บทที่ 46 นี่มันพวกโรคจิตอะไรกันเนี่ย
ในนิยายกล่าวไว้ว่าหลังจากนั้นหวงรุ่ยเซิงได้กลับเข้าเมืองไป และไม่ได้พาตัวสวี่เจวียนเจวียนไปด้วย
สวี่เจวียนเจวียนเองก็ไม่ใช่ย่อย ไม่รู้ไปสืบที่อยู่ของหวงรุ่ยเซิงมาจากไหน ถึงขนาดแอบปีนขึ้นรถไฟพาลูกคนโตของสวี่จือจือไปถึงเมืองหลวงเพื่อตามหาหวงรุ่ยเซิง โชคดีที่อีกฝ่ายตามหาเขาจนเจอ
แต่แน่นอนว่าครอบครัวหวงไม่มีทางยอมรับผู้หญิงบ้านนอกที่ไม่รู้หนังสือสักตัวมาเป็ลูกสะใภ้ของพวกเขาได้ ยิ่งตอนนั้นหวงรุ่ยเซิงก็กำลังดูตัวกับผู้หญิงที่เหมาะสมกันอยู่พอดี
ถึงแม้ว่าหวงรุ่ยเซิงจะเป็คนเ้าชู้ แต่เขาก็มีฝีมือในด้านการค้าขายและยังกล้าได้กล้าเสีย ฉวยโอกาสใน่ที่ประเทศเริ่มเปิดรับการค้าเสรี จนกลายเป็คนกลุ่มแรกๆ ที่ได้ลิ้มรสความสำเร็จ
ต่อมาหวงรุ่ยเซิงก็ได้ให้สวี่เจวียนเจวียนมาเป็เมียน้อยของเขาที่เมืองหลวง เหมือนว่าหลังจากนั้นเขายังเคยตามหาเ้าของร่างเดิมอีกด้วย ว่ากันว่าสาเหตุที่เขารับลูกสาวบุญธรรมมาเลี้ยงก็เป็เพราะว่าลูกสาวคนนั้นหน้าตาเหมือนกับเ้าของร่างเดิมมาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้สวี่จือจือก็อดที่จะขนลุกซู่ไม่ได้ ฝีเท้าของเธอเร่งเร็วขึ้น นี่มันพวกโรคจิตอะไรกันเนี่ย!
วันต่อมา เดิมทีเธอไม่ได้อยากจะให้ลู่จิ่งซานมาส่งที่บ้าน แต่พอคิดว่ามีโอกาสที่จะเจอพวกโรคจิตพวกนั้นได้ ตอนที่ลู่จิ่งซานเข็นจักรยานมาถึง เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะะโขึ้นซ้อนท้าย
อันที่จริงเธอเองก็อาจจะไม่ทันสังเกตว่าเธอเชื่อใจและพึ่งพาลู่จิ่งซานมากแค่ไหน ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันในเวลาสั้นๆ สิบกว่าวัน
ตอนที่รถจักรยานแล่นผ่านสะพานเล็กๆ ใบหน้าของสวี่จือจือก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
เธอจำคำพูดที่เคยพูดกับลู่จิ่งซานในวันนั้นได้ แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ ลู่จิ่งซานที่ปั่นจักรยานอยู่ข้างหน้าก็กำลังคิดถึงเื่ราวในวันนั้นเหมือนกัน
เด็กสาวะโลงจากรถด้วยความโมโห แล้วบอกกับเขาอย่างจริงจังว่า ‘ในใจฉันไม่มีใครทั้งนั้น’
“สวี่จือจือ” ลู่จิ่งซานเรียกชื่อเธอขึ้นมา
“หา?” สวี่จือจือที่ยังจมอยู่กับความหงุดหงิดในความใจร้อนและซุ่มซ่ามของตัวเอง ตอบรับด้วยความงุนงง
ก็ได้ยินลู่จิ่งซานพูด “ในใจผมก็ไม่มีใคร”
“คุณว่าอะไรนะ?” สวี่จือจือชะงักไป ริมแม่น้ำมีเด็กหลายคนกำลังเล่นน้ำและสาดน้ำใส่กัน เสียงดังไปหน่อย ทำให้เสียงของลู่จิ่งซานเบาลง
“เปล่า” ลู่จิ่งซานถอนหายใจในใจ
เมื่อกี้เขารู้สึกอยากจะบอกกับสวี่จือจือว่า ในใจเขาไม่มีใคร และเขาก็คิดอย่างจริงจังที่จะคบหากับเธอ แต่พอถูกขัดจังหวะแบบนี้ คำพูดเมื่อครู่ก็พูดไม่ออกเสียแล้ว
