แม้หูฉางกุ้ยจะมีประสบการณ์ในการเข้าสังคมพูดคุยกับผู้คนมามากกว่าครึ่งปี แต่ยังคงถูกคำพูดของพี่สาวตนเองทำให้ตื่นใ
เงินยี่สิบเหลียง สำหรับครอบครัวของเขาในตอนนี้ไม่มากจริงๆ
ในถุงเงินใบเล็กที่ติดกายอยู่ในอกเขามีทั้งหมดสิบกว่าเหลียง ไม่กี่วันนี้ในบ้านจัดโต๊ะเลี้ยงแขกมีเื่้าใช้เงินมากมาย หลี่ซื่อเลยนำเศษเงินทั้งหมดไว้ที่เขาเสียเลย เพื่อให้เขาซื้อของจ่ายเงินได้สะดวก
แต่ความหมายในคำพูดของพี่สาว… คือ้าให้เขาช่วยเจียเซิ่งออกเงินค่าสินสอด ไม่ใช่ยืม... แต่เป็ให้?
สถานการณ์ของสกุลเจี่ยงเขาไม่ทราบแน่ชัด รู้เพียงสกุลเจี่ยงยังไม่แยกบ้านกัน สามพี่น้องและแม้แต่เด็กสิบกว่าคนก็อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน เบียดเสียดวุ่นวาย คิดขึ้นได้ว่าชีวิตความเป็อยู่ผ่านไปไม่ได้มีกินมีใช้เหลือเฟือมาก แต่สกุลเจี่ยงมีที่นาลุ่มสิบหมู่มีนาดอนยี่สิบกว่าหมู่ ไม่ถึงขนาดว่าแม้แต่สินสอดของหลานชายจะเอาออกมาไม่ได้กระมัง แม้ค่าสินสอดนี่จะแพงไปหน่อยก็ตาม
“พี่ใหญ่ เงินของที่บ้านล้วนเป็แม่ของพวกเด็กๆ จัดการ ข้า… ต้องถามนางก่อนถึงจะให้ได้” หูฉางกุ้ยเครียดจนหน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่เงินยี่สิบเหลียงไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย จะบอกว่าให้ก็ให้เลยได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเงินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็เจินจูหามา เขาผู้เป็บิดานี้ไม่สามารถหยิบเงินที่บุตรสาวหามามอบให้ผู้อื่นตามอำเภอใจได้กระมัง
“โธ่ ฉางกุ้ยเอ๋ย เ้าเป็หัวหน้าครอบครัวนะ นางเป็เพียงสตรีผู้หนึ่งจะมีสิทธิ์ว่ากล่าวอะไรเ้าได้ เ้าช่วยพี่ใหญ่หน่อยเถอะ พี่ใหญ่ทุกข์ยากมาครึ่งชีวิต แค่หวังว่าเจียเซิ่งจะสามารถแต่งภรรยาและมีลูกน้อยอ้วนท้วนอย่างสงบสุขได้ หากข้าตายก็นอนตาหลับได้แล้ว…” หูชิวเซียงจับเขาไว้แน่นแล้วขอร้องอย่างเศร้าโศก
นางรู้ว่าน้องชายคนเล็กของตนเองเป็คนซื่อๆ และสุภาพอ่อนโยนที่สุด ขอแค่กล่าวให้เขาซาบซึ้งเข้า เงินนี่ต้องมาถึงมือได้แน่นอน หลี่ซื่อในความทรงจำของนางแต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็คนขี้ขลาดไม่พูดไม่จา แม้ตอนนี้จะพูดจาได้แล้ว นิสัยยังคงเป็เช่นนั้น ไม่กล้าเอ่ยอะไรแน่นอน
