บทที่ 8 ชะตาของผู้ถือครองแหวนหยกได้เปลี่ยนไปแล้ว...ตลอดกาล!
ไป๋อวี้เจียวมองไปรอบๆ มิติหยกพันปีอีกครั้ง ใจของนางบอกว่าคงได้เวลาออกจากที่นี่แล้ว แม้จะยังสำรวจทุกอย่างไม่หมด แต่ก็เพียงพอสำหรับวันนี้ ก่อนที่จะจากไป นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง บ่อน้ำพุิญญา อีกครั้งหนึ่ง
“น้ำพุวิเศษเช่นนี้ หากได้เอาออกไปให้ท่านแม่และครอบครัวของข้าดื่มสักหน่อย คงจะดีไม่น้อยทุกคนจะได้แข็งแรง” นางรำพึงเบาๆ ในใจ
สายตากลมโตของเด็กน้อยกวาดมองหาภาชนะที่เหมาะสม ทันใดนั้นเอง นางก็สะดุดตากับขวดหยกสีเขียวใบหนึ่งซึ่งวางโดดเด่นอยู่บนแท่นศิลาไม่ไกลจากบ่อน้ำพุ เมื่อมองดูเสาที่เป็เ้าของขวดหยกอันนี้เป็เสาต้นที่ 31 ซึ่งผู้ถือครองแหวนคือจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคนั้นนั่นเอง
ขวดหยกใบนั้นมีสีเขียวอมฟ้าใสกระจ่างดั่งหยกชั้นเลิศ รอบตัวขวดสลักลวดลายเถาวัลย์พันเกี่ยวกันอย่างวิจิตร แค่เพียงมองด้วยตาเปล่าก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายความลึกลับที่แผ่ซ่านออกมาเบาๆ ขนาดขวดดูพอดีมือของนาง คาดว่าคงใส่น้ำได้ราวๆ ครึ่งลิตร ไม่มากไม่น้อยเกินไป
“ขวดใบนี้แล้วกัน ดูเหมาะสมที่สุดแล้ว” ไป๋อวี้เจียวพึมพำก่อนจะหยิบขวดหยกใบงามนั้นขึ้นมา ััเย็นชืดแต่นุ่มนวลจากขวดทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
นางไม่รอช้า รีบเดินกลับไปยังบ่อน้ำพุิญญาด้วยท่าทางตื่นเต้น ค่อยๆ ก้มลงรองน้ำใสกระจ่างที่ไหลเอื่อยๆ ในบ่ออย่างระมัดระวังที่สุด เพียงชั่วขณะที่น้ำพุิญญาสีฟ้าใสไหลเข้าสู่ขวดหยกใบนั้น จู่ๆ อักษรสีทองเรืองแสงที่ซ่อนอยู่ใต้ลวดลายเถาวัลย์ก็พลันสว่างวาบขึ้นราวกับตอบสนองต่อน้ำในบ่อ
“นี่มันอะไรกัน?”
นางอุทานด้วยความใเล็กน้อย แต่ยังคงรองน้ำต่อไปจนเต็มขวด จากนั้นนางจึงรีบปิดจุกฝาขวดทันที
ทว่าเมื่อปิดฝาขวดลงเรียบร้อย กลับมีแสงสีเขียวอมทองเปล่งประกายออกมาจากตัวขวดหยกใบนั้นอีกครั้ง และทันใดนั้นเอง ขวดหยกก็เกิดเสียงหึ่งเบาๆ สั่นะเืในมือเล็กของนางอย่างน่าอัศจรรย์
ไป๋อวี้เจียวเบิกตากว้าง มองขวดในมือด้วยความตกตะลึง รู้สึกได้ชัดเจนถึงพลังลึกลับที่กำลังแล่นพล่านไปทั่วตัวขวด ก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หรือว่า…ขวดใบนี้จะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด?”
นางกระซิบกับตนเองในใจอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าคิดต่อไปมากกว่านั้นอีก
เมื่อทุกอย่างสงบลง ไป๋อวี้เจียวก็ถือขวดหยกนั้นไว้ในมือแน่น พลางหลับตาลงและแตะที่รอยสักแหวนหยกบนนิ้วของตน จากนั้นจึงสั่งการด้วยจิตของนางเองว่า “ออก”
วูบ!
