“เฟิงเอ๋อร์ เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
มู่เทียนขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม
มู่เฟิงมองมู่เทียนและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ สองปีมานี้ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ถึงลูกจะไม่มีท่านแม่คอยอยู่เคียงข้างั้แ่ยังเด็ก ส่วนท่านก็เข้มงวดกับลูกมาก และแม้ว่าลูกจะเคยไม่พอใจว่าเหตุใดเด็กบ้านอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกันถึงสามารถขึ้นขี่หลังบิดาของเขาได้ แต่ลูกกลับทำได้เพียงต้องควบขี่อยู่บนหลังอาชา ต้องอดทนฝึกดาบฝึกหอกทุกวันไม่อาจว่างเว้น ทว่าหลังจากข้าเติบใหญ่ข้าก็ตระหนักได้ว่าบิดาของข้ากำลังสอนในสิ่งที่บิดาของผู้อื่นไม่สามารถสอนได้ ทั้งนิสัยที่เข้มแข็ง จิตใจที่เด็ดเดี่ยว และทักษะการเอาตัวรอด
“สองปีกว่าแล้ว ทุกครั้งที่ลูกฝันไม่เคยมีครั้งไหนที่จะไม่มีท่านอยู่ในนั้นเลย แต่อดีตก็คืออดีต ท่านพ่อได้จากข้าไปแล้ว คลื่นพายุที่ถาโถมเข้ามาในอนาคตข้าจะแบกรับมันไว้เอง ข้ากลับไปใช้ชีวิตใต้ปีกของท่านพ่อเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ห้วงความฝันนี้ อย่างไรเสียสุดท้ายก็ต้องตื่น เ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้วซีเยว่! ทำลายภาพลวงตา!”
มู่เฟิงแผดเสียงออกมาดังลั่น จากนั้นเขาก็ตบฝ่ามือปล่อยพลังปราณไปยังอกของมู่เทียน อีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ จากนั้นร่างกายของมู่เทียนก็ค่อยๆ สลายไป แต่บนใบหน้านั้นยังคงมีรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ สมกับเป็บุตรชายของข้ามู่เทียน ถูกต้องแล้ว คลื่นพายุในอนาคตเ้าจะต้องแบกรับมันเอาไว้ด้วยตัวของเ้าเอง”
หลังจากมู่เทียนหัวเราะออกมา ร่างกายของเขาก็พลันสลายหายไป ในขณะเดียวกัน ร่างของผู้คนที่อยู่รอบข้างก็พลันสลายหายไปด้วยเช่นกัน เพียงไม่นานเบื้องหน้าของมู่เฟิงก็กลับมาเป็โถงที่อยู่ภายในวิหารอีกครั้ง
“เ้ามองออกั้แ่เมื่อใดว่านั้นคือภาพลวงตา?”
ซีเยว่ถามขึ้น
“ข้าไม่เชื่อว่ามันเป็เื่จริงั้แ่แรกแล้ว เหตุผลที่ข้าใช้เวลากันมันนาน นั่นเป็เพราะข้าอยากมองหน้าท่านพ่อให้นานขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น เวลาเดียวกันข้าก็คอยมองหาจุดที่จะสามารถทำลายค่ายกลลวงตานี้ไปด้วย”
น้ำตาหยดหนึ่งเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของมู่เฟิง
“มันคือค่ายกลลวงตาขั้นสาม สามารถทำให้ผู้คนตกอยู่ในภาพลวงตาจากจิติญญาของตนเองได้ หากว่าเ้าสามารถทำลายภาพลวงตานี้ได้ แสดงว่าเ้ามีจิตใจที่เข้มแข็งแน่วแน่ ไม่มีทางถูกสิ่งสวยงามบดบังสายตา”
