เสียงนั้นดังมาจากข้างนอก
น้ำเสียงที่ฟังดูเรียบเฉยของฮั่วเยี่ยนไหวราวกับมีความเย็นะเืโดยกำเนิด ทั้งยังแผ่ความเอ้อระเหยออกมาหลายส่วน
ถัดมาก็ได้ยินเสียงของอิ๋งเฟิง
“เซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จ หลีกทางให้หมด”
ฝูงชนแยกออกเป็สองฝั่งทันที
ฮั่วเยี่ยนไหวสวมชุดคลุมสีม่วง เรือนผมยาวมัดครึ่งศีรษะ ไข่มุกบูรพาขนาดเท่ากำปั้นเล็กๆ ฝังอยู่บนกวาน ส่องแสงเจิดจ้าภายใต้แสงแดด ดูสูงส่งและเคร่งขรึม ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ
“ถวายบังคมเซ่อเจิ้งอ๋อง ขอเซ่อเจิ้งอ๋องทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี”
หอหลิวหลีที่ปกติมีพื้นที่กว้างขวาง ตอนนี้กลับแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่กำลังคุกเข่า
เงาร่างที่ดูองอาจยืนอยู่ตรงกลาง กลายเป็ทัศนียภาพอันงดงาม
“ท่านมาได้อย่างไร?”
ริมฝีปากสีชมพูของไป๋เซี่ยเหอค่อยๆ ยกขึ้นเป็เส้นโค้ง ถ้อยคำที่พูดออกมาเป็ธรรมชาติเสียจนไม่อาจเป็ธรรมชาติได้มากกว่านี้
ผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นต่างใจนไม่กล้าหายใจแรง
สตรีนางนี้หาญกล้าเกินไปแล้ว
นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเรียกขานเซ่อเจิ้งอ๋องว่า ‘ท่าน’
แม่นางผู้นี้ เป็คนดีๆ ไม่ชอบหรือ? คิดอย่างไรถึงได้ท้าทายอำนาจของเซ่อเจิ้งอ๋อง?
ทุกคนแทบจะมองเห็นภาพสตรีผู้นี้ถูกฟันจนเืสาดกระเซ็น
เพราะพวกเขารู้ดีว่าเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ชอบใกล้ชิดกับสตรี
ทว่า...
ฮั่วเยี่ยนไหวกลับเดินมาหาไป๋เซี่ยเหอทีละก้าว ก่อนจะยื่นมือไปคว้ามือเล็กขาวนุ่มของนางด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่ได้พบกันหนึ่งชั่วยามก็ราวกับห่างกันสามปี
ท่าทีเ็าหายไป ฮั่วเยี่ยนไหวพูดกับไป๋เซี่ยเหอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเป็อย่างยิ่ง “เปิ่นหวังได้ยินว่าวันนี้ชายารักอารมณ์ดี ออกจากจวนมาเดินเล่น จึงกังวลว่าเงินค่าขนมของชายารักจะไม่พอ เลยพาคนมามอบเงินให้ชายารักอย่างไรเล่า”
เขากระดิกนิ้วกลางอากาศสองที
ทันใดนั้นบุรุษในชุดรัดรูปสีดำสวมหน้ากากอินทรีโลหิตสีเงินบนใบหน้าสองคนก็เดินเข้ามา
พวกเขาช่วยกันถือหีบไม้สีแดงสูงเท่าครึ่งหนึ่งของบุรุษวัยผู้ใหญ่เอาไว้
ยามที่หีบถูกวางลงกับพื้น มันก็ส่งเสียงดังกึกก้องออกมา เห็นได้ว่าของที่อยู่ข้างในนั้นต้องหนักไม่น้อย
ไป๋เซี่ยเหอยิ้มบาง นางเอนร่างเข้าไปอิงแอบฮั่วเยี่ยนไหวก่อนจะถามว่า “ข้างในคืออะไรหรือ?”
คงไม่ใช่เงินทั้งหีบหรอกกระมัง?
หีบค่อยๆ เปิดออกภายใต้สายตาที่สงสัยของทุกคน
และนั่นก็แทบจะทำให้ตาของพวกเขาบอด
มีทองคำอยู่เต็มหีบ!
“ทองคำหนึ่งร้อยตำลึงให้ชายารักไว้จับจ่ายใช้สอยยามเดินเล่น นี่เพียงพอที่จะแลกกับรอยยิ้มของสาวงามได้หรือไม่?”