หูฉางกุ้ยถูกนางกล่าวใส่จนใจอ่อน ลูบคลำถุงเงินใบเล็กในหน้าอกอย่างไม่รู้ตัว ด้านในยังมีเงินประมาณสิบห้าเหลียง ไม่เช่นนั้นให้พี่ใหญ่ไปสิบเหลียง ถือเป็น้าชายอย่างเขาผู้นี้ให้เงินของขวัญล่วงหน้า
หูชิวเซียงสนใจเขาอยู่ตลอด เห็นเขาลูบส่วนบนของเสื้อ ดวงตานางจึงทอประกาย เห็นมุมด้านหนึ่งของถุงเงินลางๆ ทันใดนั้นใต้เท้าจึงไถลโผเข้าไปหา
“พรึบ” เสียงของถุงเงินสีน้ำเงินหนึ่งใบร่วงหล่นลงมา
หูชิวเซียงเก็บขึ้นมาอย่างว่องไว มือคลึงถุงเงินกะน้ำหนักด้วยมือ ในดวงตาระงับความสุขใจไว้ไม่อยู่
นางเทเงินในถุงเงินใบเล็กออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วยัดถุงเงินเปล่าไปในมือหูฉางกุ้ย
“ฉางกุ้ยเอ๋ย เ้าเป็คนดีมากจริงๆ พี่ใหญ่ต้องขอบคุณเ้าแล้ว เงินนี่ข้าจะรับไว้ แม้จะยังขาดไปหน่อย แต่พี่ใหญ่จะกลับไปรวบรวมก่อน รอให้การแต่งงานกำหนดแน่นอนแล้ว ตอนจัดโต๊ะเลี้ยงเ้าให้ของขวัญไม่ต้องเลิศหรูก็พอ” สองมือหูชิวเซียงกุมเงินไว้แน่น รอยยิ้มเต็มทั่วใบหน้า “เช่นนั้นพี่ใหญ่ไม่ส่งเ้าแล้ว รีบกลับไปทานข้าวเถอะ”
กล่าวจบ หมุนกายสาวเท้าจากไปด้วยจังหวะถี่ยิบ
หูฉางกุ้ยคลึงถุงเงินใบเล็กที่ว่างเปล่าอย่างงุนงง ผ่านไปนานมากจึงดึงสติกลับมาได้
เหมือนว่าเขาไม่ได้รับปากว่าจะให้เงินนางนะ? ทำไมพริบตาเดียวนางก็หยิบเงินในถุงติดมือไปได้?
หูฉางกุ้ยรู้สึกขมฝาดไปทั่วทั้งปาก กลับไปควรชี้แจงกับหลี่ซื่ออย่างไรดี? จะเข้าไปหาหูชิวเซียงเอาเงินกลับมาเขาก็กระดากใจ ลังเลใจอยู่ครึ่งค่อนวัน ทำได้เพียงกลับมาบ้านอย่างไม่มีความสุข
เช้าวันรุ่งขึ้น สายฝนตกปรอยๆ กระจายทั่วท้องฟ้าทำให้วิสัยทัศน์รางเลือน
เวลาอาหารเช้า จิตใจของหูฉางกุ้ยซึมลงนิดหน่อย เขานอนไม่หลับพลิกตัวไปมาทั้งคืน พอฟ้าเกือบสางเพิ่งนอนไปได้ครู่เดียว
เจินจูชำเลืองมอง ในใจยิ่งเยือกเย็นสุขุมขึ้น ตัดสินใจแน่วแน่ว่าทานข้าวเสร็จต้องวิ่งไปบ้านเก่าสกุลหูสักรอบ
