อาเหยียนน้อยพิงบานประตูและตั้งใจฟังจนกระทั่งเขาแน่ใจว่าเหยาเชียนเชียนออกจากเรือนไปแล้วจริงๆ จึงค่อยกลับไปนอนเกลือกกลิ้งบนเตียงอย่างฉุนเฉียว
โอ๋อีกสักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร หากโอ๋อีกสักหน่อยเขาก็จะหายโกรธอยู่แล้ว
“พ่อจำไม่ได้เลยว่าแต่ก่อนเ้ามีนิสัยไร้เหตุผลเช่นนี้”
แมวดำะโเข้ามาจากทางหน้าต่างโดยไร้เสียง มันะโขึ้นบนโต๊ะอย่างง่ายดายและสบตากับอีกฝ่าย
แสงอ่อนจางสายหนึ่งวาบขึ้น บนเตียงปรากฏลูกแมวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว มันกัดหมอนราวกับกำลังระบายความโกรธ ขาหลังสองข้างยังคงตะกุยไปทั่ว
“เมื่อวานท่านแม่ของเ้าเอาแต่พูดถึงเ้าตลอดเวลา วันนี้ก็ทำอาหารมากมายมาส่งให้เ้าั้แ่เช้าตรู่ เ้าจะไม่กินสักคำจริงๆ หรือ?”
การเคลื่อนไหวของลูกแมวหยุดลงก่อนจะร้องเสียงอ่อนมาทางเขา
นางถือไปหมดแล้ว ยังจะให้กินอะไรอีกเล่า
แววตาของแมวดำเต็มไปด้วยแววขบขันพลางกล่าวว่านางไปแล้วก็จริง แต่อาหารยังวางทิ้งไว้ให้เขาทั้งหมด นั่นเป็อาหารที่นางเตรียมไว้ให้เขาโดยเฉพาะ เช่นนั้นจะถือไปให้ผู้อื่นอีกทำไม
“เมื่อเ้าคืนร่างมนุษย์แล้ว ร้องเรียกไปข้างหน้าสักหน่อยก็ได้แล้ว” แมวดำะโขึ้นไปบนเตียงและสั่งสอนอย่างจริงใจว่า “อย่าโกรธแม่ของเ้าอีกเลย เมื่อวานนางก็โทษตัวเองอยู่นานเช่นกัน”
ลูกแมวปีนขึ้นไปถูไถกับตัวอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้โกรธท่านแม่จริงๆ หรอก เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาเพียงแค่ใจร้อนไปหน่อยเท่านั้น
อวี่เหลียนเอ๋อร์ผู้นั้นเป็คนไม่ดี ลูกแมวส่งเสียงร้องใส่ผู้เป็พ่ออย่างจริงจังสองครั้ง ไม่ควรปล่อยให้ท่านแม่ใกล้ชิดกับนาง
“เช่นนั้นเหตุใดเ้าถึงไม่คุยกับแม่เล่า” แมวดำกล่าว “นางฟังเ้ามาตลอด หากเ้าบอกนางดีๆ ก็ไม่ต้องมากัดหมอนอยู่ที่นี่”
ลูกแมวก้มหน้า เมื่อเห็นว่าพ่อของตัวเองสะบัดหางไปมาก็อดที่จะพุ่งเข้าไปงับไม่ได้
เช่นนั้นเหตุใดท่านพ่อไม่ไปบอกท่านแม่เล่า ทั้งๆ ที่ท่านพ่อก็รู้อยู่ ให้ข้าไปพูดเอง หากท่านแม่คิดว่าข้ารังแกนาง จะไม่ทำให้ท่านแม่รู้สึกผิดหวังยิ่งกว่าเดิมหรือ
แมวดำอยากปัดลูกชายที่อยู่บนหางออกเหลือเกิน ทว่ายังต้องอดกลั้นเอาไว้ และวางมาดพ่อผู้เมตตาพูดแนะนำเขา
“โดยปกติแม่ของเ้ารักเ้ามาก นางจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร แม้ว่าคนในจวนล้วนไม่เข้าใจเ้า แต่แม่ของเ้าก็จะเข้าใจเ้า ดังนั้นจึงไม่มีเื่ใดต้องเป็กังวล”
แมวดำหยุดชะงักไปชั่วครู่และกล่าวอีกว่า “แต่เื่นี้ก็ไม่จำเป็ต้องรีบกล่าวให้ชัดเจน แม่ของเ้าไม่ใช่คนเขลา เื่บางเื่นางสามารถมองได้ชัดแจ้ง เพียงให้เวลานางสักหน่อยก็พอแล้ว”
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถััได้ถึงความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย การจะมองคนผู้หนึ่งได้ชัดแจ้งจริงๆ นั้นจำเป็ต้องใช้เวลา
เช่นนั้นท่านแม่จะมีอันตรายหรือไม่?
