เสี่ยวชิงกำลังยุ่งอยู่กับการต้มน้ำในหม้อใบใหญ่ เมื่อนางหันกลับมาเห็นสิ่งนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ไอ๊หยา พี่ติงวันนี้พี่ไม่ทำเปี่ยนฉือ [1] รูปทรงดอกไม้แล้วหรือ เหตุใดสิ่งนี้หน้าตาเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยวไม่มีผิด ช่างสวยเกินไปแล้ว!”
ติงเหว่ยไม่ค่อยคุ้นชินกับการเรียกว่า ‘เปี่ยนฉือ’ นางจึงพูดแก้ไขให้ถูกต้องว่า “ข้าชอบเรียกสิ่งนี้ว่าเจี่ยวจือ [2] มากกว่า วันนี้จะทำซานเซียน [3] เจียวจื่อ แต่่นี้ข้ากินปลากินกุ้งไม่ลงเพราะกลิ่นคาว เดี๋ยวอีกสักพักเ้าช่วยชิมรสชาติให้ข้าหน่อย”
“เ้าค่ะ” เสี่ยวชิงยิ้มแย้มแจ่มใส เวลานางทำงานในครัวแล้วสิ่งที่นางชอบมากที่สุดคือการได้ “ลองชิมรสชาติอาหาร” นางได้กินอาหารอร่อยๆ หลายอย่างที่เมื่อก่อนไม่กล้าแม้แต่จะคิด ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ในบ้านหลังนี้ต่างก็มีคนไม่น้อยที่อิจฉางานที่ดีของนาง
เมื่อก่อนจ้าวหรงเองก็เคยกินเปี่ยนฉืออยู่บ่อยครั้ง ทั้งหมดล้วนทำในร้านอาหารที่ซินเจียง ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เขายังจำกลิ่นคาวของมันได้ดี พอออกไปข้างนอกแล้วลมพัดมาก็รู้สึกเหมือนมีน้ำมันแกะเคลือบอยู่ชั้นหนึ่งในลำไส้ของเขา คงไม่ต้องพูดว่าจะน่าคลื่นเหียนมากขนาดไหน
ทว่าั้แ่เขาเข้ามาในบ้านสกุลอวิ๋น เขาก็เห็นติงเหว่ยทำมันอยู่บ่อยครั้ง พูดตามตรงเขาก็อยากลองทำเหมือนกัน แต่เขาก็วางศักดิ์ศรีไม่ลง ดังนั้นจึงได้แต่อึดอัดในใจครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาจิบชาเข้าปากเสียงดังและเสียงคำรามจากจมูกของเขาก็ดังขึ้นไปอีก นายน้อยสกุลอวิ๋นก็แค่อยากลองอะไรแปลกใหม่ อย่างไรก็ต้องมีวันที่เขาจะกินจนเลี่ยน พอถึงตอนนั้นข้าจะคอยดูว่าสตรีไร้ยางอายผู้นี้จะยังมีที่ยืนในห้องครัวต่อไปได้อย่างไร
ติงเหว่ยไม่ใช่คนหูหนวก ดังนั้นนางต้องได้ยินเสียงคำรามนั้นอยู่แล้ว นางเลิกคิ้วขึ้นอย่างเฉยเมย และในที่สุดก็เอาเจี่ยวจือที่ห่อไว้ทั้งหมด 20 ตัว ลงไปต้มในหม้อที่มีน้ำเดือด
เพียงเวลาไม่นานห่านขาวตัวน้อยๆ แต่ละตัวก็กลิ้งไปกลิ้งมาภายในหม้อน้ำอย่างอิสระ รอจนฟองน้ำเดือดปุดๆ ขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่าห่านขาวตัวน้อยๆ ก็ถูกตักออกมาและวางใส่ในจานกระเบื้องลายดอกไม้สีครามใบหนึ่ง
เสี่ยวชิงรีบล้างมือของนางอย่างรวดเร็วและรับถ้วยกระเบื้องใบเล็กไปจากมือของเหว่ยเอ๋อร์ ในถ้วยใบนั้นมีเจี่ยวจือสองชิ้นกำลังรอให้นางลิ้มรส ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย ทันทีที่หยิบใส่ปากนางก็ถูกเอาชนะอีกครั้ง นางส่ายศีรษะเล็กๆ ของนางไปมาพร้ะโกนอย่างสุดแรงว่า “อร่อยมาก อร่อยเกินไปแล้ว”