ซีเยว่กล่าวชื่นชม
“ชีวิตของทหารมีเพียงต้องเตรียมพร้อมในสนามรบ จะมีสิ่งใดสวยงามกันเล่า? เหอะๆ แต่ไหนแต่ไรมาบิดาของข้าก็ไม่เคยให้ข้าเชื่อมั่นในเื่พวกนี้"
มู่เฟิงหัวเราะเยาะตัวเอง
“มู่เทียน เขามีคุณสมบัติความเป็พ่อที่เหมาะสมใช้ได้”
ซีเยว่พยักหน้า นี่ถือเป็ครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่นางยอมรับมู่เทียน
มู่เฟิงกวาดตามองไปทางคนอื่นๆ ก่อนจะพบว่าเวลานี้ทุกคนต่างก็เหม่อลอยสติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังคงจมอยู่ในภาพลวงตาของตัวเอง
ข่งย่วน ข่งเซวียนเอ๋อร์ หูเถี่ยหนิ่ว ซือถูคง เว่ยอี้อวิ๋นและคนอื่นๆ ยังคงติดอยู่ในภาพลวงตาจากจิติญญาของพวกเขาเอง
แน่นอนว่ามันเป็เื่ยากที่จะทะลวงภาพลวงตาเหล่านี้ออกมาได้ ถึงแม้ว่าเ้าตัวจะตระหนักได้ว่ามันคือภาพลวงตา แต่หากว่าไม่มีความเข้าใจในเื่ของค่ายกล ย่อมไม่มีทางหาจุดที่จะทำลายค่ายกลได้ และยิ่งไม่มีทางออกจากภาพลวงตาของจิติญญานี้ได้ด้วยเช่นกัน
มู่เฟิงมองโถงกลางขนาดใหญ่แห่งนี้ ก่อนจะพบว่าด้านหลังมีประตูบานใหญ่บานหนึ่งอยู่ เด็กหนุ่มจึงเดินไปยังประตูบานนั้นทันที ประตูบานนี้เป็ประตูเหล็กสีดำที่มีลายเส้นสลักเอาไว้บนบนบานประตูเหมือนกับประตูทางเข้าชั้นสามก่อนหน้านี้
“นี่คือลายเส้นป้องกันขั้นสี่ จากความสามารถของเ้าในตอนนี้ไม่มีทางเปิดมันได้ ให้ข้าทำเถอะ”
ซีเยว่กล่าวจบ ดวงิญญาของนางก็กลายเป็ลำแสงสีทองพุ่งทะยานออกมาจากหยกเทพชูร่าก่อนจะเข้าสู่ร่างจิตของมู่เฟิง และควบคุมร่างกายของเขา
นางควบคุมร่างกายของมู่เฟิงให้ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น จากนั้นก็ส่งคลื่นพลังปราณให้หลั่งไหลเข้าสู่ลายเส้นบนประตู ภายใต้การควบคุมอันยอดเยี่ยมของซีเยว่ พลังปราณได้กลายเป็เส้นใยจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ลายเส้นเ่าั้
ครืด ครืด ครืด...!
เสียงสั่นะเืดังขึ้น ประตูเหล็กบานนั้นเริ่มเปิดออก ไม่นานก็พบว่าด้านหลังของประตูคือช่องอุโมงค์ทางเดินแห่งหนึ่ง
ดวงิญญาของซีเยว่กลับคืนสู่หยกเทพชูร่า ส่วนมู่เฟิงก็เดินตรงเข้าไปตามทางเดิน ก่อนที่ประตูเหล็กจะปิดลงเอง
ทางเดินแห่งนี้มีลักษณะเป็แนวทแยงทอดตัวลงไปด้านล่าง เมื่อเดินลึกลงไปกว่าสิบเมตรแล้ว มู่เฟิงก็มาถึงห้องหินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ที่ใจกลางห้องหินแห่งนี้มีโลงศพสีทองตั้งอยู่สองโลง
“หรือว่าที่นี่คืออาณาเขตของชั้นสี่ นั่นคือโลงศพของท่านผู้นั้นหลังจากที่เขาตายอย่างนั้นหรือ?”