“คุณว่าคืนนี้ริมตลิ่งจะมีกุ้งฝอยไหม?” สวี่จือจือมองไปที่แผ่นหินสำหรับซักผ้าที่วางอยู่ริมสะพาน
เธอจำได้ว่าตอนเด็กๆ ที่หมู่บ้านก็มีแผ่นหินแบบนี้เหมือนกัน ตอนหน้าร้อนพวกเขาจะพกไฟฉายไปส่องหากุ้งฝอยบนแผ่นหิน พอส่องไฟฉายไปที่แผ่นหิน กุ้งฝอยในแม่น้ำก็จะพากันไต่ขึ้นมาเหมือนมีตา
ตอนที่พวกเขาออกมาจากบ้านวันนี้ก็กลัวว่ากลับมาจะมืดค่ำ เลยพกไฟฉายไปด้วย
“เดี๋ยวกลับมาลองดูกัน” ลู่จิ่งซานกล่าว
รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่จือจือก็ยิ่งกว้างขึ้น รู้สึกว่าการตัดสินใจกลับมาพร้อมกับเขานั้นช่างเป็การตัดสินใจที่ชาญฉลาดเสียจริง
ความรู้สึกดีๆ แบบนี้ยังคงอยู่จนกระทั่งเธอมาถึงบ้านตระกูลสวี่
“ปู่แกป่วย” หวังซิ่วหลิงบอก “หมอบอกว่าอาการไม่ค่อยดี ต้องไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ”
ในใจของสวี่จือจือกระตุกวูบ
ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่เคยเจอหน้าคุณปู่สวี่เลยั้แ่ที่เธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้ และรู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้เป็ของเ้าของร่างเดิม แต่ในความทรงจำตอนเด็กๆ ของเ้าของร่างเดิม
คุณปู่สวี่ดีกับเธอมาก คอยสอนเธออ่านหนังสือ มีอะไรอร่อยๆ ก็จะแอบเอามาให้เธอ
“หมอคนไหนบอก?” สวี่จือจือถาม “ใช่หมอจางหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่” หวังซิ่วหลิงบอก “ก็หมอเติ้งในหมู่บ้านเรานั่นแหละ”
“หมอเติ้ง?” สวี่จือจือรู้สึกสงสัย “นั่นมันหมอเถื่อนไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมถึงรู้ว่าปู่หนูป่วยหนัก?”
“แกหมายความว่ายังไง?” หวังซิ่วหลิงพูดด้วยความไม่พอใจ “เอาล่ะ เรียกแกมาไม่ได้จะมาเถียงกันเื่พวกนี้”
“อาการป่วยของปู่แก ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ค่าตรวจก็ไม่ถูก” หวังซิ่วหลิงบอก “ปู่แกรักแกมาั้แ่เด็ก ตอนนี้เขาป่วย แกก็ควรจะออกเงินให้เขาหน่อย”
“เื่เงินหนูต้องออกให้อยู่แล้ว” สวี่จือจือกล่าว “หนูขอไปดูคุณปู่ก่อน”
“แกพูดแบบนี้ก็ดี” หวังซิ่วหลิงกล่าว “แล้วเมื่อไหร่แกจะเอาเงินมาให้ล่ะ พวกเราจะได้พาปู่แกไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ”
หา?
สวี่จือจือยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
“แม่ว่าอะไรนะ?” สวี่จือจือไม่ค่อยอยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
ดังนั้นหากเธอไม่เอาเงินมาให้ พวกเขาก็จะไม่พาคุณปู่สวี่ไปหาหมออย่างนั้นเหรอ? นี่มันยังเป็คนอยู่หรือเปล่า?!
“ผมจะไปดูคุณปู่เป็เพื่อนคุณก่อน” ลู่จิ่งซานบอก
สวี่จือจือพยักหน้าทั้งน้ำตาคลอ
ทั้งสองคนไปที่บ้านของคุณปู่คุณย่า พอไปถึงก็ได้ยินเสียงไอโขลกมาแต่ไกล ในใจของสวี่จือจือกระตุกวูบ
ไอขนาดนี้แล้วยังไม่ไปโรงพยาบาลอีกเหรอ?