หลิ่วฉางผิงยังคงนำทางชาวไร่ชาวนามาขุดหลุมหามดินเหมือนเดิม เนื่องจากรับปากว่าจะทำงานให้เสร็จสิ้นภายในสามวัน ฝนตกปรอยๆ นิดหน่อยนี่แน่นอนว่าไม่มีทางเป็อุปสรรคในการปฏิบัติงาน เวลานี้ทุกคนต่างก็สวมงอบ [1] กระจัดกระจายกันไปใช้พลั่วขุดอย่างเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ครอบครัวหูรีบเร่งขุดสระน้ำสำหรับปลูกรากบัวให้เสร็จ ดังนั้นค่าแรงงานของทุกวันจึงให้เต็มที่สิบห้าเหวิน
งานวันนี้มีเยอะมาก ต้องเตรียมเก็บสะสมน้ำไว้ กองดินที่กองอยู่ข้างริมฝั่งแม่น้ำต้องปลูกพืชผลที่เติบโตช้าลงดินเล็กน้อย มีแปลงผักหลังบ้านที่ยังจัดเก็บไม่เรียบร้อยอีก หูฉางกุ้ยโยนความรู้สึกสับสนวุ่นวายของตนเองทิ้งไปชั่วคราว เมื่อทานอาหารเช้าแล้วหนึ่งวันของทุกคนจึงเริ่มยุ่งกับการทำงานขึ้น
ผิงอันทานอาหารเช้าแล้วจึงแบกกระเป๋าหนังสือใบเล็กขึ้นหลัง หิ้วกล่องข้าวที่หลี่ซื่อเตรียมไว้ให้ และกางร่มกระดาษน้ำมันไปเรียนกับผิงซุ่น
หนึ่งในข้อดีของการอาศัยอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน ก็คือใกล้กับโรงเรียนส่วนตัวในหมู่บ้านต้าวันไม่น้อย ประหยัดเวลาไปเรียนได้มาก
เจินจูสวมงอบหิ้วตะกร้าพร้อมกับอุ้มเสี่ยวเฮยขึ้นและออกจากบ้านไปเช่นกัน
สายฝนโปรยปรายเป็เอกลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ ร่วงลงมาท่ามกลางความเขียวขจีทั่วทั้งูเาเต็มท้องทุ่ง ฝนที่ตกลงมาเหมือนหมอกควันปกคลุมทั่วทั้งหมู่บ้านวั้งหลินให้รางเลือนหนึ่งชั้น ดั่งภาพวาดูเาและสายน้ำธรรมชาติที่อยู่ในบทกลอนหรือภาพวาดก็ไม่ปาน
เจินจูก้าวเท้าหลบเลี่ยงหลุมน้ำขังเล็กๆ ที่ทั้งลึกและตื้นบนถนนลูกรังด้วยความระมัดระวัง ไม่นานก็เห็นชุ่ยจูที่นั่งอยู่ใต้ชายคาบ้านกำลังเย็บพื้นรองเท้าอยู่
“พี่รอง” เจินจูยิ้มแล้วดันประตูลานเปิดออก
“เจินจู ฝนตกอยู่เลย มาทำอะไรหรือ?” ชุ่ยจูวางพื้นรองเท้าในมือลงแล้วยืนขึ้น
“อืม อีกเดี๋ยวต้องไปดูกระต่ายที่บ้านเก่าด้วย ทำไมมีท่านอยู่คนเดียว ท่านย่ากับท่านปู่เราล่ะ?” เดินเข้ามาใต้ชายคาและปล่อยเสี่ยวเฮยลง เจินจูถามอย่างแปลกใจ
“ท่านย่าไปส่งท่านป้าใหญ่ ท่านพ่อเลยใส่เกวียนวัวบอกว่าจะไปส่งคนในเมือง ท่านปู่ว่างไม่ได้เลยไปตัดหญ้าในที่นาแล้ว” ชุ่ยจูนั่งยองลงบนพื้น ลูบเสี่ยวเฮยยิ้มตาหยี แมวตัวนี้ที่เจินจูเลี้ยงน่ารักจริงๆ น่าเสียดายไม่ค่อยให้คนอุ้ม
เจินจูชะงักงัน “ท่านป้าใหญ่กลับไปเร็วเพียงนี้?”
