สองคนนี้คนหนึ่งพูดอีกคนหนึ่งเสริม คุณชายคนหนึ่งขาวคนหนึ่งดำ ย่อมเป็มู่หรงฉือกับหรงจ้านที่ปลอมตัวมา
พวกเขาสองคนต่างสวมหน้ากาก รูปร่างดี อาภรณ์สีขาวหิมะ บุคลิกไม่สามัญ แสดงท่าทางสูงส่ง ตามองแต่ของดีระดับสูงผู้ใดก็เลียนแบบไม่ได้ เป็ท่าทางที่ไม่ใช่เพียงคุณชายผู้ร่ำรวยธรรมดาจะมีได้ เสี่ยวเอ้อคนนี้จึงเข้าใจว่าพวกเขาคงเป็คุณชายจากตระกูลทรงอำนาจ
เสี่ยวเอ้อส่งสายตาไปให้กับผู้จัดการร้าน ผู้จัดการก็เดินเข้ามาถาม “ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสองท่านอยากจะได้หยกแบบไหนหรือขอรับ ทั้งสองท่านเชิญกล่าวมาเถิด หากร้านของพวกเราไม่มีก็จะต้องหามาให้ท่านทั้งสองให้ได้”
หรงจ้านยกมือขวาขึ้น ในมือมีหยกทรงกลมสีนุ่มนวลงดงาม ด้านหลังหยกมีสัญลักษณ์หนึ่งอย่าง ปิ่นหยกสลักรูปดอกไม้เล็กๆ หนึ่งดอก
ผู้จัดการร้านเห็นสัญลักษณ์แล้วในใจก็รู้ทันที “คุณชายทั้งสอง เชิญด้านในขอรับ”
มู่หรงฉือประหลาดใจเล็กน้อย แต่บนหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าใด เขาไปเอาหยกก้อนนี้มาจากที่ไหนกัน? ผู้จัดการร้านเหมือนจะรู้จักหยกชิ้นนี้ รีบทำความเคารพแล้วพาพวกเขาเข้าไปด้านใน
ผู้จัดการร้านเดินนำอยู่ด้านหน้าพาพวกเขามาจนถึงโถงด้านในที่นางเคยเข้าไป
“คุณชายทั้งสองเชิญนั่งก่อนขอรับ” เขาพูดอย่างมีมารยาท “คุณชายทั้งสองอยากจะได้หยกแกะสลักจำเป็ต้องรอสิบวันถึงจะสามารถส่งไปให้ได้ หากคุณชายทั้งสองท่านยินดีรอ ข้าน้อยจะสั่งการลงไปขอรับ”
“ไม่ต้องหรอก วันนี้มาที่นี่ด้วยเื่ชา ได้ยินมาว่าชาปี้หลัวของร้านหลิงหลงเซวียนของเ้าเป็ที่หนึ่ง ข้าจึงอยากจะมาลองชิมดูสักหน่อย” หรงจ้านพูดเสียงนิ่งสงบ ทั้งคำพูดรอยยิ้มสดชื่นเย็นสบายราวกังหันลม
มู่หรงฉือได้ยินแล้วแสดงท่าทางไม่เข้าใจออกมา ชาปี้หลัวอะไร?
ในใจก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง หรือว่าพวกเขากำลังคุยรหัสลับกันอยู่?
ผู้จัดการยิ้มแล้วพูด “ที่แท้คุณชายทั้งสองก็คือผู้เชี่ยวชาญนี่เอง เพียงแต่ปี้หลัวของหลิงหลงเซวียนนั้นไม่มีราคาในตลาด คุณชายทั้งสองท่านลองเสนอราคามาดูดีหรือไม่?”
“ของที่มองเห็นก็ไม่มี ของที่มองไม่เห็นก็ไม่มี หรือว่าเ้าอยากจะให้พวกเรามาเสียเปล่า โดยไม่ได้อะไรกลับไป?” หรงจ้านยิ้มเย็น
“แน่นอนว่าไม่มีทางให้คุณชายทั้งสองต้องมาเสียเปล่าขอรับ คุณชายทั้งสองคนมีผู้แนะนำหรือไม่?”