สองสามีภรรยาเฒ่าไม่นึกว่าสวี่จือจือจะมาพร้อมกับสามี ทั้งกลัวว่าจะเอาโรคไปติดสวี่จือจือ ก็รีบบอกว่า “พวกหลานสองคนไม่ต้องเข้ามา ยืนดูอยู่ตรงหน้าประตูก็พอแล้ว”
“ปู่ไม่เป็อะไรหรอก พ่อหลานเอายามาให้แล้ว กินอีกสองห่อก็คงจะดีขึ้น...แค่กๆ...” คุณปู่สวี่พูดพลางไอไปด้วย
“ไม่เป็อะไรทำไมไม่ให้หนูเข้าไปคะ?” สวี่จือจือพูดทั้งน้ำตา “ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้แล้ว ไอขนาดนี้แล้ว ไปโรงพยาบาลประจำอำเภอกันเถอะค่ะ”
“ปู่ไม่เป็อะไร” คุณปู่สวี่ทำหน้าดุ “พวกหลานแวะมาเยี่ยมแค่นี้ ปู่ก็ดีใจแล้ว แค่กๆ...เชื่อปู่นะ รีบ...แค่ก...กลับไปที่บ้านสามีของหลานเถอะ”
แต่สวี่จือจือกลับไม่สนใจคำพูดของเขา เธอเดินเข้าไปในบ้าน ยกเก้าอี้ขึ้นเพื่อที่จะเอื้อมไปหยิบกระป๋องบนตู้ไม้ แต่ก็ยังเอื้อมไม่ถึง ทำให้รู้สึกท้อแท้ขึ้นมา
เมื่อกี้เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เ้าของร่างเดิมแอบซ่อนเงินไว้ที่บ้านคุณปู่คุณย่า โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้
“คุณกำลังหาอะไรอยู่” ลู่จิ่งซานยืนอยู่ข้างหลังเธอ เอื้อมแขนเรียวยาวไปหยิบกระป๋องที่เธอ้าลงมา “นี่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้วๆ” สวี่จือจือรับกระป๋องมาด้วยความตื่นเต้น เอามาวางบนโต๊ะแล้วคว่ำลง “อันนี้แหละ”
แกร็ก
เงินข้างในกระป๋องไหลออกมา มีทั้งเหรียญสตางค์ และธนบัตรที่ม้วนเป็ก้อน กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ
เป็เงินที่เ้าของร่างเดิมเก็บสะสมเอาไว้ กะคร่าวๆ แล้วมีอยู่สิบกว่าหยวน
“ไปค่ะ ไปอำเภอกัน” เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อเงินเอาไว้ แล้วยิ้มให้กับสองสามีภรรยาเฒ่าที่ยืนอึ้งอยู่ “มีเงินแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”
เธอเช็ดใบหน้าที่ไม่รู้ว่าเป็น้ำตาหรือเหงื่อ เพราะเมื่อครู่ที่จับกระป๋อง มือของเธอเปื้อนขี้เถ้า พอเช็ดหน้าก็เลยมีรอยดำๆ ติดหน้าเพิ่มมา
“เด็กคนนี้...เอาเงินพวกนี้ไปซ่อนไว้เมื่อไหร่กัน?” โจวซื่อถามด้วยความงุนงง
“คุณย่าไม่ต้องห่วง” สวี่จือจือหัวเราะคิกคัก “คุณย่าไปเก็บข้าวของให้คุณปู่ หนูจะไปหาหัวหน้ากองงานเพื่อขอจดหมายแนะนำ แล้วไปขอยืมรถลากที่บ้านคุณลุงใหญ่”
“ผมไปเอง” ลู่จิ่งซานบอก “คุณเก็บของอยู่ที่บ้านเถอะ”
“ขอบคุณนะ” สวี่จือจือพูดด้วยความซาบซึ้งใจ เธอเหมือนเป็หนี้เขามากขึ้นเรื่อยๆ เลย
ลู่จิ่งซานมองเธอแวบหนึ่ง คิดว่าเธอกำลังเป็ห่วงอาการป่วยของคุณปู่ “ไม่ต้องห่วงนะ คุณปู่จะไม่เป็อะไร”
เขายื่นมือออกไปหมายจะลูบศีรษะเธอ แต่ก็รู้สึกว่ามันคงไม่เหมาะสม สุดท้ายก็ต้องควบคุมตัวเองเอาไว้
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้