“เร็วอะไรกันล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่มาสามสี่วันแล้วหรือ เมื่อก่อนพวกนางมาอยู่แค่วันเดียวก็กลับไปแล้ว” ชุ่ยจูลูบเสี่ยวเฮย มุ่ยปากขณะบ่นพึมพำ “ควรกลับไปตั้งนานแล้ว เ้าน่ะไม่รู้ เจี่ยงเสี่ยวเหยี่ยนผู้นั้นน่ารำคาญมากเพียงใด ทุกวันไม่ช่วยทำงานอะไรทั้งสิ้น รู้จักแต่ประจบกล่าวเยินยอท่านปู่กับท่านย่า แล้วยังวิ่งเข้าไปรื้อเสื้อผ้าและเชือกผูกผมในห้องข้าอีกด้วย”
“…ทำไมเร่งรีบกลับไปเช่นนั้น? ที่บ้านยังไม่ทันได้มอบของขวัญตอบแทนให้ท่านป้าใหญ่เอากลับไปสักหน่อยเลย” ไม่ใช่ว่าโหยหากระจกทองแดงบานใหม่ของครอบครัวนางหรือ? ทำไมจากไปอย่างเงียบเชียบไม่บอกกล่าวเช่นนี้
“ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อวานตอนเที่ยงท่านป้าใหญ่ยังบอกว่าอยากอยู่ต่ออีกหลายวันอยู่เลย พอเช้าวันนี้กลับบอกว่า ให้ท่านพ่อใส่เกวียนวัวไปส่งพวกนางนั่งเกวียนในเมือง” ชุ่ยจูหยัดกายขึ้น หยิบเก้าอี้หนึ่งตัวจากในบ้านออกมาเรียกให้เจินจูนั่งลง “ท่านย่าตัดผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดหลายชิ้นให้พวกนาง ท่านป้าใหญ่หัวเราะจนดวงตากลายเป็รอยเย็บ กอดห่อของใบใหญ่ขึ้นเกวียนวัวไปด้วยความเบิกบานใจ แล้วยังกล่าวกับท่านย่าว่ารีบเร่งเดินทางเลยไม่ไปอำลาที่บ้านเ้า ให้ท่านย่าบอกพวกเ้าสักหน่อย”
“เมื่อเย็นท่านป้าใหญ่ได้คุยอะไรกับท่านพ่อข้าหรือไม่?”
“ไม่เห็นว่าคุยนะ แค่ท่านป้าใหญ่ออกไปส่งท่านอารองที่ประตูลานบ้าน หายไปครู่หนึ่งถึงกลับมาทานข้าว”
ดูเช่นนี้แล้วเมื่อเย็นวานหูชิวเซียงเพิ่งจะเปลี่ยนความคิด รุ่งสางไม่มาทักทายสักหน่อยก็หนีไปแล้ว เจินจูนึกถึงสีหน้าท่าทางทุกข์ใจของผู้เป็บิดาขึ้นมา สองอย่างไม่เกี่ยวข้องกันสิถึงจะแปลก
“ข้าไม่นั่งอยู่นี่แล้ว ท่านอาหงซานมีประสบการณ์เลี้ยงกระต่ายไม่มากพอ ข้าต้องไปดูเสียหน่อย” หูฉางกุ้ยมีปัญหากลับไม่เอ่ยปาก เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมบอกนาง เช่นนั้นทำได้เพียงรอให้หวังซื่อกลับมาค่อยว่ากัน ไปกลับในเมืองรอบหนึ่งอย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งวัน นางควรทำงานที่ควรทำให้เสร็จก่อนดีกว่า
“อ้อ เช่นนั้นเ้าไปเถอะ ข้ายังต้องอยู่บ้านดูแลท่านแม่ ไม่ไปเป็เพื่อนเ้าแล้วนะ” เหลียงซื่ออายุครรภ์มากแล้ว ที่บ้านต้องมีคนคอยดูแลทุกเมื่อ
“ท่านป้าสะใภ้ไปไหนแล้ว?” นางพูดคุยอยู่ตั้งนานยังไม่เห็นเงาของเหลียงซื่อเลย