ติงเหว่ยหัวเราะพลางเคาะหน้าผากของนาง แล้วหันหลังไปผสมถั่วงอกและผักป่าที่ลวกไว้ก่อนหน้านี้กับน้ำมันฮวาเจียว เต้าหู้นุ่มๆ ถูกหั่นออกเป็ชิ้นๆ คลุกกับต้นหอมเล็กๆ ที่เพิ่งงอกใหม่ หลังจากนั้นก็ใส่ไว้ในจานกระเบื้องทรงตื้นสองใบ เผื่อตอนที่นายน้อยสกุลอวิ๋นกินเจี่ยวจือจะใช้มันแก้เลี่ยนเป็ครั้งคราว
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว นางก็หันไปมองดูพระอาทิตย์ด้านนอก ยามนี้เกือบจะถึงเวลาที่นายท่านกินข้าวแล้ว และเวลานี้เซียงเซียงจะมาหยิบกล่องอาหารและปะทะฝีปากกับนางสักรอบเกือบทุกวัน ทว่าวันนี้กลับไม่เห็นนางแม้แต่เงา
หลังจากรอสักพัก เซียงเซียงก็ยังไม่มา ซานเซียนเจี่ยวจือจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ขึ้นอยู่กับคำว่าเซียน [4] คำเดียว หากเย็นชืดแล้วรสชาติความอร่อยจะลดลงไปอย่างมาก ติงเหว่ยเองจึงร้อนใจนิดหน่อย จะขอให้เสี่ยวชิงยกไปส่งแทนก็เห็นว่าทั้งใบหน้าและศีรษะของนางล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าสีดำ ให้ใครเห็นเข้าคงไม่ค่อยเหมาะสม ส่วนจ้าวหรงนั้นก็ไม่ต้องหวังว่าเขาจะยอมช่วย
……
ติงเหว่ยไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งให้เสี่ยวชิงทำความสะอาดห้องครัวให้เรียบร้อย จากนั้นนางก็จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ แล้วหยิบกล่องอาหารขึ้นมาอย่างระมัดระวังและเดินเข้าไปที่ด้านใน
ผลปรากฏว่านางเพิ่งจะผ่านประตูที่สองมาได้ไม่ไกล ก็เห็นท่านลุงอวิ๋นยืนคุยกับผู้ดูแลหลินข้างๆ พุ่มไม้ ติงเหว่ยกำลังลังเลว่านางควรก้าวไปข้างหน้าหรือไม่ ประจวบกับที่ท่านลุงอวิ๋นหันมาเห็นพอดีเขาจึงรีบวิ่งเข้ามาทักทายว่า “เหตุใดแม่นางติงถึงมาส่งด้วยตนเองล่ะ?”
ติงเหว่ยโค้งคำนับหนึ่งครั้งและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านลุงอวิ๋น วันนี้ข้าทำซานเซียนเจี่ยวจือกลัวว่าจะเย็นชืดเสียก่อน บางทีแม่นางเซียงเซียงอาจจะติดงานบางอย่างจึงล่าช้า ไม่ไปรับกล่องอาหารสักที ดังนั้นข้าเลยมาส่งให้เสียก่อน”
ท่านลุงอวิ๋นเห็นว่านางถือกล่องอาหารที่ทำจากไม้อยู่ในมือจึงรีบเข้ามารับไป เขาได้กลิ่นหอมฟุ้งและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ตอบไปว่า “เซียงเซียงกำลังถูกลงโทษให้ไปซักผ้าที่หลังบ้าน ข้าเองก็ลืมให้คนไปรับงานนี้ต่อ ข้าได้ยินว่ายามเช้าวันนี้ที่หน้าประตูนางทำให้เ้าลำบากใจอีกแล้ว เหตุใดเ้าไม่บอกข้าก่อนหน้านี้ หรือว่าน้อยใจเสียแล้ว?”
