ณ ลานภายในตำหนักเชียนชิว ใบหน้าของเหล่าข้าหลวงแต่ละคนที่หวังซุ่นพามาต่างบวมเป่งราวกับหัวหมู พวกเขากำลังร้องโอดโอยจนปากแทบจะฉีก ในทางกลับกัน เหล่าข้าหลวงประจำตำหนักเชียนชิวยังคงมีสีหน้าอมทุกข์ ระหว่างที่ตบตีก็เอาแต่กล่าวขอโทษเสียงเบา
ภาพที่เห็นตรงหน้าอย่าว่าแต่ฉู่จื่ออวี้เลย แม้แต่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างเขากับองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็ได้แต่ตกตะลึงไปตามๆ กัน
ทำไมถึง...ไม่เหมือนกับที่เขาคาดการณ์ไว้เล่า?
“ฮึ...” มีเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหู เมื่อฉู่จื่ออวี้หันไปมองก็เห็นเซียวเจวี๋ยที่กำลังลูบริมฝีปาก ั์ตาของเขาเปี่ยมด้วยความคล้ายรู้ทัน
เสียงไม่พอใจของหญิงสาวดังขึ้น “ขายาวๆ นั่นมีไว้ประดับเฉยๆ หรือไง? ขืนมัวแต่รอให้พวกเ้ามาช่วย ตำหนักเชียนชิวของข้าคงจะโดนพวกชั้นต่ำนี่ทำลายไม่เหลืออะไรแล้ว”
“...” ฉู่จื่ออวี้เงียบกริบ ก้าวไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกซับซ้อน หันไปมองชิงอีอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่หลายครั้ง ทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็พี่หญิงของตนจริงๆ ก่อนจะสูดลมหายใจจนเต็มปอด แล้วเอ่ยปากถาม “ท่าน...ไม่เป็ไรใช่ไหม?”
“เป็”
ฉู่จื่ออวี้ได้ยินดังนั้น ก็มีท่าทีกังวลออกมาเล็กน้อย “ท่านาเ็ตรงไหนหรือ?”
ชิงอียื่นแขนออกไปตรงหน้าชายหนุ่ม พลางแกว่งไปมา “มองไม่เห็นหรือไง? แดงไปหมดแล้วเนี่ย”
มือขาวเนียนราวกับหยกโชว์ปลายนิ้วที่เป็สีชมพูอ่อนให้ดู ชิงอีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงงัวเงียปนไม่พอใจ ทั้งที่หน้าตาของนางตอนนี้แสนจะเย่อหยิ่ง แต่ดันทำให้คนอื่นรู้สึกเลื่อมใสและอยากรับใช้นาง
ยามที่เห็นนางยิ้มหรือขมวดคิ้ว ก็ล้วนมีเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหล
ฉู่จื่ออวี้เผลอมองนางอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าองครักษ์ที่ติดตามมายิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาต่างพากันสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
สิ่งหนึ่งที่ในหัวของทุกคนคิดเหมือนกัน คือที่แท้...องค์หญิงใหญ่สวยขนาดนี้เชียวหรือ?!
มีเพียงเซียวเจวี๋ยที่ยังคงมีท่าทีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป ชายหนุ่มมีสีหน้าสนุกสนาน แต่กลับทำหน้ากึ่งบึ้งกึ่งยิ้มมองดูใบหน้างามของหญิงสาว
เขากระแอมออกมาเบาๆ ฉู่จื่ออวี้ถึงได้สติกลับมา
ฉู่จื่ออวี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเผลอหลงใหลเสน่ห์ของพี่หญิงเข้า ใบหน้าขาวราวกับหยกของฉู่จื่ออวี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ ความรู้สึกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็ความละอาย จนอยากจะหาที่ลงกับใครสักคน “ข้าหลวงต่ำช้าคนไหนบังอาจมาทำร้ายท่าน?”
