อนงค์นั่งหั่นตะไคร้และปอกกระเทียมอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้านมาั้แ่เช้า ขณะเดียวกันก็คอยเหลือบตาแลมองไปออกไปที่ถนนหน้าบ้านอยู่บ่อยครั้ง รอการกลับมาของสองพ่อลูกอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งห่วงและกังวลใจกลัวผลออกมาไม่เป็ดั่งหวัง นั่งกระวนกระวายใจอยู่จนถึงเก้าโมงเช้า ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์คุ้นหูดังมาแต่ไกล เธอก็เผยรอยยิ้มออกมา ถึงจะยังไม่เห็นรถแล่นอยู่เบื้องหน้า แต่เสียงเครื่องยนต์แบบนี้เธอจำได้ขึ้นใจ สองพ่อลูกกลับมาแล้ว กลับมาไวกว่าที่เธอคิดไว้มาก
เมื่อมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของสองพ่อลูกที่ส่งมาให้ เธอก็รู้ได้โดยทันทีว่าวันนี้ต้องขายดีแน่นอน แต่เห็นใบหน้าที่แดงก่ำ คราบเหงื่อไคลที่เกาะอยู่ตามไรผมของทั้งสองคนแล้ว เธอก็รู้สึกปวดใจอยู่ไม่น้อย จึงรีบเทน้ำใส่แก้วใบโตยื่นให้ทั้งสองพ่อลูกดื่มดับกระหาย
หลังจากดื่มน้ำแล้วอนงค์กานต์ถึงกับล้มตัวนอนแผ่หลาอยู่บนแคร่ ไม่เคยรู้สึกล้าหนักแบบนี้มานานแล้ว
อนงค์เข้ามาลูบเนื้อลูบตัวของลูกสาวด้วยความเป็ห่วง "นิดไหวไหมลูก ทำไมเหนื่อยหนักได้ขนาดนี้"
"พี่ก็ด้วย ดูสิ คราบเหงื่อเต็มเลย ไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนดีกว่า ของนี่ค่อยมาเก็บทีหลังได้"
"แม่จ๋า แม่จะไม่ถามหน่อยเหรอ ว่าวันนี้ขายเป็ยังไง" อนงค์กานต์เตรียมตัวคุยอวดอย่างเต็มที่
"เห็นพากันยิ้มกว้างกลับมาแม่ก็รู้แล้วว่าขายดี" อนงค์ดักคอ "มีอะไรค่อยเล่าหลังจากกินข้าวแล้ว ตอนนี้รีบไปอาบน้ำก่อน ใส่เสื้อชื้นเหงื่อแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอา" ทั้งสองเดินขึ้นบ้านไปอย่างเชื่อฟัง ขณะที่อนงค์เข้าไปอุ่นอาหารให้ทั้งสองพ่อลูกในครัว
"ถ้าขายดีทุกวัน อีกหน่อยลูกสาวเราก็จะกลายเป็เศรษฐีนีสาวแล้วนะพี่" อนงค์พูดกระเซ้ากับสามี ขณะที่อนงค์กานต์นั่งหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี
เช้านี้เตรียมไก่ไป 80 ชิ้น หักออก 6 ชิ้นสำหรับตามภาภรณ์และชิมฟรีหน้าร้าน เหลือขาย 74 ชิ้น เป็เงิน 740 บาท จ่ายค่าไก่และค่าแป้งที่ซื้อเพิ่มไป 300 บาท ตอนนี้เหลือกำไรเบ็ดเสร็จถึง 440 บาท ทำเอาทุกคนหน้าบ้านเป็จานเชิง กานต์และอนงค์กานต์หายเหนื่อยเป็ปลิดทิ้ง
"กำไรดีกว่าก๋วยเตี๋ยวของแม่มากเลย ยอดขายวันเดียวเท่ากับแม่ขาย 3 วันเลยนะ"
"นั่นสิ พอขายครบเดือนจะเท่ากับพี่ทำงานสามเดือนเลย" กานต์ด้วยน้ำเสียงอิจฉาหน่อย ๆ อนงค์กานต์ได้ยินก็ยืดอก ยกคางด้วยความลำพองใจ อนงค์หัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของลูกสาว
"นิดคิดไว้รึยังจะเอาเงินที่ได้ไปทำอะไร?" กานต์ถามขึ้นมา อนงค์เองก็สนใจเช่นกัน พวกเขาทั้งคู่รู้ว่าลูกสาวมีเป้าหมายอะไรบางอย่างแน่ ๆ แต่ก็ไม่เคยได้ถามมาก่อน
"นิดคิดไว้แล้วจ้ะ พ่อกับแม่" ก่อนลังเลเล็กน้อย "แต่ขอยังไม่บอกตอนนี้นะคะ รับรองไม่ใช่เื่ไม่ดี หรือเื่ที่ทำให้คนเดือดร้อนแน่นอน" พลางยกนิ้วสาบานท่าลูกเสือ
กานต์โยกหัวลูกสาวไปมาด้วยความเอ็นดู "หัดมีความลับกับพ่อแม่นะเรานี่"
"แต่เมื่อใดที่นิดพร้อมจะบอกพ่อกับแม่แล้ว นิดขออย่างหนึ่งได้ไหมจ๊ะ" พลางส่งแววตาอ้อนอยู่ในทีมาให้ "ขอพ่อกับแม่อย่าห้ามนิด และช่วยสนับสนุนนิดด้วยนะคะเมื่อถึงตอนนั้น" สองสามีภรรยาชะงักและนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กัน หลังจากนั้นอนงค์พยักพเยิดไปทางสามี แม้จะไม่มีการพูดคุย แต่อยู่กันมาสิบกว่าปี เขาจะไม่รู้ใจภรรยาได้อย่างไร
"พ่อกับแม่รับปาก! แต่…พวกเราก็ขอนิดอย่างหนึ่งเช่นกันนะ" อนงค์กานต์มองตรงมาอย่างรับฟัง "ไม่เฉพาะเื่ที่นิดขอในตอนนี้ แต่เื่อื่น ๆ ในอนาคตด้วย ไม่ว่านิดคิดจะทำอะไร บอกให้พ่อกับแม่ได้รับรู้ด้วยนะลูก ไม่ว่าจะดีหรือร้าย พวกเราพร้อมสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือลูกทุกเื่แน่นอน" กานต์พูดหนักแน่น ส่วนอนงค์ก็พยักหน้ายืนยันให้ลูกสาวเห็นเช่นกัน
อนงค์กานต์ผงกหัวหงึกหงึกและรับปากเสียงมั่น มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลยแม้แต่น้อย เธอชอบความรู้สึกที่ถูกคนรักและห่วงใยแบบนี้มาก หลังจากที่เธอได้ย้อนกลับมา เธอก็สัญญากับตัวเองมาตลอดแล้วว่า ต่อไปพ่อและแม่จะมีส่วนร่วมในทุก่เวลาของชีวิตที่เหลือของเธออย่างแน่นอน
"เอาล่ะ ในเมื่อพวกเราต่างฝ่ายต่างได้รับคำมั่นแล้ว ตอนนี้เราก็ไปเตรียมไก่สำหรับขายพรุ่งนี้ดีไหม" อนงค์เอ่ยชักชวนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม "เสร็จไว ่บ่ายจะได้มีเวลานอนพักเอาแรงกันทั้งสองคน" พลางลุกขึ้นและจูงมือลูกสาวเดินนำเข้าไปในครัว