ทุกสิ่งรอบตัวดำมืดลงในพริบตา ร่างเล็กๆ ของนางรู้สึกราวกับถูกกระชากผ่านกาลเวลาอีกครั้ง ก่อนที่แสงสว่างจากโลกภายนอกจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ล้อรถม้ายังคงส่งเสียงบดขยี้ไปกับถนนที่มีหิมะปกคลุม ไป๋อวี้เจียวกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้งเพื่อเรียกสติกลับมา มองเห็นตัวเองยังอยู่ในรถม้าเช่นเดิม เพียงแต่คราวนี้ ในมือของนางมีกำขวดหยกสีเขียวใบนั้นติดมือมาด้วยจริงๆ
“สำเร็จแล้วจริงๆ ด้วย!” นางอุทานอย่างเบิกบานใจ
ในจังหวะนั้นเอง นางหันไปมองท่านแม่ที่นอนอยู่ข้างๆ ท่านแม่ยังคงหลับเพราะพิษไข้ที่ดูเหมือนว่าจะหนักกว่านาง เพราะแม้ว่านางจะขยับตัวแล้วแต่ท่านแม่ยังคงไม่ตื่น ไป๋อวี้เจียวค่อยๆ หันหลังให้ท่านแม่เพื่อใช้ตัวบังสิ่งที่นางกำลังทำอยู่ นางอดไม่ได้ที่จะเปิดฝาขวดหยกเพื่อมองดูน้ำพุิญญาที่อยู่ข้างในอีกครั้ง ทว่าทันทีที่นางเปิดจุกฝาออก น้ำพุิญญาที่เพิ่งจะเทจนเต็มขวด กลับลดลงไปเล็กน้อย
แต่ก่อนที่นางจะทันใ น้ำในขวดก็พลันค่อยๆ เพิ่มระดับกลับคืนมาเหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับว่าขวดหยกใบนี้สามารถดูดซับน้ำพุิญญาจากบ่อนั้นโดยตรงได้ไม่รู้จบ!
“นี่มัน…ขวดไม่มีวันหมดอย่างนั้นหรือ!? มันสามารถ refill เติมได้ไม่อั้นเช่นนั้นหรือนี่ สุดยอดจริงๆ ” นางอุทานอย่างตกตะลึงจนเผลอเกือบปล่อยขวดหลุดจากมือ
“มหัศจรรย์เกินไปแล้ว!”
ใจของนางเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ขวดหยกที่ดูธรรมดา กลับกลายเป็สมบัติชิ้นล้ำค่าที่สุดอีกชิ้นหนึ่งของนางไปแล้ว
ไป๋อวี้เจียวเม้มริมฝีปากเล็กแน่น พยายามเก็บซ่อนความตื่นเต้นไว้ในใจ
“เช่นนี้… ครอบครัวของข้าก็ไม่ต้องกังวลเื่อาหารหรือยาอีกแล้วต่อจากนี้ไป ข้าจะสามารถช่วยเหลือท่านแม่และทุกคนได้อย่างเต็มที่”
นางลูบขวดหยกเบาๆ อย่างทะนุถนอม ราวกับว่ากำลังประคองขุมสมบัติล้ำค่าที่์มอบให้
และทันใดนั้นเอง นางก็ยิ้มกว้างดวงตาเปล่งประกายราวกับมีดวงดาวอยู่ข้างในอย่างน่ารักน่าเอ็นดู พลางบ่นกับตัวเองเบาๆ อย่างเริงร่า
“'ข้าช่างโชคดี' ‘ข้าช่างโชคดี’ จริงๆ ที่ข้าหยิบขวดใบนี้มา…ต่อจากนี้ เจียวเจียวจะขอเป็เด็กที่โชคดีที่สุดในโลกใบนี้ไปเลย!”
นางเอ่ยพร้อมกับััที่รอยสักรูปแหวนหารู้ไม่ว่า…คำพูดไร้เดียงสานั้นเอง กลับเป็การกระตุ้นพลังที่หลับใหลอยู่ในแหวนหยกพันปีให้เริ่มตื่นขึ้นอย่างช้าๆ เพียงแต่ว่าคำขอของนางนั้นยังไม่สมบูรณ์…มันยังรอคอย!!…ยังคงเฝ้ารอคอยคำขอสุดท้ายอยู่!!!