ชิงอีเชิดคางขึ้น ฉู่จื่ออวี้มองตามไปทางหวังซุ่นด้วยสายตาคาดคั้นอย่างโเี้
“เ้าอีกแล้วหรือ! หน็อยแน่ เ้าบ่าวชั้นต่ำคิดว่ามีอำนาจของนาย แล้วจะรังแกคนอื่นไปทั่วได้กระมัง หรือว่าเื่ชั่วๆ นี่ เ้านายของเ้าก็เป็สอนให้งั้นหรือ?”
ั้แ่หวังซุ่นเห็นฉู่จื่ออวี้และเซียวเจวี๋ยมาที่นี่ โลกของเขาก็มืดมนลงทันที เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้องค์รัชทายาทถึงอยู่กับเซ่อเจิ้งอ๋องตลอดทั้งวัน
สถานการณ์ในตอนนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ได้รับความเป็ธรรมมากขึ้นไปอีก
“องค์รัชทายาท กระหม่อมถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมไหนเลยจะกล้าลงมือกับองค์หญิงใหญ่ เป็องค์หญิงใหญ่ต่างหากที่ทรงตบกระหม่อม หากพระองค์ทรงไม่เชื่อลองถามผู้อื่นดูได้ กระหม่อมทำงานรับใช้มานาน โปรดให้ความเป็ธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ดูท่าค่ำคืนนี้หวังซุ่นจะโดนชิงอีเล่นงานจนจบเห่เป็แน่ เขาเข้าวังมานานหลายปีทำเื่ชั่วร้าย พลิกขาวเป็ดำมาก็มาก ทว่า วันนี้เป็ครั้งแรกที่ได้ััถึงการถูกใส่ร้าย แล้วมิอาจพูดอะไรได้เลย
ฉู่จื่ออวี้ฟังหวังซุ่นอธิบาย แต่น่าแปลกที่วันนี้ั้แ่หวังซุ่นอ้าปากพูด เหล่าข้าหลวงที่โดนตบจนหน้าบวมด้านหลังนั้น ต่างพากันร้องไห้หาบิดามารดากันระงม พลางกล่าวว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็ธรรม
หากเป็คนก็ย่อมมองออกว่าใครคือผู้ถูกกระทำกันแน่...
สีหน้าของฉู่จื่ออวี้ตึงเครียด แต่จู่ๆ ก็นึกขำขึ้นมา มันยังไงกันล่ะเนี่ย?
เดิมทีเขาก็รู้สึกว่าสุนัขรับใช้ข้างกายฮองเฮาตู้ขัดหูขัดตาอยู่แล้ว แต่ไม่สบโอกาสจัดการเสียที ไม่น่าเชื่อว่าจะได้โอกาสนั้นจากพี่หญิง ผู้ไร้ความสามารถในวันนี้?
ฉู่จื่ออวี้รู้สึกสะใจ เมื่อคิดถึงสีหน้าของฮองเฮาตู้ หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้
หวังซุ่นพยายามแสร้งว่าไม่ได้รับความเป็ธรรม แต่คาดไม่ถึงว่าพอเงยหน้าขึ้นก็โดนฝ่ามือฟาดลงบนหน้าของตัวเองอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงร้องดังลั่นที่แสดงได้สมบทบาทของหญิงสาวที่คุ้นเคย
ชิงอีส่งเสียงจิ๊ พลางสูดลมหายใจเข้า มองนิ้วเรียวราวกับหยกของตนอย่างทะนุถนอม และพูดว่า “ข้าเจ็บหลือเกิน เสี่ยวเถาเอ๋อร์มานวดให้ข้าที เร็วเข้า”
เถาเซียงรีบเข้าไปนวดมือให้นางทันที
“เห็นหรือยัง?” ชิงอีปรายตามองไปยังฉู่จื่ออวี้ พอนางเห็นเขามีท่าทางตกตะลึงน้อยๆ ก็ก่นด่าอย่างหงุดหงิด “นี่เ้าโง่หรืออย่างไร เ้ามองไม่เห็นหรือว่าใบหน้าของบ่าวชั้นต่ำนั่นแข็งเสียจนทำมือข้าเจ็บ? นางกำนัลของข้าก็ด้วย ดูใบหน้างดงามดุจหยกของนางสิ โดนตบตีจนกลายเป็แบบนี้ไปเสียแล้ว เ้าพวกเดรัจฉานนี่ กล้าดียังไงถึงได้ทำการรุนแรงเช่นนี้!”