ลูกแมวชะงักเล็กน้อยราวกับเพิ่งตระหนักถึงปัญหานี้ได้เมื่อครู่ เขายังคงไล่กัดหางของอีกฝ่ายไปมา เขาไม่ควรทะเลาะกับท่านแม่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทะเลาะกัน แต่การไม่ได้อยู่ใกล้ท่านแม่ก็จะกลายเป็การเปิดโอกาสให้ผู้อื่น
“วางใจเถิด มีเ้าอยู่ทั้งคน ไม่ว่านางจะมีอันตรายใดๆ ก็ไม่อาจปิดบังจากเ้าได้”
แมวดำเลียขนให้บุตรชาย ขอเพียงทั้งคู่ไม่ทะเลาะกันอีกเป็พอ หวังเฟยของเขาจะได้เลิกเอาแต่ละเมอเรียกอาเหยียนเสียที อาการง้องอนที่ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไรเช่นนี้ก็ชวนให้ปวดหัวได้เช่นกัน
เมื่อปลอบโยนบุตรชายเรียบร้อยแล้ว ชิงผิงอ๋องก็ไปที่เรือนของเหยาเชียนเชียนอีกครั้งด้วยความรู้สึกสบายใจ หมายจะไปทักทายนางทางอ้อมเพื่อบอกว่าลูกชายของนางแสดงท่าทีจะคืนดีกันแล้ว
“ถวายบังคมเพคะท่านอ๋อง” อวี่เหลียนเอ๋อร์รีบคุกเข่าลง
“เ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เป่ยเหลียนโม่พินิจมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเงาของเหยาเชียนเชียน นางน่าจะไม่อยู่ที่เรือน
“ทูลท่านอ๋อง พ่อบ้านสั่งให้หม่อมฉันทำงานบ้านงานเรือนง่ายๆ เล็กน้อยเพคะ ดังนั้นจึงจัดสรรให้หม่อมฉันมาเช็ดทำความสะอาดสิ่งของที่จัดวางไว้ในห้อง” อวี่เหลียนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองเขาด้วยสายตาผ่อนคลาย
“เหลียนเอ๋อร์ได้รับความเมตตาจากหวังเฟยเหนียงเหนี่ยง ดังนั้นจึงอยากจะทำความสะอาดให้หวังเฟยเหนียงเหนี่ยงสักเล็กน้อยเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก ถึงอย่างไรภายในห้องก็ไม่มีของสำคัญใดๆ จึงปล่อยให้นางทำตามที่้า
“เ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดี หวังเฟยไม่อยู่ ไว้เปิ่นหวังจะกลับมาอีกที”
อวี่เหลียนเอ๋อร์ตอบรับเบาๆ ทว่ายังไม่ทันที่เป่ยเหลียนโม่จะก้าวออกจากเรือนก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากข้างในห้อง คล้ายกับเป็เสียงสิ่งของตก
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวย้อนกลับไป พอเข้าไปก็เห็นอวี่เหลียนเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างโต๊ะเครื่องแป้งด้วยท่าทางตื่นตระหนก กล่องไม้ใบหนึ่งพลิกคว่ำอยู่บนพื้น จดหมายกองหนึ่งกระจัดกระจายไปทั่ว บนจดหมายจ่าหน้าถึง ‘ซานหลาง [1]’
“ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย เหลียนเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจ เพียงแค่มือลื่นไปชั่วขณะจึงไม่ระวังจนทำสิ่งของของหวังเฟยเหนียงเหนี่ยงตก เหลียนเอ๋อร์จะเก็บกวาดเดี๋ยวนี้เพคะ!”