“เมื่อหลายวันก่อนใต้เท้าเซินพาข้ามาครั้งหนึ่ง”
“ที่แท้ก็เป็ใต้เท้าเซินแนะนำมานี่เอง คุณชายทั้งสองโปรดรอสักครู่ขอรับ”
ผู้จัดการร้านยิ้มแล้วเดินออกไป ก่อนจะปิดประตูให้ดี
มู่หรงฉือขยับไปใกล้หรงจ้าน พูดเสียงเบาที่หูเขา “หยกนั่นเอามาจากไหนหรือ?”
เขามองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง “ระวังกำแพงมีหูประตูมีช่อง”
นางกดความอยากรู้ของตัวเองลงไป ในตอนนี้เอง ท่ามกลางความเงียบก็มีเสียงดังขึ้น ตู้ไม้รูปร่างสี่เหลี่ยมเคลื่อนออก กำแพงด้านหลังเลื่อนเปิดออกทั้งสองฝั่ง เผยให้เห็นมุมหนึ่งที่สามารถเดินผ่านไปได้ทีละคน บ่าวรับใช้ชุดเขียวคนหนึ่งเดินเข้ามาโบกมือให้อย่างเคารพ “เชิญคุณชายทั้งสองท่านขอรับ”
นางกับหรงจ้านลุกขึ้นแล้วเดินไป ในใจตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ในที่สุดก็ได้เดินเข้าไปในโลกแห่งความลับของหลิงหลงเซวียน
พวกนางเดินเข้าไปในความมืด สายลมพาอากาศเย็นๆ ลอยมาปะทะหน้า กำแพงด้านหลังก็ปิดลงทันที
เดินลงบันไดไปข้างล่างหลายสิบขั้น ต่อมาก็เป็เส้นทางใต้ดินยาวสามจั้ง ได้ยินเสียงดังวุ่นวายอยู่โดยรอบ
ปลายทางเดินอันมืดมิด บ่าวรับใช้ชุดเขียวก็หมุนกลไกที่กำแพงสามครั้งแล้วก็หมุนอีกสามครั้ง เพื่อให้ประตูหินขนาดใหญ่หนักอึ้งเปิดออก
ครั้นประตูหินถูกเปิดออก ด้านหลังประตูหินเป็โลกที่หรูหราลึกลับ
เพิ่งจะเดินออกมาก็เจอเข้ากับโลกอีกใบ
เสียงโหวกเหวกโวยวาย เสียงพูดคุยจอแจผสมรวมกันหลั่งไหลเหมือนสายน้ำ
สิ่งที่สายตาััคือห้องขนาดกว้างใหญ่มีแสงสีทองอร่ามห้องหนึ่ง ทั้งห้องตกแต่งไปด้วยของมีค่า
มู่หรงฉือเห็นบุรุษทั้งหนุ่มแก่สวมชุดแพรหรูหราล้อมรอบโต๊ะพนันส่งเสียงร้องกันอึกทึกครึกโครม ทั้งร้องะโ ตะคอก เสียงซัดสาดราวกับคลื่น แต่ละคนต่างหน้าแดงหูแดง อารมณ์พลุ่งพล่าน เล่นสนุกไปกับโต๊ะพนัน บ้างก็คอยชี้แนะออกความเห็น
เนื่องจากเป็ห้องหินใต้ดิน อากาศจึงไม่ถ่ายเท จึงมีกลิ่นอับแปลกๆ ลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ส่งกลิ่นยิ่งนัก
นางขมวดคิ้วน้อยๆ ถึงแม้ว่าการตกแต่งจะหรูหรา แต่ไม่อาจดับกลิ่นยาเส้นกับความมืดทึบจากความอับแสงไม่ได้
หรงจ้านดึงแขนเสื้อของนาง ส่งสัญญาณให้นางอย่าเปิดเผยช่องโหว่ออกมา
บ่าวรับใช้ชุดเขียวแนะนำ “คุณชายทั้งสอง ห้องนี้สามารถเล่นพนันสร้างความร่ำรวยได้ ส่วนห้องนั้นสามารถเสพสุขไปกับเหล่าคนงาม ทั้งสองท่านอยากจะเล่นสนุกอะไรก็เชิญเล่นได้อย่างเต็มที่ขอรับ”