นางยิ้มกว้างอย่างดีใจ ดวงตากลมโตเปล่งประกายแห่งความสุขและตื่นเต้น ริมฝีปากเล็กๆ เม้มแน่นจนแก้มพองนิดๆ ท่าทางน่ารักไร้เดียงสาของเด็กหญิงที่แสนภาคภูมิใจในตัวเองเช่นนี้ หากผู้ใดได้เห็นคงไม่อาจห้ามใจไม่ให้รู้สึกเอ็นดูนางได้เลย ไป๋อวี้เจียวหันไปมองท่านแม่ที่หลับอยู่ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า
“ท่านแม่… รอข้าก่อนนะ ข้าจะรีบนำน้ำพุนี้ไปให้ท่านแม่ดื่ม ท่านแม่ต้องหายดีอย่างแน่นอน!”
นางเอ่ยกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น พลางกอดขวดหยกไว้แนบอก หัวใจของเด็กหญิงดวงเล็กๆ ดวงนี้เต็มไปด้วยความหวัง และความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะปกป้องครอบครัวของตนเองให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง
เดินทางสักพักหัวหน้าจางเจิงก็ประกาศให้หยุดพักอีกครั้ง ล้อรถม้าหยุดชะงักลงในที่พักแรมชั่วคราวที่ริมป่า เสียงลมหนาวพัดหวีดหวิวดังมาจากด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงของหัวหน้าคณะจางเจิง หยางหลิงเยว่ ก็ค่อยลืมตาขึ้นมา แม้ว่าเปลือกตาของนางจะหนักมากก็ตาม หญิงวัยกลางคนที่เคยสง่างาม บัดนี้มีใบหน้าซีดขาวอมเหลืองดูอิดโรย ดวงตาที่อ่อนล้าแสนเศร้า แม้ใบหน้าจะยังงดงาม แต่ความหมองเศร้านั้นทำให้ดูราวกับดอกไม้ที่โรยรากลางฤดูหนาว ไป๋อวี้เจียวเห็นแล้วถึงกับสะท้อนใจ
เสียงเล็กๆ ของนางเอ่ยเบาๆ เหมือนกำลังปลอบตัวเองไปด้วย นางรีบแล้วคลานเข้าไปใกล้ตัวมารดา ยื่นมือเล็กๆ ไปกุมมือของหยางหลิงเย่วไว้แน่น
“ท่านแม่… ท่านแม่เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?” นางเอ่ยถามเสียงใส สีหน้าห่วงใยจนคิ้วบางขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างน่าเอ็นดู
หยางหลิงเย่วลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า มองดูลูกสาวคนเล็กด้วยสายตาแสนรัก แต่เต็มไปด้วยความอิดโรย นางพยายามยิ้มอย่างอ่อนแรง ััมือเล็กของลูกสาวอย่างทะนุถนอม
“เจียวเจียว… เ้าเพิ่งจะฟื้นไข้เองมิใช่หรือ…เหตุใดจึงไม่พักผ่อนเล่า?” หยางหลิงเย่วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แ่เบา
“ข้าสบายดีเ้าค่ะ ท่านแม่ต่างหากที่ต้องได้รับการดูแลมากกว่า”
ไป๋อวี้เจียวยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตที่แสนสดใสเปล่งประกายอย่างบริสุทธิ์จริงใจจนคนมองหัวใจอ่อนยวบ
หยางหลิงเย่วมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู
“เ้านี่นะ…ป่วยอยู่แท้ ๆ ยังมีแรงมาดูแลแม่อีก…” นางถอนใจแ่เบา
“แม่ขอนอนพักสักหน่อยก็คงหายดีแล้วละ ลูกกลับไปนอนเถอะนะ เดี๋ยวจะกลับมาป่วยอีก…”
ไป๋อวี้เจียวสบตากลมโตมองมารดาอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มอ่อนโยนน่าเอ็นดูออกมา ดวงตากลมใสที่ดูไร้เดียงสานั้นทำให้ผู้ใหญ่ที่พบเห็นแทบไม่มีทางสงสัยว่านางจะโป้ปดอันใด