หากฟังจากน้ำเสียงของเขา จะเห็นได้ว่าน้อยนักที่จะมี่เวลาที่เขาพูดจาหยอกเย้าเช่นนี้ นิ้วชี้ที่มีข้อนิ้วเด่นชัดยื่นมือมาที่ใบหน้าของไป๋เซี่ยเหอ ก่อจะเชยคางของนางขึ้นเล็กน้อย เมื่อสบกับดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาราระยิบระยับคู่นั้นของนาง ลำคอของเขาพลันตีบตัน เขาต้องฝืนระงับความไม่สงบที่เกิดขึ้นภายในใจ
ตบหน้า!
นี่เป็การตบหน้าอย่างชัดเจน
กู้ิเยวี่ยที่เมื่อครู่ยังบอกว่าไป๋เซี่ยเหอยากจน ตอนนี้กลับมีใบหน้าเขียวคล้ำ นางปรารถนาให้สตรีที่ยืนอยู่ข้างกายของฮั่วเยี่ยนไหวคือตัวนางเอง
ดวงตาของนางจับจ้องไปที่หีบไม้สีแดงขนาดมหึมาด้วยความอิจฉาริษยา นางอยากมันจริงๆ!
เศษสวะอย่างไป๋เซี่ยเหอคู่ควรที่จะสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?
“เมื่อครู่เปิ่นหวังได้ยินว่าพวกเ้าพูดคุยเื่ซื้อร้านกันอยู่หรือ?”
เมื่อต้องสนทนากับผู้อื่น ความอ่อนโยนทั้งหมดก็ถูกเก็บงำทันที น้ำเสียงของฮั่วเยี่ยนไหวทุ้มต่ำราวกับความเย็นะเืในเหมันตฤดู หนาวจนเสียดแทงหัวใจผู้คน
เม็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลรินอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็แอ่งน้ำขนาดเล็กที่บริเวณเท้าของเถ้าแก้ ร่างพุงพลุ้ยตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ได้ แผ่นหลังหนาวเหน็บ
“ไม่มีผู้ใดพูดคุยเื่นั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลายปีมานี้เขาใช้ประโยชน์จากร้านนี้ในการฟอกเงินไม่น้อย แล้วจะยอมขายให้ผู้อื่นได้อย่างไร?
“เช่นนั้นเ้าหมายความว่า หูของเปิ่นหวังมีปัญหาอย่างนั้นหรือ?”
เขากวาดสายตาอย่างเลื่อนลอย แววตาลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ชั่วพริบตานั้นเอง เถ้าแก่หอหลิวหลีรู้สึกเพียงว่าความลับและความคิดทั้งหมดของตนเองถูกเปิดโปงต่อหน้าเขา
เซ่อเจิ้งอ๋องรู้อะไรเข้าแล้วใช่หรือไม่?
“ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยมิกล้าจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
“เช่นนั้นก็พูดคุยเื่ซื้อร้านกันอยู่จริงๆ สินะ?”
สตรีร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างเขาไหวไหล่เล็กน้อย นางพยายามกลั้นหัวเราะ
เหตุใดนางถึงไม่รู้มาก่อนว่าฮั่วเยี่ยนไหวเป็คนที่หน้าเนื้อใจเสือปานนี้?
เถ้าแก่แทบจะร้องไห้ออกมา ในใจอยากปฏิเสธอย่างยิ่งยวด ทว่ากลับเสียดายชีวิตยิ่งกว่า “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องไม่ได้ทรงฟังผิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเ้าคิดจะขายในราคาเท่าไร?”
เถ้าแก่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม “สาม...สามร้อยตำลึงพ่ะย่ะค่ะ”
ราคานี้คือราคาปกติของหอหลิวหลี
ทว่ามีเพียงเถ้าแก่เท่านั้นที่รู้ว่าเื้ัของหอหลิวหลีเป็แหล่งฟอกเงิน
ทว่าเขาเองก็ไม่กล้าพูด และยิ่งไม่กล้าปฏิเสธด้วย!
“การซื้อขายสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี”
หลังจากทั้งสองฝ่ายเจรจาเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็วแล้ว หอหลิวหลีก็ถูกโอนไปอยู่ภายใต้ชื่อของไป๋เซี่ยเหออย่างราบรื่น
ไป๋เซี่ยเหอคีบหนังสือโฉนดที่ดินกับหนังสือโอนร้านค้าไว้ จากนั้นก็ออกคำสั่งแรกด้วยน้ำเสียงเ็า
“วันหน้าหากสตรีผู้นี้เข้าใกล้ประตูร้านของเราแม้เพียงก้าวเดียว ให้ทุบตีนางและโยนตัวออกไปทันที!”
อะไรเรียกว่าร่ำรวย? นี่ต่างหากที่เรียกว่าร่ำรวย!
กู้ิเยวี่ยที่เมื่อครู่ยังถูกทุกคนมองว่าเป็สตรีที่มีฐานะร่ำรวย ทว่าในตอนนี้ใบหน้าอันหยิ่งผยองนั้นกลับถูกไป๋เซี่ยเหอเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้าโดยพลัน
เครื่องประดับสามสี่ชิ้นนับเป็อะไรได้?