“พวกเราไปดูกันก่อนเถิด”
หรงจ้านยิ้มพูด เห็นบ่าวรับใช้ชุดเขียวเดินจากไปถึงได้พูดกับมู่หรงฉือ “พวกเราไปดูที่ห้องนั้นก่อนดีกว่า”
มู่หรงฉือพยักหน้า ก่อนจะเดินไปที่ห้องหนึ่ง
สิ่งที่เข้าสู่ม่านตาก็คือห้องโบราณที่งดงาม โอ่อ่ากว้างขวาง ตกแต่งไม่เหมือนห้องพนัน ในห้องมีฉากกันลมเป็ภาพวาดศิลปะกามวิสัยวางเรียงอยู่ตรงกลาง จนทำให้ห้องที่กว้างขวางถูกแบ่งเป็ห้องเล็กๆ บริเวณที่ติดกับกำแพงวางเก้าอี้กุ้ยเฟยบุที่นั่งนุ่มนิ่มหรูหรา
ถึงแม้ว่าจะมีฉากกันลมกั้นเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจปิดบังความคาวโลกีย์ได้
เสียงหัวเราะหยอกล้อเบาๆ เสียงร้องออดอ้อน เสียงหัวเราะมีความสุขดัง ผสมปนเปเข้าด้วยกัน ทั้การร่วมประเวณีอันไร้ยางอาย ทำเอาคนเห็นแล้วใ
มู่หรงฉือดวงหน้าเขียวคล้ำ รีบหมุนตัวออกไปทันที หน้าอกเต้นรัวเร็วรุนแรง
หรงจ้านดึงแขนเสื้อของนางมาที่มุมเงียบๆ มุมหนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “ท่านเ้าสำนักอย่าทำเช่นนี้ หากถูกคนรู้เข้าจะแย่เอานะขอรับ”
“เ้าก็รู้ว่าบุรุษในห้องสองห้องนี้อย่างน้อยต้องมีขุนนางในเมืองหลวงราวครึ่งหนึ่ง” นางโกรธจนกัดฟัน ดวงตาเย็นเยียบ อยากจะดึงขุนนางพวกนั้นออกมาทีละคนแล้วผลักออกไปประจานอยู่กลางถนนเสีย
“เ้าสำนักอย่าเพิ่งมีโทสะ” เขาพูดขอร้องเสียงเบา “ราชสำนักไม่ได้มีกฎเป็ลายลักษณ์อักษรห้ามขุนนางที่ดำรงตำแหน่งไม่ให้เล่นการพนัน ไม่ให้ซื้อนางบำเรอ แม้ว่าจะจับพวกเขาเข้าคุกจนหมด ก็ไม่อาจเอาผิดพวกเขาได้”
“หลายปีมานี้ขุนนางทั่วทั้งแคว้นห่างไกลจากการตรวจสอบจริงๆ ควรจะมีการตรวจสอบได้แล้ว” นางตัดสินใจว่าจะปรึกษากับมู่หรงอวี้ว่าจะจัดการกำหนดพฤติกรรมที่ควรและไม่ควรของขุนนาง สิ่งใดผิดสิ่งใดไม่ผิด
“ไปที่โต๊ะพนันเล่นสักสองตา ไม่เช่นนั้นจะถูกคนสงสัยเอาได้” หรงจ้านเห็นว่ามีคนรับใช้ชุดเขียวสองคนมองมาทางพวกเขาอยู่บ่อยๆ
มู่หรงฉือจึงตามไปเล่นอย่างจำใจ ยืนเบื่อหน่ายอยู่ข้างกายเขา มองทุกคนที่กำลังเืลมพลุ่งพล่านเพื่อการแพ้ชนะที่น่าขันนี้ ยามได้ยินคนเ่าั้ะโโหวกเหวกออกมา หลอดลมของนางราวถูกคนบีบเอาไว้ หายใจไม่คล่อง ปวดศีรษะอย่างหนัก ในใจทุกข์ทรมานมาก
ทั้งราชสำนัก ขุนนางในเมืองหลวงทุกคน ครึ่งหนึ่งเล่นพนันมัวเมากับสตรี ไม่รู้ว่ามีคนอีกเท่าไหร่ที่ยังมัวเมาอยู่กับฝิ่นจนสูญเสียสติปัญญา แปรเปลี่ยนกลายเป็คนผอมแห้งขี้โรค จมดิ่งสู่ความมืดในหุบเหวลึก เช่นนั้นแคว้นนี้ยังจะมีความหวังอะไรเหลืออยู่อีก?