นางพลางคิดในใจว่า “ข้าตอนนี้เป็เพียงเด็กน้อยอายุสี่ขวบ จะพูดจาไร้สาระแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น พวกเขาไม่ว่าหรอก!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็แสร้งยิ้มหวานสดใส ดวงตาแป๋วเป็ประกายระยิบระยับ แล้วตอบมารดาเสียงแจ่มใสอย่างมั่นอกมั่นใจที่สุด
“ท่านแม่เ้าคะ ข้ามีความลับบางอย่างที่อยากจะบอกท่านแม่เ้าค่ะ เื่นี้จะบอกใครไม่ได้นะเ้าคะ!” ไป๋อวี้เจียวทำเสียงลึกลับสีหน้าจริงจังดูไร้เดียวสาแต่ดูน่ารักอย่างที่สุด
หยางหลิงเย่วเห็นท่าทางน่ารักของลูกน้อยของนางแล้วอดที่จะยิ้มและดึงนางมากอดไม่ได้
“เช่นนั้นลูกแม่ บอกมาเถิดหากว่าเป็ความลับ แม่ย่อมไม่มีทางบอกผู้ใด” นางเอ่ยขึ้นพลางอมยิ้ม
“คืออย่างนี้นะเ้าคะท่านแม่” ไป๋อวี้เจียวลุกขึ้นและนั่งทับเท้าของตัวเองในท่าทางให้ดูตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ร่างเล็กๆ นี่จะทำได้
“ในตอนที่ข้าป่วยหนักแล้วหลับไปนั้น… ข้าได้พบกับท่านเซียนหนวดขาวคนหนึ่งเ้าค่ะ!”
หยางหลิงเย่วมองหน้าลูกสาวคนเล็กนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆ ด้วยคิดว่าลูกสาวกำลังจินตนาการไปเองตามประสาเด็กที่เพิ่งผ่านอาการป่วยหนักมา
“ท่านเซียนหนวดขาวเช่นนั้นหรือ?” หยางหลิงเย่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย
“แล้วท่านเซียนว่าอย่างไรบ้างล่ะ เจียวเจียว?”
ไป๋อวี้เจียวเห็นมารดาดูท่าทางไม่ค่อยเชื่อ จึงยิ่งแสร้งทำสีหน้าจริงจังพลางเอ่ยต่อด้วยท่าทางน่าเอ็นดูจนหัวใจของคนเป็แม่แทบละลาย
“ท่านเซียนหนวดขาวท่านนั้นบอกว่า เห็นข้าเป็เด็กน้อยน่าสงสาร ครอบครัวต้องมาพบเจอโชคชะตาที่ลำบาก ท่านเลยสงสารข้า แล้วก็ให้ขวดน้ำทิพย์นี้มาเ้าค่ะ!”
จากนั้นนางก็ยกขวดหยกขึ้นมาให้ท่านแม่ดู หยางหลิงเย่วขมวดคิ้วเล็กน้อยที่อยู่ๆก็มีขวดหยกในมือลูกสาวของนาง…มันมาตอนไหนกัน
ไป๋อวี้เจียวหยุดนิดหนึ่งก่อนจะทำท่าคิด พลางยกมือข้างที่มีรอยสักรูปแหวนหยกขึ้นมาลูบเบาๆ พลางสบสายตากับมารดาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ที่สุด แล้วกล่าวด้วยเสียงเล็กๆ น่าเอ็นดูยิ่งนัก
“อ้อ! จริงด้วยเ้าค่ะ ท่านเซียนยังบอกอีกว่า ท่านจะให้ข้าขอพรได้หนึ่งข้อ!”
หยางหลิงเย่วเห็นท่าทางจริงจังของลูกสาวคนเล็ก ก็อดหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดูไม่ได้
“เช่นนั้นหรือ แล้วเจียวเจียวของแม่ขออะไรจากท่านเซียนล่ะ?”
ไป๋อวี้เจียวยิ้มกว้าง แก้มเล็กๆ ของนางแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยพลางตอบเสียงชัดถ้อยชัดคำ ดวงตากลมโตของนางเป็ประกายระยิบระยับกว่าเดิม
“ข้าขอให้ตัวเองเป็เด็กที่'โชคดี'ที่สุดในโลกนี้เ้าค่ะ! ไม่ว่าข้าจะคิดสิ่งใด ก็จะต้องสมปรารถนาทุกประการเลยนะเ้าคะ!”