ติงเหว่ยประเมินสีหน้าของผู้าุโ นางเห็นว่าเขาดูไม่เหมือนแสร้งทำเป็สุภาพ จึงทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในใจนิดหน่อย แล้วจึงพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าทำให้ท่านลุงอวิ๋นไม่สบายใจเสียแล้ว ก็แค่ทะเลาะกันนิดหน่อยเท่านั้น หาได้มีเื่ให้ท่านต้องใไม่”
ท่านลุงอวิ๋นส่ายศีรษะแต่ก็ไม่ต่อความยาวสาวความยืด จากนั้นจึงพูดว่า “ไม่ต้องพูดถึงเด็กน้อยที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนางนั้นหรอก สองสามวันมานี้ในบ้านกำลังยุ่งวุ่นวาย กำลังคนก็ขาดแคลน ถ้าอย่างนั้นวันนี้ขอรบกวนเ้าให้ช่วยเอาข้าวกล่องนี้ไปส่งให้คุณ…อะแฮ่ม ส่งไปที่ห้องของหลานชายข้าหน่อยสิ”
“เอ๋ เื่นี้…ก็ได้เ้าค่ะ” ติงเหว่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็แค่ไปส่งกล่องอาหารเท่านั้น นางเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยเหลือ อีกอย่างในใจนางก็รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับคุณชายสกุลอวิ๋นที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนเลย ดังนั้นใช้โอกาสนี้ไปดูสักหน่อยจะได้คลายความสงสัยในใจก็ดี
แววตาของท่านลุงอวิ๋นฉายแววแปลกๆ ขึ้นมา เขายกนิ้วขึ้นชี้ไปทางทิศเหนือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าเดินตรงผ่านซุ้มประตูนี้ หลังจากนั้นเข้าไปในลานกว้าง แล้วไปห้องที่สองนั่นแหละ เช่นนั้นคงต้องรบกวนเ้าแล้ว!”
ติงเหว่ยฟังแล้วรู้สึกเขินอายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ปกติแล้วนางเห็นท่านลุงอวิ๋นตำหนิเหล่าคนใช้และมีการลงโทษอีกด้วย แต่มีแค่นางที่เขาใจดีด้วยอยู่เสมอ ใจดีจนบางครั้งก็ถึงขั้นให้ความเคารพกลายๆ ซึ่งนางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายจึงทำได้ได้เพียงกัดฟันรับไว้เท่านั้นเอง
หรือเป็เพราะมีเื่ท่านย่าเทวาูเาเป็เกราะกำบังกันนะ? แต่นั่นก็เป็เพียงเื่หลอกลวงชาวบ้านเท่านั้น คนฉลาดอย่างท่านลุงอวิ๋นไม่น่าจะถูกหลอกไปด้วยนี่นา
……
ติงเหว่ยเดินผ่านซุ้มประตูไปด้วยความสงสัยเต็มท้อง นางไม่เคยรับรู้เลยว่าท่านลุงอวิ๋นคอยสังเกตท้องที่ค่อยๆ โตขึ้นในแต่ละวัน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขราวกับจะกลายเป็ผลึกน้ำตาลไหลลงมา
ในอีกด้านหนึ่ง หลินลิ่วเป็องครักษ์เงาที่คอยปรนนิบัติรับใช้นายท่านอย่างใกล้ชิด ความซื่อสัตย์ของเขาไม่มีข้อกังขาเลยแม้แต่น้อย ในขณะนี้เขากำลังขมวดคิ้ว และเสนอขึ้นอย่างแปลกใจ “ท่านลุงอวิ๋น ให้ข้าไปปรนนิบัติรับใช้นายท่านกินข้าวก็ได้ ทำไมต้องให้นางเข้าไปด้วย? สตรีนางนี้…”
ท่านลุงอวิ๋นหันหน้ากลับมาจ้องมองเขา และตำหนิว่า “เ้าอย่าถามให้มากความ ข้าก็มีเหตุผลของข้า วันหน้าเ้าจะเข้าใจเอง”
จริงๆ แล้วเขาก็คาดเดาความคิดของหลินลิ่วได้ และเขาก็เคยได้ยินข่าวลือข้างนอกมาบ้าง บางทีการที่เขาผลักดันผู้หญิงนางหนึ่งให้ต้องเผชิญกับคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ [5] และถูกคนอื่นดูิ่เหยียดหยามคงจะเป็เื่ที่โหดร้ายเกินไปหน่อย แต่เขาเองก็ไม่มีทางเลือก หากว่าต้องเลือกอีกครั้งหนึ่ง เขาก็จะตัดสินใจเลือกทำเช่นเดิมอย่างแน่นอน