เป่ยเหลียนโม่ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังจดหมายที่กระจัดกระจายและยื่นมือออกไปพลางกล่าวว่า “ส่งมาให้เปิ่นหวัง”
อวี่เหลียนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นด้วยตัวสั่นเทาและยื่นจดหมายให้ชิงผิงอ๋องอย่างลังเล จดหมายหลายสิบฉบับซ่อนอยู่ในกล่องไม้ใบเล็กที่ไม่สะดุดตานี้ หากวันนี้นางไม่ได้ปัดตกพื้นก็เกรงว่าคงไม่มีโอกาสที่จะถูกผู้อื่นค้นพบ
เป่ยเหลียนโม่เปิดอ่านจดหมายทีละฉบับ หลังจากอ่านจดหมายสามฉบับติดต่อกัน เขาก็หาเก้าอี้มาและนั่งลง นิ้วเรียวยาวของเขาเคาะลงบนจดหมายเ่าั้แ่เบา และกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
“เปิ่นหวังมีธุระให้เชิญหวังเฟยกลับมา เ้าไปเรียกนางมาสิ”
อวี่เหลียนเอ๋อร์สังเกตสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าความอ่อนโยนในดวงตาสีดำสนิทของเขาพลันเลือนหายไป และดวงตาของเขาหลุบลงเล็กน้อย ทำให้ไม่สามารถมองทะลุความคิดที่แท้จริงของเขาได้
ทุกคนในนครหลวงแห่งนี้ต่างรู้กันว่าองค์ชายสามและพระชายาของชิงผิงอ๋องเป็อดีตคู่กิ่งทองใบหยกที่มีใจต้องกัน ทว่าพวกเขาก็ไม่คาดคิดว่าชิงผิงอ๋องจะปรากฏตัวขึ้น จากนั้นงานแต่งงานก็ถูกจัดขึ้นในจวนชิงผิงอ๋อง
“ท่านอ๋อง เหลียนเอ๋อร์ได้รับรู้จากที่หวังเฟยเหนียงเหนี่ยงเคยเล่าไว้ ระหว่างนางและองค์ชายสามเป็เพียงความสัมพันธ์เมื่อหลายปีก่อน ยามนี้ในเมื่ออภิเษกกับท่านอ๋องแล้ว เช่นนั้นก็ควรจะลืมเลือนอดีตไปเสีย”
อวี่เหลียนเอ๋อร์คุกเข่าลงและคลานเข่าไปหยุดอยู่แทบเท้าของเป่ยเหลียนโม่
“หวังเฟยเหนียงเหนี่ยงยังคงเก็บจดหมายเหล่านี้ไว้ นางอาจจะเก็บไว้เพียงเพื่อระลึกถึง่เวลาในวัยเยาว์เท่านั้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม แม้ว่าหวังเฟยเหนียงเหนี่ยงจะยังคงหลงเหลือเยื่อใยอยู่บ้าง ทว่ายามนี้นางก็เป็พระชายาของท่านอ๋องแต่เพียงผู้เดียว พระองค์อย่าทรงกังวลไปเลยเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่มองนางด้วยแววตาเรียบเฉย ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อย
“เ้าหมายความว่า หวังเฟยยังคงคะนึงหาพี่สามอยู่ แต่เพราะอภิเษกกับเปิ่นหวังแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ในใจ ใช่หรือไม่?”