มู่เฟิงพึมพำกับตัวเอง แต่เขากลับรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดจึงมีโลงศพตั้งอยู่สองโลง
“ทางฝั่งซ้ายคือโลงของเ้าของสุสาน ส่วนทางขวาเป็โลงที่ถูกผนึกเอาไว้”
เสียงของซีเยว่ดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่เฟิง
มู่เฟิงเดินไปยังโลงศพของเ้าของสุสานก่อนจะเปิดฝาโลงออก เขาจึงพบว่ามีโครงกระดูกในชุดคลุมสีเทาที่มีเส้นผมสีขาวนอนอยู่ด้านในโลง เนื้อกระดูกของอีกฝ่ายนั้นดูราวกับหยกขาว ทั้งยังเปล่งแสงมันเงาเหมือนหยกออกมาอีกด้วย คาดว่านี่คงจะเป็ผลของผู้ฝึกตนที่สามารถบรรลุวรยุทธ์ได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ทำให้มีกระดูกราวกับหยกขาว
บนนิ้วมือของชายชรามีแหวนเฉียนคุนอยู่วงหนึ่ง นอกจากนี้บนทรวงอกของอีกฝ่ายยังมีป้ายหยกสีครามวางอยู่ด้วย
“ป้ายหยกนี้คือป้ายหยกเก็บิญญา คาดว่าด้านในคงจะมีคำพูดสุดท้ายที่คนผู้นี้ทิ้งเอาไว้ เ้าลองนำมันมาแนบกับหน้าผากและส่งพลังิญญาของเ้าเข้าไปดู”
ซีเยว่กล่าว
มู่เฟิงทำตามที่หญิงสาวบอก เขาส่งพลังิญญาเข้าไปในป้ายหยกทันที ฉับพลันนั้นก็ราวกับว่าจิติญญาของเขาได้หลุดเข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และเบื้องหน้าของเขาในตอนนี้มีชายชราผมขาวผู้หนึ่งอยู่
ชายชราคล้ายจะมองมาทางมู่เฟิงก่อนจะเอ่ยว่า “ผู้ที่ถูกลิขิตเอาไว้ ่เวลาที่เ้าได้พบป้ายหยกนี้ ผู้เฒ่าเช่นข้าก็คงจะรอคอยเ้ามานานนับพันปีแล้ว ข้ามีนามว่าจิ่วซาน มีหลายคนเรียกขานข้าว่า ปรมจารย์จิ่วซาน ตอนที่ข้ายังมีชีวิตข้ามีวรยุทธ์ระดับหลิงไห่ขั้นเก้า ข้าอยู่ในเส้นทางของการฝึกวรยุทธ์มานับแปดร้อยปี เมื่ออายุขัยของข้าหมดลงข้าก็มาอยู่ในสุสานแห่งนี้
“เฮ้อ หลังจากบ่มเพาะวรยุทธ์มานับแปดร้อยปี ในที่สุดการเดินทางอันยาวไกลของข้าก็สิ้นสุดลงเสียที โดยที่ยังไม่สามารถบรรลุระดับเทียนพั่วได้”
ชายชราถอนหายใจ พร้อมกล่าวออกมาอย่างขมขื่นและดูเหมือนจะไม่เต็มใจเป็อย่างยิ่ง
เหนือกว่าวรยุทธ์ระดับหลิงไห่แล้วยังมีระดับเทียนพั่วเพิ่มขึ้นมาอีก
เวลานี้ระดับวรยุทธ์ที่มู่เฟิงรู้จักมีั้แ่ระดับทงม่าย ระดับจื่อฝู่ ระดับหนิงกัง ระดับหยวนตาน ระดับหลิงไห่ ไปจนถึงระดับเทียนพั่วแล้ว
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มยังไม่เคยพบเห็นผู้แข็งแกร่งระดับหลิงไห่ตอนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่มาก่อน ฉะนั้นยิ่งไม่จำเป็ต้องกล่าวถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทียนพั่ว คาดว่าในสถานที่เช่นนี้คงยังไม่เคยมีผู้แข็งแกร่งระดับนั้นปรากฏขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำ
“ข้าผู้เฒ่าต้องไปแล้ว แต่ข้าไม่้าให้เคล็ดวิชาและความสำเร็จทั้งหมดของข้าต้องสูญสลายหายไปและกลายเป็เพียงกองขี้เถ้าไปพร้อมกับตัวข้า ดังนั้นข้าจึงได้ทิ้งเคล็ดวิชาพิเศษเอาไว้ เป็เคล็ดวิชาที่ยามที่ข้ายังมีชีวิตข้าได้ร่วมฝึกฝนมันกับหุ่นเชิดิญญาตนหนึ่งเป็เวลาหลายร้อยปี หุ่นเชิดตนนั้นอยู่ในโลงศพอีกโลงหนึ่ง ข้าได้ทำการหลอมมันขึ้นมาเป็หุ่นเชิดิญญาขั้นสี่ กล่าวได้ว่ามันอยู่ร่วมกับข้ามามากกว่าครึ่งชีวิตเลยทีเดียว ข้าเพียงหวังว่าเ้าจะปฏิบัติต่อมันอย่างมีเมตตา และนี่ก็เป็ความปรารถนาสุดท้ายของข้าผู้เฒ่าผู้นี้
“เส้นทางชีวิตอันยาวไกล เมื่อผ่านพ้นไปหลายพันปีทุกอย่างก็จะกลายเป็เพียงอดีต จะทำอย่างไรได้...”