คนที่สมองพังไปแล้วก็คงห่างจากความตายไม่ไกล
เมื่อราชสำนักของแคว้นหนึ่งหมดสภาพไม่อาจใช้การได้ เช่นนั้นก็มีเพียงจุดจบเดียว : แผ่นดินล่มสลายจนไม่อาจกู้กลับคืนมาได้อีกต่อไป
เช่นเดียวกับตะกร้าผลไม้หนึ่งตระกร้า เมื่อลูกหนึ่งเน่าเสีย เกรงว่าเชื้อราจะแพร่กระจายออกไป ผลไม้ที่ยังดีแต่ละลูกก็ค่อยๆ เน่าเสีย ไม่นานผลไม้ทั้งตะกร้าก็จะเน่าจนหมด
เวลานี้วินาทีนี้ ความคิดของนางยุ่งเหยิง ในใจมีทั้งความโกรธ ปวดใจ และทรมาน...
เสียงะโค่อยๆ ห่างไกลออกไป เหลือแต่ความเ็ปของนางเพียงผู้เดียว
...
เล่นพนันบนโต๊ะอยู่หลายตา ชนะมาได้สิบกว่าตา หรงจ้านลากมู่หรงฉือเตรียมตัวจะกลับออกไป
นางเดินไปรอบๆ สองห้องนี้จนทั่วแต่ยังไม่พบว่ามีห้องที่สามหรือห้องที่ลึกลับกว่านี้ วันนี้จึงตัดสินใจว่าจะกลับกันก่อน
บ่าวรับใช้ชุดเขียวสองคนรีบเดินเข้ามาข้างหน้าแล้วขวางอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเ็าทันที
“ทั้งสองท่านกำลังทำอะไรหรือ?” หรงจ้านยิ้มพร้อมถามด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“คุณชายจะไปที่ใดหรือ?” บ่าวรับใช้ชุดเขียวคนหนึ่งถามเสียงเย็น สีหน้ามืดครึ้ม
“ท่านแม่สั่งว่าวันนี้ให้กลับบ้านเร็วหน่อย นี่ก็ดึกมากแล้ว ควรจะกลับได้แล้ว” หรงจ้านคลี่ยิ้มสดใส “ที่นี่เป็สถานที่ที่ดีจริงๆ หากไม่มีคำสั่งของท่านแม่ ข้าจะต้องเล่นสนุกจนเบื่อถึงค่อยกลับเป็แน่”
“ตอนนี้เพิ่งยามไฮ่ คุณชายเล่นอีกสักสองสามตาเถิด” บ่าวรับใช้อีกคนพูด
“ทำไมหรือ? ที่นี่ยังมีกฎห้ามกลับไวด้วยหรือ? ข้าไม่อยากเล่นแล้ว เพลียแล้วเหนื่อยแล้วอยากจะกลับไปนอน พวกเ้าขวางข้าไม่ให้ไปมีเหตุผลอะไรกัน?” มู่หรงฉือพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย ดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยโทสะ
บ่าวรับใช้สองคนสีหน้าเปลี่ยนเป็ดุร้ายขึ้นมาทันที
หรงจ้านรีบแก้ไขสถานการณ์ “น้องชายของข้าคนนี้เป็คนใจร้อน มักพูดอะไรออกมาตรงๆ ทั้งสองคนอย่างได้ใส่ใจ”
เขาส่งสายตาให้นางใจเย็นแล้วใจเย็นอีก อย่าก่อเื่
ความจริงนางเองก็รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็ต้องใจเย็น คลี่ยิ้มจอมปลอมได้แค่ไหนให้ปลอมเท่านั้น อย่าเอาแต่ใจโมโห แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็อะไร ในอกเต็มไปด้วยไฟโทสะที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ ถูกคนท้าทายเพียงนิดเดียว ก็ไม่อาจควบคุมไฟโทสะจนถึงกับะเิออกมา
ตอนนี้เองบ่าวรับใช้ชุดเขียวคนหนึ่งเดินออกมาแล้วพูด “คุณชายทั้งสอง คุณชายของพวกเราเชิญเข้าพบขอรับ”
หรงจ้านพูดออกมาด้วยความดีใจปนใ “คุณชายของพวกเ้าอยากเจอพวกเราหรือ? ดีๆๆ ไปกันเถิด”