ผู้อื่นซื้อทั้งร้านเชียวนะ!
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำของทุกคน ใบหน้าเล็กอันงดงามของกู้ิเยวี่ยก็แดงก่ำ
ถึงอย่างไรกู้ิเยวี่ยก็เป็เพียงหญิงสาวที่ยังเยาว์วัย ไหนเลยจะควบคุมตนเองได้ นางชี้หน้าไป๋เซี่ยเหออย่างไม่เกรงใจทันที
“พวกเ้าตาบอดหรือ? เงินที่นางซื้อร้านไม่ใช่ของนางเอง ทว่าเป็ของเซ่อเจิ้งอ๋อง ผ้าดิ้นอวิ๋นหรงที่หรูหราก็เป็ของเซ่อเจิ้งอ๋องเช่นกัน เหตุใดพวกเ้าถึงได้ยกยอนาง?”
นางอิจฉา อิจฉาจนแทบตายแล้ว
นางเพิ่งรู้เป็ครั้งแรกว่าเซ่อเจิ้งอ๋องที่เ็าและไร้เมตตา จะสามารถอดทนและตามใจสตรีที่ตนเองพึงใจเช่นนี้ได้
การกระทำของเขาแทงทะลุเข้าไปในหัวใจของนาง
ยิ่งทำให้นาง้าแต่งเข้าจวนเซ่อเจิ้งอ๋องมากขึ้นเรื่อยๆ
นางคือกู้ิเยวี่ย นางย่อมคู่ควรกับบุรุษที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้านี้!
“ข้าคือพระชายาเซ่อเจิ้งอ๋อง สิ่งใดที่เป็ของเซ่อเจิ้งอ๋อง ก็ย่อมเป็ของข้าด้วยไม่ใช่หรือ? เ้ามีความเห็นใดหรือไม่?”
ไป๋เซี่ยเหอยอมรับอย่างเปิดเผย ขณะเดียวกันก็ยิงลูกธนูแทงเข้าหัวใจของกู้ิเยวี่ยอย่างโเี้
“เ้า!”
กู้ิเยวี่ยถูกขัดคอจนพูดไม่ออก น้ำตาขนาดเท่าเม็ดถั่วกลิ้งอยู่ในดวงตา อยากให้ไหลก็ไม่ไหลออกมา ดูน่าสงสารยิ่งนัก
เดิมทีนางสวมชุดกระโปรงสีชมพู เมื่อโมโหจนใบหน้าเปลี่ยนเป็สีแดงอมชมพู จึงดูราวกับดอกกุหลาบที่บอบบาง
นางเดินไปตรงหน้าของฮั่วเยี่ยนไหวอย่างสง่างาม ก่อนจะทำความเคารพอย่างอ่อนช้อย “ท่านอ๋อง ท่านจำข้าได้หรือไม่เ้าคะ?”
เมื่อฮั่วเยี่ยนไหวเห็นดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของนาง เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยอย่างเรียบเฉย “จำไม่ได้”
พวงแก้มสีแดงอมชมพูแปรเปลี่ยนเป็สีคล้ำราวกับตับหมูทันที นางโมโหแทบตายแล้ว
ทว่านางต้องอดทน
ตอนนี้จำไม่ได้ก็ไม่เป็ไร รอให้นางแต่งเข้าจวนเซ่อเจิ้งอ๋องก่อน เดี๋ยวเขาก็จำได้เอง
เมื่อถึงเวลาจะไม่ใช่แค่จำได้ ทว่ายังได้ใกล้ชิดสนิทสนม และร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกวันด้วย
เมื่อกู้ิเยวี่ยมองบุรุษตรงหน้าที่มีรูปโฉมหล่อเหลาไม่ธรรมดา แข้งขาก็อ่อนระทวยแล้ว
“ท่านอ๋อง นามของข้าคือกู้ิเยวี่ย พวกเราเคยพบกันมาก่อนนะเ้าคะ”
“...”
ไป๋เซี่ยเหอลอบถอนหายใจอย่างทนไม่ไหว นางยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ นึกไม่ถึงว่าจะถูกกู้ิเยวี่ยมองข้ามโดยสิ้นเชิง
ท้ายที่สุดแล้วนางไม่มีตัวตน หรือท่านอ๋องของนางมีเสน่ห์มากเกินไปกันแน่?
“เ้าพูดจบหรือยัง? พวกเราจะไปแล้ว”
ไป๋เซี่ยเหอที่เห็นฝูเอ๋อร์ถือข้าวของพะรุงพะรังอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
------------------------