ชุ่ยจูพยักพเยิดคางไปทางซ้ายพร้อมกับกระซิบ “ท่านย่าตัดผ้าให้ท่านป้าใหญ่เยอะมาก ท่านแม่โกรธจนไม่ออกมาจากบ้านทั้งเช้าเลย”
“…” เป็เื่ที่เหลียงซื่อจะทำขึ้นได้จริงๆ นั่นแหละ นางเม้มปากหัวเราะ
กองโคลนถนนลูกรังในวันที่ฝนตก เจินจูอุ้มเสี่ยวเฮยเดินอยู่บนถนนไปทางท้ายหมู่บ้านอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่ถึงกลับเชื่องช้า
“เถียนกุ้ยจือ! เ้าฟังให้ดี หากเ้าไปหาแม่สื่อหวังในเมืองผู้นั้นอีก ข้าจะตีขาของเ้าให้หักเลย”
เสียงกระโชกโฮกฮากตำหนิอย่างโเี้แว่วออกมาจากบ้านด้านข้าง
เจินจูหยุดฝีเท้าด้วยความประหลาดใจ หันไปมองแหล่งที่มาของเสียง
ที่แท้นางผ่านหน้าบ้านของเถียนกุ้ยจือพอดีนี่เอง
“จ้าวป่านเติ้ง เ้ามันลูกหลานตะพาบน้ำ นอกจากตบตีผู้หญิงแล้วเ้ายังทำอะไรได้อีก ข้าไปหาแม่สื่อหวังไม่ใช่เพื่อให้ไฉ่สยาของพวกเราได้แต่งงานดีๆ หน่อยหรือ มีหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียงไหนที่มีครอบครัวดีๆ บ้าง ลงพื้นที่ทำนาทุกวันทานรำข้าวกลืนผัก ข้าแค่ไม่อยากให้ลูกสาวใช้ชีวิตเหนื่อยเช่นข้า นี่… นี่ไม่ใช่ว่าคิดถึงวันข้างหน้าของนางหรือ” เถียนกุ้ยจือร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็ระยะอยู่ในบ้าน
“ไร้สาระ! สกุลจ้าวของข้าทำให้เ้าหิวหรือหนาวเย็นไม่อบอุ่นพอหรือ เ้าถึงเอ่ยว่าเ้าใช้ชีวิตเหนื่อยได้อย่างไม่กระดากใจ งานในที่นาเ้าเคยทำสักกี่วันกัน? แต่ละวันวิ่งออกไปข้างนอกไม่อยู่บ้าน คุ้ยเขี่ยเื่ของครอบครัวผู้อื่นมาเอ่ยถึงซ้ำไปซ้ำมา หมูของครอบครัวตัวเองหิวจนร้องโอดครวญ คนเขาเลี้ยงหมูหนึ่งปีได้สองร้อยกว่าชั่ง หมูบ้านเราร้อยห้าสิบชั่งยังไม่ถึงเลย เ้าว่ามาสิ ว่าเ้าทำอะไรบ้าง? หะ? ทำอะไรบ้าง?” ประโยคสุดท้ายตามมาด้วยเสียงตบโต๊ะติดๆ กัน “ปึงๆๆ”
“ข้า… ข้า นี่ไม่ใช่ว่าร่างรายไม่แข็งแรงหรือ จะว่าไปข้าคลอดบุตรชายเลี้ยงบุตรสาวให้สกุลจ้าวของเ้ายังไม่พอ ยังเป็วัวเป็ม้า [2] อีกไม่ใช่หรือ ฮึ จ้าวป่านเติ้ง เ้าช่างไร้คุณธรรมนัก ข้าแต่งงานกับเ้าได้ใช้ชีวิตให้ดีเพียงไม่กี่วัน และไม่ใช่ใช้เงินของเ้าจ่ายไปแค่สองเหลียงเองหรือ? ไม่ใช่ว่าจ่ายออกไปเพียงเพื่อตนเองเสียหน่อย เ้ายังทุบตีข้าจนกลายเป็เช่นนี้อีก ดีๆ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว เ้าตีข้าให้ตายไปเลย”
“โธ่เอ๋ย เ้าโผเหนียงผู้นี้ อย่าข่วนหน้าข้า!”