คำกล่าวนั้นน่ารักและไร้เดียงสาเกินไปจนหยางหลิงเย่วหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขบขันและรักใคร่ยิ่งนัก นางยกมือเรียวบางขึ้นลูบศีรษะของลูกสาวด้วยความอ่อนโยน
“เจียวเจียวของแม่… เ้าช่างพูดจาไร้สาระเสียจริง แต่น่ารักน่าเอ็นดูจนแม่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว!”
หยางหลิงเย่วยิ้มอบอุ่นพลางคิดในใจว่าลูกสาวของนางก็เป็เพียงเด็กเล็กๆ เท่านั้น เื่ที่พูดคงเป็เพียงจินตนาการใสซื่อที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร
ทว่าสิ่งที่ทั้งสองไม่รู้เลยก็คือ ในชั่วขณะเดียวกันนั้นเอง เมื่อไป๋อวี้เจียวกล่าวคำอธิษฐานออกมาด้วยความไร้เดียงสา เสียงของนางกลับแฝงพลังลึกลับแห่ง์ที่ซ่อนอยู่ในรอยสักแหวนหยกของนาง ราวกับเทพเซียนเบื้องบนต่างยินดีและตอบรับคำอธิษฐานนั้นของนางทันที รอยสักเกิดสีทองสว่างวับขึ้นมาและเกิดความร้อนวูบขึ้นจนไป๋อวี้เจียวต้องยกนิ้วของตัวเองขึ้นมาดู ..เมื่อนางเห็นว่ารอยสักของนางดูเหมือนว่าจะมีสีทองแทรกอยู่ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางไม่มีเวลาคิดเื่นี้ เพราะภารกิจให้ท่านแม่ดื่มน้ำทิพย์นั้นยังไม่สำเร็จนั้นเอง
ที่แท้จริงแล้ว แหวนหยกพันปีวงนี้มีความลับซ่อนอยู่ คือทุกคนที่เคยแหวนนี้ในอดีตล้วนต้องคำสาปร้าย ทำให้ไม่มีผู้ใดได้ตายดีแม้แต่คนเดียว และเ้าของคนที่ 100 ของแหวนวงนี้จะต้องได้รับเคราะห์หนักที่สุดในก็ว่าได้!
ทว่าการที่ิญญาของไป๋อวี้เจียวเดินทางข้ามมิติและกาลเวลาเข้ามาสู่ร่างนี้ พร้อมกับการอธิษฐานด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์และไร้เดียงสาที่ขอให้ตัวเอง 'โชคดี 3 ครั้ง'ในชั่วขณะนั้นเอง กลับเปลี่ยนชะตากรรมของแหวนหยกพันปีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน! ตอนนี้แหวนหยกแห่งความโชคร้ายนั้นได้กลายเป็แหวนหยกที่นำโชคดีมาให้ผู้ที่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว…คำขอพรของนาง์ได้รับรู้และตอบรับแล้วนั้นเอง
เสียงฟ้าร้องดังครืนๆ อยู่ไกลออกไป ราวกับเทพเซียนบนฟ้ากำลังหัวเราะด้วยความพอใจและแสดงความยินดี พลังลึกลับที่อยู่ในรอยสักแหวนหยกเริ่มแปรเปลี่ยน พลังแห่งคำสาปอันร้ายแรงที่ดำรงอยู่มานับพันปีกลับสลายหายไป ราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน เหลือเพียงพลังอันบริสุทธิ์ที่อบอุ่นของโชคลาภอันไร้ขอบเขต พลังโชคลาภนี้จะช่วยปกป้องและส่งเสริมไป๋อวี้เจียวและผู้ที่นางรักตลอดไป
เพียงแต่ในเวลานี้ สองแม่ลูกยังไม่รู้เลยว่า… ชะตากรรมของทั้งสองได้ถูกเปลี่ยนไปแล้วอย่างสมบูรณ์ ด้วยคำอธิษฐานแสนบริสุทธิ์ของเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้
*** ชะตาชีวิตของนางอยู่ในมือของ...ไรท์เอง 5555 ****