หวังซุ่นยกมือขึ้นมาปิดหน้า แทบอยากจะปล่อยโฮออกมา เหล่าข้าหลวงที่ถูกตบตี จนสารรูปเปลี่ยนไปจนจำหน้าไม่ได้นั้น ภายในใจคงจะเ็ปมิใช่น้อย
ตกลงใครเป็ฝ่ายที่กระทำรุนแรงกันแน่?!!
หลังจากฉู่จื่ออวี้ได้สติ ท่าทางก็ดูแปลกไป มุมปากกระตุกขึ้นราวกับกำลังยกยิ้ม อย่าว่าแต่เขาเลย ทุกคนที่เห็นสายตาของหวังซุ่นยามนี้ก็คงอดสงสารไม่ได้
ฝีมือการแสดงขององค์หญิง เพื่อหาทางเอาคืนนี่ มิอาจหาใครเทียบ ทั้งที่เป็ผู้กระทำ แต่กลับเล่นบทเป็ผู้ถูกกระทำเสียได้...
“องค์รัชทายาท กระหม่อมโดนใส่ความจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ...” หวังซุ่นรู้สึกว่าการที่ตนไม่สามารถมีผู้สืบสกุลได้ ยังไม่เศร้าและผิดหวังเท่ายามนี้เลย
ฉู่จื่ออวี้พยายามกลั้นหัวเราะ ทำเป็เพิกเฉยต่อคำด่าที่ชิงอีพูดกับตน แล้วเอ่ยตามน้ำเข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ย “บังอาจทำร้ายพี่หญิงของข้า ต้องได้รับโทษสถานหนัก ในเมื่อใบหน้าของขันทีผู้นี้แข็งนัก ก็หาคนมาช่วยให้มันนิ่มลงหน่อย ภายหน้าเวลาไปล่วงเกินใครในวังเข้าจะได้ไม่ไปทำให้ผู้สูงศักดิ์ต้องเจ็บตัวอีก”
หวังซุ่นมองไปทางเขาอย่างหวาดกลัว สองพี่น้องคู่นี้เป็ผีร้ายกลับชาติมาเกิดหรือไร?
“เช่นนั้นข้าเกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร” เซียวเจวี๋ยที่เงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
หวังซุ่นมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาสุภาพของเซ่อเจิ้งอ๋อง เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ พลางส่งเสียงสะอื้นไห้ พร้อมกับพยักหน้าไปด้วย หลังจากนั้น...
“เป็แค่บ่าวคนหนึ่ง ดึกดื่นค่อนคืนพาคนบุกเข้ามาถึงห้องบรรทมในตำหนักองค์หญิง มีโทษสถานหนัก มิอาจปล่อยไว้ได้ องค์รัชทายาททรงลงโทษเบาเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หวังซุ่นตัวสั่นเทิ้มมองไปยังเซ่อเจิ้งอ๋องที่สีหน้ายังคงเดิม มีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นระหว่างที่พูด ทำเอาหวังซุ่นถึงกับหน้ามืด
ข้าเนี่ยนะบุกมาทำร้ายยามดึก...ไหนล่ะที่เรียกว่าทำร้าย? ผิวหน้าของเขาไม่ใช่เหล็กกล้าเสียหน่อย? ถึงได้ชนคนแล้วทำให้คนตาย สองพี่น้องนี่เป็ผีร้ายชัดๆ ส่วนเสี่ยวเจวี๋ยคือมัจจุราชที่กลับชาติมาเกิด!
