บทที่ 55 หนีตายและทำอะไรไม่ถูก
สีหน้าของลู่จิ่งซานไม่สู้ดีมาั้แ่เมื่อคืนวานแล้ว มาถึงตอนนี้อาการก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก!
เพียงแต่ว่าโดยปกติแล้วเขาจะมีสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา คนที่ไม่คุ้นเคยกันจึงยากที่จะสังเกตเห็น
“หลิงซาน” เหอเสวี่ยฉินเห็นสีหน้าของลู่จิ่งซานก็คิดในใจว่าแย่แล้ว รีบะโเรียก “ลูกคนนี้นี่พูดจาเหลวไหลอะไร?” พลางตบหลังลูกสาวไปหนึ่งที “ยังจะทำให้บ้านวุ่นวายไม่พออีกหรือไง รีบไปดูแลพี่ชายแกไป”
ลู่หลิงซานไม่ยอมแพ้ ยังคงจ้องเขม็งไปที่สวี่จือจือ แต่ก็ถูกเหอเสวี่ยฉินดึงตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ทำไมลูกชายของเธอถึงกลายเป็แบบนี้? ถึงขนาดที่ว่าไม่ว่าเธอจะถามยังไงก็กัดฟันไม่ยอมบอกว่าใครทำเขาเป็แบบนี้ เขาไม่พูดแล้วคนเป็แม่อย่างเธอจะไม่รู้หรือไง?
ตอนนั้นเธอยังไม่ได้แต่งงานกับลู่หวยเหริน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โจวเป่าเฉิงโดนซ้อมมาอย่างสาหัสก็เป็แบบนี้เหมือนกัน ไม่ว่าเธอจะถามยังไงก็ไม่ยอมพูด สุดท้ายก็ตอนที่เขากำลังฝันร้ายนั่นแหละถึงได้ร้องออกมา
เพียงแต่ว่าไม่คิดเลยว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ เื่แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
จะไม่ให้เธอโกรธได้ยังไง! แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาแก้แค้น
ลู่จิ่งซานมองเหอเสวี่ยฉินที่กำลังลากลู่หลิงซานออกไปอย่างรีบร้อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะจบเื่ได้เหรอ?
“คำพูดของหล่อนไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ” เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มดังมาจาก้า “เดี๋ยวผมจัดการเอง”
สวี่จือจืออยากจะบอกว่าเธอไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่ในใจมันก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
แล้วจะให้ทำยังไงได้ เธอคงไม่สามารถพูดกับลู่จิ่งซานว่า ‘หรือไม่เราสองคนมาตับๆ กันหน่อยดีไหม?’ เพราะยังไงก็แต่งงานกันแล้ว แม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ก็ต้องทำตัวให้สมกับสถานะที่แต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ?
เธอแทบจะจินตนาการออกเลยว่าถ้าเธอพูดคำนี้ออกไป สีหน้าของลู่จิ่งซานจะเป็ยังไง
“อืม” สวี่จือจือซ่อนความรู้สึกในใจเอาไว้ “ตอนกลางวันอยากกินอะไร? ฉันจะทำให้”
พูดแบบนั้นก็ไม่ได้คิดว่าลู่จิ่งซานจะตอบอะไร แต่ไม่คาดคิดว่าเสียงของเขาจะดังมาจาก้า “กินบะหมี่คลุกกระเทียมได้ไหม?”
สวี่จือจือหันขวับไปด้วยความประหลาดใจ แล้วสบเข้ากับดวงตาลุ่มลึกของเขา
“ได้...ได้สิ” สวี่จือจือไม่รู้ว่าในนั้นมีความหมายอะไร แต่ใจมันสั่นระรัว “ฉัน...จะไปทำ”
“เธอลนลานอะไร?”
บังเอิญเวลานี้ จ้าวลี่เจวียนที่ดูหนังเสร็จแล้วกำลังกลับมาพอดีก็เข้ามาทัก “ทำไมหน้าแดงแบบนี้ล่ะ?”