เพื่อที่จะเก็บสายเืของสกุลกงจื้อไว้ ต่อให้เขาต้องสละชีวิตของตนเองเขาก็ยอม ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคุณชายหวนกลับมาตั้งตัวเป็ใหญ่อีกครั้ง เขาไม่มีทางที่จะปฏิบัติต่อสองแม่ลูกคู่นี้อย่างไร้ความยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ติงเหว่ยเด็กสาวชาวบ้านที่เขาจับสังเกตมาเป็เวลานานผู้นี้กลับทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมาย ไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทีของชนชั้นผู้น้อย ทั้งยังมีวิธีจัดการสิ่งต่างๆ และปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสม โดยปกติแล้วกุ่ยซิ่ว [6] ของครอบครัวอื่นก็มีลักษณะท่าทางเช่นนี้แหละ
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวนางนี้ก็ถือว่าน่ามอง ดวงตาของนางสดใส ใบหน้ามีรอยยิ้มอยู่เสมอ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างก็อยากจะเข้าใกล้นางโดยไม่รู้ตัว นางช่างเป็ผู้หญิงดีๆ ที่หาได้ยากเสียจริง
ไม่รู้ว่าเมื่อไรอาการป่วยของคุณชายจะหายดี หากมีคนข้างกายคอยดูแลเอาใจใส่ พูดคุยเป็เพื่อนบ้างบางครั้ง คุณชายน่าจะรู้สึกดีขึ้นอยู่บ้าง เดิมทีเขาคาดหวังให้เซียงเซียงได้รับความชมชอบจากคุณชาย ถือเสียว่าหาบ้านดีๆ ให้แก่นาง น่าเสียดายที่เด็กน้อยคนนั้นช่างโง่เขลาเกินไป ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกเช่นนี้ จึงทำได้แค่ให้ติงเหว่ยลองดู หากว่าคุณชายถูกใจนางขึ้นมา ได้รับความรักและความเอ็นดูบางส่วน เขาเองก็ถือว่าได้ชดใช้บาปกรรมในอดีตไปบ้าง
เมื่อคิดเช่นนี้ ท่านลุงอวิ๋นก็มองเข้าไปในซุ้มประตูด้วยสายตาอันแรงกล้ามากขึ้น...
……
ติงเหว่ยมาทำงานที่จวนสกุลอวิ๋นเป็เวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เข้ามาถึงเรือนด้านใน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมาก นางเดินไปพลางสำรวจทิวทัศน์รอบๆ ไปพลาง มิน่าละพี่รองจึงได้เอ่ยปากชมขนาดนั้น ครอบครัวชนชั้นสูงที่ร่ำรวยต่างกับครอบครัวชาวบ้านทั่วไปมากจริงๆ
นางเดินผ่านประตูฉุยฮวาเหมิน [7] เข้าไป และมาถึงเรือนเดี่ยวเรือนหนึ่ง ภายในมีห้องกว้างขวางและโอ่อ่าสามห้อง ทางเดินถูกดัดแปลงเป็ระเบียงใช้เชื่อมต่อระหว่างห้องฝั่งตะวันออกและตะวันตก ส่วนประตูของห้องโถงตรงกลางเปิดแง้มอยู่กึ่งหนึ่งเผยให้เห็นโต๊ะและเก้าอี้ด้านใน
นางรอแล้วรอเล่าทว่ากลับไม่มีใครออกมาทักทายนางเลย
ในใจติงเหว่ยแอบรู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลก แต่แล้วก็คิดออก ครอบครัวชาวบ้านทั่วไปมีนิสัยเรียบง่าย ในบ้านก็ไม่มีของมีค่าอะไรที่จะต้องเก็บซ่อนเอาไว้ ประตูบ้านแทบจะเปิดอยู่ตลอดทั้งวัน เพื่อนบ้านที่สนิทกันต่างก็พากันมาดื่มชาและนั่งคุยเล่นกัน
ถึงแม้ปกติแล้วครอบครัวสกุลอวิ๋นจะเข้ากับชาวบ้านได้เป็อย่างดี แต่ก็เป็ไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างแก่บุคคลภายนอก คนใช้ที่เรือนด้านนอกต่างก็ถูกคัดเลือกมาจากเมืองใกล้ๆ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครได้เข้ามาถึงเรือนด้านในมาก่อน ส่วนคนในเรือนด้านในถ้าไม่นับเซียงเซียงแล้ว คนอื่นก็แทบจะไม่ออกมาข้างนอกเลย ทุกคนเคยแอบคุยถึงเื่นี้กันสองสามประโยค และต่อมาพวกเขาก็เดาว่าท่านลุงอวิ๋นคงไม่อยากให้คนนอกเข้าไปรบกวนหลานชายที่ป่วยอยู่ จากนั้นก็ปล่อยวางเื่นี้กันไป
“มีใครอยู่หรือไม่เ้าคะ?”