หลังจากชายชรากล่าวคำเหล่านี้จบ ร่างของเขาก็พลันกลายเป็จุดแสงขนาดเล็กก่อนจะเลือนหายไปอย่างเงียบงัน และสูญสลายหายไปตลอดกาล
มู่เฟิงวางป้ายหยกลงบนโครงกระดูกและหยิบแหวนเฉียนคุนของอีกฝ่ายออกมา จากนั้นเขาก็ทำความเคารพโครงกระดูกของอีกฝ่ายในฐานะผู้าุโ
“ขอผู้าุโจิ่วซานจงไปสู่สุคติ”
มู่เฟิงปิดฝาโลงศพและไม่รบกวนอีกฝ่ายอีก จากนั้นเด็กหนุ่มก็เดินไปยังโลงศพอีกโลงที่อยู่ข้างกัน
ตามคำบอกเล่าของผู้าุโจิ่วซาน ในโลงศพนี้จะมีหุ่นเชิดิญญาขั้นสี่บรรจุอยู่ด้านใน
หากถามว่าหุ่นเชิดิญญาคือสิ่งใด มันคือหุ่นเชิดประเภทหนึ่ง ก่อนหน้านี้มู่เฟิงได้รู้จักกับหุ่นเชิดเกราะเหล็ก หุ่นเชิดเกราะเงิน และหุ่นเชิดเกราะทองมาแล้ว ส่วนหุ่นเชิดิญญานั้นคือหุ่นเชิดที่มีระดับเหนือกว่าหุ่นเชิดเ่าั้
หากหุ่นเชิดิญญาอยู่ในมือของผู้แข็งแกร่งระดับหลิงไห่ มันจะกลายเป็อาวุธรูปลักษณ์มนุษย์ที่มีพลังการต่อสู้อยู่ในระดับหลิงไห่เช่นกัน
“หรือว่าหุ่นเชิดิญญานี่จะมีพลังระดับหลิงไห่!”
มู่เฟิงมองไปยังโลงศพนั้นด้วยความตื่นเต้น
บนโลงศพมีแผ่นยันต์แปะเอาไว้หลายแผ่น มู่เฟิงหยิบแผ่นยันต์เ่าั้ออกและค่อยๆ แง้มฝาโลง ไม่นานเขาก็พบว่าภายในมีร่างไร้ิญญาที่สวมชุดคลุมสีครามของเด็กสาวผู้หนึ่งนอนอยู่ จากรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายน่าจะอายุราวๆ สิบกว่าปีเท่านั้น
เด็กสาวผู้นี้มีผิวขาวเนียนละเอียด คิ้วบางโก่งโค้ง แพขนตายาวหนา ใบหน้ากล่าวได้ว่างดงามหมดจด ถือได้ว่ามีความงามที่งามเป็เลิศเลยทีเดียว
ด้วยรูปลักษณ์ของนาง ทำให้ดูราวกับว่านางเพียงแค่นอนหลับไปเท่านั้น
แต่ทันใดนั้นเอง ดวงตาคู่สวยของนางก็ลืมขึ้น ก่อนจะจ้องมองมาทางมู่เฟิง!