สวี่จือจืออยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียจริง แสร้งทำเป็ใจเย็นแล้วพูด “ไม่ได้ลนลานสักหน่อยค่ะ หน้าหนูก็เป็แบบนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ?” แล้วก็พูดอีกว่า “น้ำมันล่ะคะ? ตอนกลางวันจะทำบะหมี่คลุกกระเทียม ต้องเจียวกระเทียมนะ”
“อะไรนะ?” จ้าวลี่เจวียนรีบพูด “ทำไมบะหมี่คลุกกระเทียมต้องเจียวกระเทียมด้วย? รู้จักแต่จะเอาน้ำมันของฉัน” ไหนเลยจะไปสนใจเื่ที่อีกฝ่ายหน้าแดงอีก
มุมปากของลู่จิ่งซานยกขึ้นเล็กน้อย หรือว่าภรรยาตัวน้อยของเขาคนนี้ไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลย?
บะหมี่คลุกกระเทียมตอนกลางวัน เพราะได้เจียวน้ำมันกระเทียมก็เลยอร่อยเป็พิเศษ
วันรุ่งขึ้นโจวเป่าเฉิงกับเหอเสวี่ยฉินก็ยังไม่กลับมา มีแต่ลู่หวยเหรินที่กลับมาบ้านด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
โจวเป่าเฉิงอยู่ในส้วมทั้งคืน ทั้งใทั้งโดนความเย็น พอส่งตัวไปโรงพยาบาลก็เริ่มมีไข้สูง ทุลักทุเลกันทั้งคืนกว่าจะลดไข้ลงได้
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกว่าใครทำ แต่เหอเสวี่ยฉินก็พูดกรอกหูให้ลู่หวยเหรินไม่น้อย
แน่นอนว่าลู่หวยเหรินไม่อยากจะเชื่อ แต่ทั้งประชาคมชีหลี่ นอกจากลู่จิ่งซานแล้วจะมีใครที่ทำให้คนใกลัวได้ขนาดนี้อีก? ถึงขนาดที่ว่าประโยคแรกที่เขาพูดเมื่อเจอหน้าลู่จิ่งซานก็คือ “ทำไมครั้งนี้แกถึงอยู่ที่บ้านนานขนาดนี้? ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็รีบกลับกองทัพไปซะ”
ตอนนั้นคุณนายลู่กำลังคุยกับลู่จิ่งซานเื่การเข้าหอเมื่อคืน แม้ว่าเธอจะใช้คำว่าทำลายชีวิตสมรสของทหารข่มขู่พวกหม่าซานเซียน แต่ปิดปากคนได้ก็ปิดใจคนไม่ได้
หญิงชราเป็ห่วงหลานชายแทบแย่ อยากจะจับเขาไปเข้าหอกับสวี่จือจือให้ได้
วันนี้เธอเพิ่งจะพูดจนหลานชายยอมที่จะลองคบหากับภรรยาดู
่หลายวันวันที่ผ่านมาเธอแอบสังเกตการณ์อยู่ เด็กคนนี้เป็คนดี หญิงชรารู้สึกว่าอย่ามองว่าหลานชายของตัวเองจะเก่งกาจอะไรมากมาย ถ้าพลาดสวี่จือจือไป เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
แต่พอเธอพูดจนลู่จิ่งซานเริ่มจะคล้อยตามได้แล้ว ลู่หวยเหรินไอ้ลูกอกตัญญูคนนี้ก็มาขัดขวางเสียนี่
อะไรคือไม่มีธุระอะไรแล้วก็รีบกลับกองทัพไป? ไม่มีธุระอะไรตรงไหน?
ทั้งสองคนยังไม่ได้เข้าหอกันเลย จะไม่มีธุระได้ยังไง!
หญิงชราโกรธจัด หยิบหมอนไม้เล็กๆ ของตัวเองขว้างใส่
“แม่ครับ” ลู่หวยเหรินโดนขว้างจนเจ็บ กอดหมอนแล้วพูด “ผมรู้ว่าคุณแม่เป็ห่วงจิ่งซาน แต่เขาก็เป็ถึงหัวหน้าหน่วยเล็กๆ แล้ว การลางานมานานขนาดนี้มันไม่เหมาะสมมั้งครับ”
“ขอบคุณพ่อที่เป็ห่วงนะครับ” ลู่จิ่งซานพูดอย่างเรียบเฉย “่นี้ในหน่วยมีแต่การฝึกซ้อมตามปกติ ไม่มีเื่ใหญ่โตอะไร”
ลู่หวยเหรินสะอึก
เขาหมายความแบบนั้นหรือไง? เขาหมายความว่าอยากให้อีกฝ่ายรีบไป อย่ามาสร้างเื่ที่บ้านให้เขา
แต่คำพูดนี้เขาจะพูดออกมาได้ยังไง?
