข้าหลวงในตำหนักเชียนชิวใจนแทบบ้า หวังซุ่นเป็ถึงคนของตำหนักอี้คุนกงคอยรับใช้ข้างกายฮองเฮา หากพวกเขาลงมือละก็ ไม่ถือว่าเป็การทำให้ฮองเฮาขุ่นเคืองพระทัยหรอกหรือ? แล้วต่อไปพวกเขาจะอยู่กันเช่นไรเล่า?
ทว่า หากไม่ลงมือละก็...
เหล่าข้าหลวงของตำหนักเชียนชิวมองรอยยิ้มมีเลศนัยบนใบหน้าของชิงอี แล้วพากันขนลุกซู่ไปทั้งตัว
มีชีวิตรอดไปอีกวัน ย่อมดีกว่าตายตอนนี้อยู่แล้ว!
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงตบผสมผสานกับเสียงร้องโหยหวนก็ดังกึกก้องไม่ขาดสายไปทั่วทั้งตำหนักเชียนชิว
“ฉู่ชิงอี!” เสียงฝีเท้ามากมายดังมาจากด้านนอก
ฉู่จื่ออวี้พาคนเข้ามาอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นภาพสถานการณ์ตรงหน้า เขาถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้ก็เงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายสลักอักษรที่แขวนอยู่บนประตูของตำหนัก เพื่อดูให้แน่ใจว่าตนเองนั้นมาผิดที่หรือเปล่า
นี่...เขา เขาเห็นอะไรเนี่ย?
******************************
[1] กงกง หมายถึง คำที่ใช้เรียกขันทีชั้นผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งสูง เป็ผู้รับใช้ส่วนตัวของฮ่องเต้และราชสำนักฝ่ายใน
[2] กุ้ยเฟย หมายถึง ตำแหน่งพระชายาลำดับที่ 1 ในองค์จักรพรรดิรองจากฮองเฮาหรือคือ “พระอัครเทวีผู้สูงศักดิ์ล้ำค่า” มีศักดิ์สูงสุดในทั้งหมดสี่ตำแหน่ง