ติงเหว่ยหยุดยืนอยู่หน้าขั้นบันไดและลองถามออกไปหนึ่งประโยค
ภายในห้องฝั่งตะวันออก มีโต๊ะสี่เหลี่ยมวางอยู่ริมหน้าต่าง บนโต๊ะเต็มไปด้วยพู่กัน กระดาษ และแท่นฝนน้ำหมึก นอกจากนี้ยังมีแจกันทรงกลมปักกิ่งของต้นหลิวที่เพิ่งผลิใบใหม่ไว้สองก้าน ให้บรรยากาศที่มีกลิ่นอายของูเา
กงจื้อิวางแขนข้างหนึ่งไว้บนขอบโต๊ะแล้วค่อยๆ พลิกดูบันทึกการเดินทาง เขายังคงจำได้ว่าเมื่อก่อนเขาขี่ม้าศึกสีดำคู่ใจไปทั่วมาตุภูมิอันสวยงามและยิ่งใหญ่ ช่างดูน่าเกรงขามถึงเพียงไหน แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงถอนหายใจกับสมุดบันทึกเท่านั้น
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงสตรีแปลกหน้าคนหนึ่งดังมาจากในลานหน้าห้องจึงกลับมามีสติอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบอย่างเ็าว่า “นั่นใคร?”
ติงเหว่ยได้ยินเสียงจึงเดินตามเสียงเข้าไป เห็นเพียงปลายเสื้อสีฟ้าอมเขียวโผล่ออกมาจากหลังหน้าต่าง ดังนั้นจึงรีบก้มศีรษะลงและตอบว่า “ข้าเองเ้าค่ะคุณชาย ข้าน้อยเป็แม่ครัวที่ทำงานอยู่เรือนด้านนอกเ้าค่ะ เนื่องจากแม่นางเซียงเซียงมีภารกิจติดพัน ท่านลุงอวิ๋นจึงสั่งให้ข้ามาส่งกล่องข้าวเ้าค่ะ”
ท่านลุงอวิ๋นสั่งมางั้นหรือ?
ความสงสัยแวบขึ้นมาในดวงตาของกงจื้อิ เขาแกล้งตายและหนีออกจากเมืองหลวงทางตะวันตก หลังจากนั้นตัวตนของเขาก็แทบจะไม่ถูกเปิดเผยอีกเลย ยกเว้นคนใกล้ชิดของเขาสองสามคน ที่เหลือต่างก็ไม่สามารถมาเจอได้ ทำไมวันนี้ท่านลุงอวิ๋นถึงปล่อยให้ผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้เข้ามารับใช้เขา หรือว่านางมีอะไรที่แตกต่างออกไป หรือท่านลุงอวิ๋นมีจุดประสงค์แอบแฝงกันแน่?