เสียงปึงปังๆ ในบ้านดังแว่วออกมา
“ท่านพ่อ ท่านอย่าตีท่านแม่เลยเ้าค่ะ”
“ท่านแม่ ท่านอย่าทำอย่างนี้นะเ้าคะ~”
“…”
ประตูบ้านไม่ได้สลักกลอนไว้ เจินจูเขย่งเท้ามองเข้าไปข้างใน เถียนกุ้ยจือก่อกวนจ้าวป่านเติ้งด้วยการข่วนใบหน้าของเขาอย่างโมโห ส่วนจ้าวป่านเติ้งก็หลบซ้ายขวา ผลักนางออกไปอย่างแรงเป็ระยะๆ จ้าวไฉ่สยาและจ้าวไฉ่เฟิงดึงสองคนไว้ บุตรชายคนเล็กอายุเก้าปีนั่งอยู่บนเตียงอิฐด้านหนึ่งใจนตัวแข็งทื่อ
ผ่านไปพักหนึ่ง เถียนกุ้ยจือถึงได้หยุดมือและหอบหายใจฮืดฮาด นั่งลงบนพื้นตบต้นขาร้องไห้เสียงดัง “ทำไมชีวิตข้าทุกข์ยากเพียงนี้ แต่งให้ชายที่ไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง รู้จักแต่ตีภรรยาแสดงอำนาจ ลูกสาวที่น่าเวทนาของข้า แม่อยากหาครอบครัวดีๆ ให้เ้า นี่แม่ทำผิดหรือ? เ้าคนเลวผู้นี้ เ้ามีความสามารถก็ไปหาครอบครัวดีๆ ให้ไฉ่สยาสิ ทรมานข้าเช่นนี้นับว่าเป็ความสามารถอะไรกัน เ้าลูกวัวเหี่ยวแห้งนี่ ไร้มโนธรรม ใจจืดใจดำนัก…”
เสียงด่าทอเต็มไปด้วยความโกรธ ดูท่าเถียนกุ้ยจือจะไม่ได้เป็อะไรมาก เจินจูหัวเราะแล้วส่ายหน้า อุ้มเสี่ยวเฮยเดินต่อไปข้างหน้าอย่างรำคาญเล็กน้อย
ในบ้านเก่า ติงซื่อกับตงเซิ่งก็อยู่ด้วย...
“เจินจู ฝนตกอยู่ทำไมยังวิ่งออกมาล่ะ?”
เสียงของติงซื่อไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย นางมาช่วยจ้าวหงซานเก็บกวาดบ้าน จึงถือโอกาสช่วยทำอาหารกลางวันไปด้วยเลย นางกลัวเจินจูจะเข้าใจตัวเองผิดไป ว่าพาตงเซิ่งมาทานเสบียงอาหารของจ้าวหงซาน
“อาสะใภ้ ตงเซิ่ง พวกท่านมาแล้วหรือเ้าคะ” เจินจูยิ้มแล้วทักทาย ถือโอกาสปล่อยเสี่ยวเฮยลงไปทางพื้นสะอาด มันก้าวเร็วๆ อยู่ไม่กี่ก้าวก็ไม่เห็นเงาแล้ว
“พี่เจินจู” ตงเซิ่งทักทายอย่างเอียงอาย
ปีนี้เขาอายุสิบปี ในวันธรรมดาสนิทสนมกับผิงซุ่นอย่างมาก เครื่องหน้าประณีตชัดเจน หน้าตาคล้ายคลึงกับจ้าวหงยู่อยู่หกส่วน คาดว่าเติบโตไปแล้วคงเป็หนุ่มหล่อขั้นเดือนหมู่บ้าน [3] คนหนึ่งเลย
เชิงอรรถ
[1] งอบ คือ หมวกสานทรงคล้ายกระจาดคว่ำ สำหรับกันแดดและฝน ทำโดยใช้ตอกไม้ไผ่สานเป็โครงแล้วกรุด้านนอกด้วยใบลาน ตรงกลางด้านในสานเป็รังกลมๆ สำหรับสวมหัว
[2] เป็วัวเป็ม้า หมายถึง แรงงานที่ถูกกดขี่ ใช้แรงงานหนักเหมือนวัวเหมือนม้า
[3] เดือนหมู่บ้าน หมายถึง ผู้ชายที่หล่อที่สุดในหมู่บ้าน