มู่หรงฉือกลับอยากจะเจอเ้านายที่อยู่เื้ัของหลิงหลงเซวียนจริงๆ ในใจรู้สึกรอคอยอยู่บ้าง
เดินมาถึงมุมห้องที่อยู่ทางตะวันออกของห้องพนัน บ่าวรับใช้ชุดเขียวก็หยิบผ้าสีดำสองผืนออกมา “ขอท่านทั้งสองปิดตาด้วยขอรับ นี่เป็กฎ”
“เข้าใจแล้วๆ”
หรงจ้านรับผ้าดำมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะนำไปปิดลงบนตาของนางก่อน แล้วค่อยเอาอีกผืนมาปิดตาตัวเอง
ต่อมาบ่าวรับใช้ชุดเขียวก็จูงแขนเสื้อของพวกเขาเดินไป
มู่หรงฉือได้ยินเสียงเปิดของกำแพง แต่เมื่อครู่ตอนที่นางเดินสำรวจกลับไม่พบสถานที่ที่มีกลไกน่าสงสัย เห็นได้ชัดว่าการออกแบบกลไกของที่นี่ดีเพียงใด ไม่ให้มองออกได้โดยง่ายจริงๆ
เสียงดังจอแจค่อยๆ ห่างไกลออกไป นางรู้สึกเหมือนเดินเข้ามาในทางที่มืดและเย็น เลี้ยวซ้ายแล้วก็เลี้ยวขวาแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกที สุดท้ายก็หยุดลง
แล้วก็เป็เสียงดังของประตูหินที่เปิดออก นางรู้สึกถึงแสงโดยรอบ
ผ้าสีดำร่วงหล่นลงมา ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง
ห้องหินนี้ยังคงสภาพเดิมเอาไว้ มีของประดับตกแต่งน้อยชิ้นแต่ล้วนเป็ของมีค่าที่ดีที่สุดในใต้หล้า แสดงให้เห็นถึงรสนิยมของเ้าของ บุรุษที่มีประกายสีทองระยิบระยับเดินออกมาจากด้านในห้อง ฝีเท้าแต่ละก้าวแ่เบา ราวกับเดินอยู่บนอากาศไม่ให้ถุงเท้าได้เปื้อนฝุ่น
อาภรณ์สีทองระยิบระยับหนึ่งตัว ยามเดินเหินเหมือนลมสีทองพัดผ่านทิ่มแทงสายตาคน แต่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนราวกับผ้าไหม
หน้ากากสีทองวิจิตรหนึ่งอัน มีหินแดงกับไข่มุกล้อมรอบปกปิดใบหน้าของเขา
คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกไม่สามัญ บวกกับการแต่งกายที่ไม่ธรรมดาทำให้คนแสบตายิ่งนัก
ท่าทีนอบน้อมถ่อมตนถึงเพียงนี้ แต่การแต่งตัวกลับหรูหราสูงส่งจนแสบตา ช่างขัดแย้งยิ่งนัก แต่ครั้นมาอยู่บนตัวของเขากลับทำให้รู้สึกเข้ากันอย่างพอดี ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“ยินดีที่ได้พบกับท่านทั้งสอง”
เสียงแหบพร่าทว่าให้ความรู้สึกอ่อนโยนของคนผู้นี้ขัดกับความนิ่งสงบแฝงไว้ด้วยความเ็าจากภายใน มู่หรงฉือฟังออก เสียงนี้ของเขาใช้กำลังภายในแปลงมา
หรงจ้านประสานมือเข้าด้วยกัน ยิ้มเอ่ย “วันนี้ได้พบกับคุณชาย เป็ความโชคดีของข้าจริงๆ”
นางเองก็ประสานมือเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
“ทั้งสองคนมีนามว่าอะไรหรือ? ไม่ทราบว่าจวนอยู่ที่ใดหรือ?
ดวงตาสีดำลึกลับคู่นั้นของบุรุษชุดทองเจือไว้ด้วยความล้ำลึก ราวกับว่ากำลังแอบมองเ้าจากความมืดด้านหลัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้