“เข้ามาสิ”
……
ติงเหว่ยใช้สองมือประคองกล่องข้าว ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไป หลังจากเข้าประตูไปแล้วก็เดินเลี้ยวไปห้องทางขวามือ
กงจื้อิวางหนังสือในมือลงและเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวพลางประเมินช้าๆ เขาไม่ได้เจอคนนอกมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้จึงรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจเล็กน้อย
สตรีผู้นี้สวมชุดตุ้ยจินเชิ่นจื่อ [8] ที่ทำจากผ้าฝ้ายสีเขียวหยกและกระโปรงยาวสีขาวนวล ผมสีดำยาวของนางเกล้าด้วยปิ่นเงินที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีต เนื่องจากนางกำลังก้มหน้าอยู่กึ่งหนึ่งจึงเผยให้เห็นต้นคอขาวเนียนและเรียวยาว มีกลิ่นอายของความสงบและความสง่างามอยู่ไม่น้อย ซึ่งแตกต่างไปจากหญิงสาวชาวบ้านในความรู้สึกของเขา
“โต๊ะอยู่ข้างๆ ที่นอน เ้าวางไว้ตรงนั้นเถอะ”
เสียงของชายคนนั้นแหบแห้งเล็กน้อยราวกับเสียงทรายในทะเลทรายที่กระทบกับต้นกระบองเพชร เผยให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวสามส่วนและความแข็งแกร่งอีกเจ็ดส่วน ในขณะที่มือติงเหว่ยกำลังยุ่งอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองสักหน่อย ใบหน้าเรียวยาวที่ผอมไปสักหน่อย ผิวสีน้ำตาลแดง คิ้วทั้งสองเรียวยาวราวกับดาบ ดวงตาทั้งสองดูเงียบสงบและลึกซึ้ง จมูกโด่งเป็สัน ริมฝีปากหนาและฟันสีขาว…
ช่างเป็ชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา ติงเหว่ยมองดูอย่างตกตะลึง แต่แล้วดวงตาของนางก็ลดลงและมองไปที่ล้อสองล้อที่อยู่ด้านล่างและมีผ้าบางๆ ปกคลุมขาทั้งสองข้างของเขาอยู่ นางอดไม่ได้ที่จะอ้าปากเล็กน้อยด้วยความใ ความรู้สึกสงสารเอ่อล้นภายในจิตใจของนาง ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่ชายหนุ่มดีๆ คนหนึ่งจะไม่สามารถเดินได้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ...
-----------------------------------------
[1] เปี่ยนฉือ 扁食 หมายถึง คำที่คนทางใต้ใช้เรียก ‘เกี๊ยว’
[2] เจี่ยวจือ 饺子 หมายถึง เกี๊ยวแบบดั้งเดิม มีรูปร่างคล้ายเงินตำลึงโบราณของจีน
[3] ซานเซียน 三鲜馅儿 คือไส้ยอดนิยมที่ผสมผสานวัตถุดิบอร่อยๆ หลายชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างรสชาติที่เข้มข้นและหลากหลาย ส่วนผสมและวิธีการอาจจะแตกต่างกันไปตามรสนิยมส่วนบุคคลและลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นนั้นๆ แต่โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วยส่วนผสมหลัก คือ หมู กุ้ง และไข่
[4] เซียน 鲜 หมายถึง สดใหม่
[5] คลื่นลมที่โหมกระหน่ำ 风头浪尖 หมายถึง การต่อสู้ทางสังคมที่ดุเดือดและโหดร้าย
[6] กุ่ยซิ่ว 闺秀 เป็คำที่ใช้เรียกลูกสาวของตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจในสมัยก่อน
[7] ประตูฉุยฮวาเหมิน 垂花门 หมายถึง ประตูที่มีเสาสองต้นอยู่ด้านข้าง แต่เป็เสาลอย ไม่ยาวลงมาติดพื้น เรียกว่า เสาฉุยเหลียน(垂莲柱) หรือเสาบัว มักพบเห็นประตูประเภทนี้ในบ้านแบบซื่อเหอย่วน(四合院) ซึ่งประตูกับตัวกำแพงยาวนี้ จะเป็ตัวแบ่งเขตระหว่างเขตภายนอก(ลานด้านหน้า) กับเขตบ้านด้านใน
[8] ชุดตุ้ยจินเชิ่นจื่อ 对襟身子 หมายถึง เสื้อแขนสั้นคอจีนและมีกระดุมจีน ซึ่งประกอบด้วยเม็ดกระดุมที่ใช้ผ้าถักเป็ปมและห่วงรังดุม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้