พญามัจจุราชตัวจริงส่งเสียงดูแคลนออกมา แล้วเลิกคิ้วมองเซียวเจวี๋ย พร้อมส่งเสียงอืมออกมาอย่างพึงพอใจ “ไม่เลวนี่ ข้าพอใจกับบทลงโทษนี้”
“ไม่นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมโดนใส่ความ กระหม่อม้าเข้าเฝ้าฮองเฮา พระองค์ทรงยืนยันให้กระหม่อมได้” หวังซุ่นคุกเข่าลงบนพื้น พลางคลานเข้าหาฉู่จื่ออวี้
ฟุ่บ
ดาบที่ทำด้วยเหล็กกล้าขององครักษ์จ่อเข้าที่คอของหวังซุ่น ทำเอาเขาใจนแทบจะฉี่ราดใส่กางเกง
“เอาตัวคนพวกนี้ไปขังไว้ที่คุกกรมอาญาก่อน”
“เหตุใดถึงเป็กรมอาญาล่ะพ่ะย่ะค่ะ” หวังซุ่นตื่นตระหนก
ถึงแม้พวกเขาทำผิด แต่ก็ควรต้องรับโทษจากส่วนในสิ เหตุใดจึงต้องคุมตัวไปยังกรมอาญา? คนที่เข้าไปที่นั่นเคยมีใครรอดชีวิตออกมาบ้างเล่า!
เซียวเจวี๋ยพูดเนิบๆ “เมื่อคืนนี้บุตรของอัครมหาเสนาบดีตู้ตายในวัง ผู้ที่ถูกสังหารอีกคนก็คือนางกำนัลของตำหนักเชียนชิวที่ชื่อเสาเหย้า เวลานั้นองค์หญิงใหญ่เองก็ทรงอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่เกิดเหตุ บางทีอาจจะบังเอิญเห็นเหตุการณ์ก็ได้ คืนนี้เ้าก็เลยพาคนบุกมาที่นี่ เป็ไปได้ว่าฆ่าปิดปาก แน่นอนว่าต้องส่งตัวไปที่กรมอาญา เพื่อทำการสอบสวนอย่างละเอียด”
เมื่อคืนองค์หญิงใหญ่อยู่ที่ศาลาชุนชิวด้วยงั้นหรือ?
ทุกคนมองไปที่ชิงอีด้วยความประหลาดใจ ครั้งนี้เซียวเจวี๋ยดูจะเผยข้อมูลมากเกินไป ฝีมือการพลิกดำกลายเป็ขาวของเขาเหนือชั้นกว่าชิงอีมากนัก มันเป็การโจมตีที่ทำให้หวังซุ่นไม่มีโอกาสได้แก้ตัวแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้น การกระทำของเขาเหมือนกับการโรยเกลือลงบนาแของฮองเฮาและอัครมหาเสนาบดีตู้
หลังจากหวังซุ่นถูกควบคุมตัวไปแล้ว ก็มีเงาบางสิ่งบางอย่างมุ่งไปยังตำหนักอื่นๆ ในวังเงียบๆ
ชิงอีหรี่ตามองเซียวเจี๋ยว เ้าไก่อ่อนนี่...เมื่อครู่ใช้นางเป็เหยื่อล่องั้นหรือ? รอยยิ้มบนใบหน้านางค่อยๆ กว้างขึ้น “ร้ายใช้ได้”
เซียวเจวี๋ยหันไปหานาง ดวงตาเ็าราวหิมะ พร้อมส่งยิ้มบางๆ กลับไป
“ก็พอกันนั่นแหละ”
คิดจะทำเป็ไม่รู้จักกันงั้นหรือ เขาไม่ยอมให้นางได้สมหวังหรอก
นางบอกว่าอยากร่วมเตียงก็ร่วมเตียงกันไปแล้ว ส่วนเื่การแต่งงานไม่ใช่เื่ที่นางบอกว่าจะยกเลิก แล้วยกเลิกได้!