นิสัยของลู่จิ่งซานเขาเข้าใจดีที่สุดแล้ว ตราบใดที่ไม่ไปยั่วโมโหอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็จะไม่หาเื่ใครก่อน ต้องเป็เพราะโจวเป่าเฉิงทำอะไรที่ล้ำเส้นของลู่จิ่งซานไป ถึงได้ถูกสั่งสอนอย่างหนักขนาดนี้
ลู่หวยเหรินนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับโจวเป่าเฉิงในหมู่บ้าน และเมื่อคืนก่อนที่หมู่บ้านมีหนังกลางแปลง เื่แบบนี้เหมาะแก่การไปขโมยไก่ขโมยหมูเสียจริง
“แล้วแก...”
“คุณย่า ผมออกไปข้างนอกก่อนนะครับ” ลู่จิ่งซานพูดขัดขึ้น วันนี้เขาจะต้องไปที่อำเภอสักหน่อย
“พาจือจือไปด้วย” หญิงชราพูด “ที่บ้านก็ไม่ได้หวังพึ่งคะแนนแรงงานของหล่อนเท่าไหร่ พาหล่อนออกไปเดินเล่นคลายเครียดบ้าง”
ลู่หวยเหรินแทบอกแตกตาย เขาก็้าคลายเครียดด้วยเหมือนกัน
“ครับ” ลู่จิ่งซานรับคำแล้วเดินออกไป
กลับมาที่ห้อง คิดแล้วก็หยิบชุดกระโปรงตัวนั้นออกมาจากตู้
ตอนที่หยิบของ เขาก็ตั้งใจมองไปที่ตู้เสื้อผ้า
ตู้เสื้อผ้าเป็แบบสามช่อง ช่องตรงกลางเป็กระจกเงาบานยาว ส่วนตู้ด้านข้างซ้ายขวาเปิดได้ ที่ตู้หลังกระจกเงา สวี่จือจือเอาผ้าห่มสำหรับฤดูหนาวไปเก็บไว้
ส่วนตู้ด้านข้างซ้ายขวาก็แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ด้านซ้ายเป็ที่เก็บเสื้อผ้าของเขา ส่วนด้านขวาเป็เสื้อผ้าของสวี่จือจือ ชุดกระโปรงตัวนั้นวางอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเขา
ตอนที่สวี่จือจือเข้าไปในห้องก็เห็นชุดกระโปรงที่พับไว้อย่างดีวางอยู่ตรงนั้นทันที
ช่วยไม่ได้ ชุดกระโปรงตัวนั้นมันสร้างความประทับใจให้กับเธอมากจริงๆ
ในใจกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ได้ยินลู่จิ่งซานพูดกับเธอ “เดี๋ยวไปที่อำเภอกับผมนะ”
“ไปทำอะไรเหรอ?” สวี่จือจือถาม
“มีธุระนิดหน่อย” ลู่จิ่งซานพูดจบก็ลูบจมูกอย่างไม่เป็ธรรมชาติ “ชุดกระโปรงตัวนั้น เดี๋ยวคุณลองใส่ดูหน่อยนะ ถ้าใส่ได้พอดีก็ใส่ไปเลย”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก “ผมออกไปก่อนนะ คุณค่อยๆ ลองไป”
ท่าทางเหมือนจะหนีตายออกไป ปล่อยให้สวี่จือจือยืนอยู่ที่เดิมอย่างทำอะไรไม่ถูก!
สรุปว่าชุดกระโปรงตัวนี้คือของที่เขาซื้อกลับมาให้เธอเมื่อวันก่อนงั้นเหรอ? ทำไมเธอถึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย?
แล้วอีกอย่างในเมื่อตั้งใจจะให้เธอ ทำไมวันนั้นถึงไม่พูด ทำไมต้องรอมานานขนาดนี้ด้วย?
สวี่จือจือเอียงคอมองชุดกระโปรงตัวแล้วถอนหายใจออกมา
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้