อวี่เหลียนเอ๋อร์ค้อมคำนับกับพื้น น้ำเสียงเจือแววร้อนรนอยู่หลายส่วน
“เหลียนเอ๋อร์ไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะเพคะ ท่านอ๋อง หวังเฟยแต่งเข้าจวนอ๋องแล้ว ไยพระองค์ถึงยังสนใจอดีตของนางอยู่อีกเล่า หวังเฟยทุกข์ใจมากพอแล้ว และมีเพียงจดหมายเหล่านี้ช่วยปลอบประโลมจิตใจ เหตุใดพระองค์จะต้องเปิดแผลในใจของหวังเฟยอีกเล่า”
เป่ยเหลียนโม่พยักหน้า “การแต่งงานกับเปิ่นหวังทำให้นางต้องทนทุกข์ใจ ยามนี้พอกล่าวถึงมันอีกครั้งก็จะยิ่งทำให้นางเป็ทุกข์ ใช่สิ การแต่งงานครั้งนี้เปิ่นหวังเป็คนยื้อแย่งมาเองในคราแรก นางทนทุกข์มามากพอแล้ว”
อวี่เหลียนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบหน้า กล่าวว่าเนื่องจากหวังเฟยซ่อนจดหมายเหล่านี้ไว้อย่างระมัดระวัง นั่นแสดงว่านางไม่้าให้ผู้อื่นเห็นด้วยเพราะละอายใจ ยามนี้ถูกท่านอ๋องรับรู้โดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว เหตุใดเขาจึงไม่รักษาหน้านางบ้างเล่า
“ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรอง หากท่านอ๋องทรงขัดแย้งกับหวังเฟยเหนียงเหนี่ยงด้วยมีเหตุจากเื่นี้ เช่นนั้นหากคนนอกได้ยินเข้าก็มีแต่จะหัวเราะเยาะจวนอ๋องของเราและหัวเราะเยาะท่านอ๋องนะเพคะ”
นางโอดครวญอย่างเป็ทุกข์ มิสู้ทำให้เื่ใหญ่กลายเป็เื่เล็ก และขจัดเื่เล็กให้หมดไป ถึงอย่างไรก็เป็เพียงจดหมายจำนวนหนึ่งที่หวังเฟยใช้ปลอบประโลมจิตใจในยามค่ำคืนเท่านั้น เห็นแก่สถานะสามีภรรยา เขาควรจะแสร้งทำเป็ไม่รู้เื่นี้
“หวังเฟยของเปิ่นหวังเก็บจดหมายของชายอื่นไว้ และใช้จดหมายเหล่านี้มาปลอบประโลมตัวเองอย่างลับๆ อยู่ทุกวัน เ้าจะให้เปิ่นหวังทำเป็ไม่รู้เื่หรือ?”
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะเสียงเย็น “ไปเชิญหวังเฟยมา เปิ่นหวังจะรอนางอยู่ที่นี่”
อวี่เหลียนเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนพลางร้องห่มร้องไห้ นางออกจากเรือนไปโดยที่หันกลับมาเป็ระยะๆ ในขณะที่เหยาเชียนเชียนกำลังนอนให้อาหารปลาอยู่ริมสระน้ำของอาเหยียน ในใจกลัดกลุ้มด้วยไม่รู้ว่าจะง้อลูกอย่างไรดี ก่อนจะเห็นอวี่เหลียนเอ๋อร์วิ่งเหยาะๆ เข้ามาจากไกลๆ
“เกิดอะไรขึ้น” นางเอ่ย “ช้าหน่อย หากหกล้มไปจะทำอย่างไร”
“หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง” อวี่เหลียนเอ๋อร์คุกเข่าลงต่อหน้าเหยาเชียนเชียนดัง ‘ฟุ่บ’ “ท่านอ๋องเห็นจดหมายที่พระองค์ใช้ติดต่อกับองค์ชายสามแล้ว และให้เรียกพระองค์กลับไปที่เรือนเพคะ!”
เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้วมุ่น จดหมายอะไรกัน เหตุใดถึงมีชื่อองค์ชายสามอีกแล้ว คำนี้จะหายจากชีวิตของนางไปสักสองสามวันไม่ได้เชียวหรือ?
“เป็ความผิดของเหลียนเอ๋อร์เองเพคะ เหลียนเอ๋อร์ไม่ระวังทำกล่องของหวังเฟยเหนียงเหนี่ยงพลิกคว่ำ จดหมายที่อยู่ข้างในถูกท่านอ๋องอ่านทั้งหมดแล้ว เหลียนเอ๋อร์พยายามช่วยหวังเฟยเหนียงเหนี่ยงอธิบายอย่างเต็มที่แล้ว ทว่าท่านอ๋อง...ท่านอ๋องกลับคิดว่าในพระทัยของหวังเฟยเหนียงเหนี่ยงยังซ่อนองค์ชายสามไว้ ดังนั้นจึงเก็บจดหมายเ่าั้ไว้เพื่อระลึกถึงทุกคืนวัน”
อวี่เหลียนเอ๋อร์คว้าชายอาภรณ์ของเหยาเชียนเชียนไว้พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง จะทำอย่างไรดีเพคะ ท่านอ๋องทรงคิดว่าพระองค์มีสัมพันธ์กับองค์ชายสาม เดิมทีท่านอ๋องก็ถือเื่นี้อยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งไม่เชื่อเหนียงเหนี่ยงมากขึ้นไปอีก”
ผู้ใดพยายามจะป้ายสีนางอีกเล่า เหยาเชียนเชียนเหนื่อยล้าเหลือเกิน ั้แ่นางมาที่นี่ก็ไม่เคยเขียนจดหมายถึงองค์ชายสามเลยสักตัว ดังนั้นจะมีจดหมายได้อย่างไร?
“ท่านอ๋องยังกล่าวอันใดอีกหรือไม่?” เหยาเชียนเชียนเอ่ยถาม
อวี่เหลียนเอ๋อร์ร้องไห้เสียจนหายใจไม่ทัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจแทนเหยาเชียนเชียน และกล่าวว่าคำพูดของคนต่ำต้อยเช่นนางนั้นไร้น้ำหนัก ชิงผิงอ๋องไม่ได้ฟังที่นางอธิบายเลย ต่อให้นางพยายามบอกชิงผิงอ๋องแล้วว่าจดหมายเ่าั้ไม่มีความหมายใดๆ ทว่าท่านอ๋องก็ไม่ทรงเชื่อ
“ท่านอ๋องตรัสว่า การที่ต้องแต่งเข้าจวนอ๋องทำให้พระองค์ต้องทนทุกข์ใจ อีกทั้งยังต้องรอให้ถึงยามราตรีอันเงียบสงบไร้ผู้คนจึงจะกล้านำจดหมายเหล่านี้มาปลอบประโลมตนเอง ทว่าเขาก็ยังจะเปิดาแของพระองค์เสียให้ได้ หวังเฟยเหนียงเหนี่ยง เหลียนเอ๋อร์คิดว่าท่านอ๋องทรงเชื่อจริงๆ ว่าพระองค์ลอบติดต่อกับองค์ชายสาม อีกครู่พอพระองค์ไปถึงจะต้องระวังอย่างยิ่งเลยนะเพคะ”
เหยาเชียนเชียนได้ฟังถ้อยคำประชดประชันเช่นนี้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา นางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกลับไปที่เรือนของตัวเอง
เมื่อนางกลับมาถึง เป่ยเหลียนโม่ก็อ่านจดหมายครบทั้งหมดแล้ว จดหมายเ่าั้กระจัดกระจายไปทั่วทั้งโต๊ะ สีหน้าของเขาเ็า และมองมาที่นางโดยไม่กล่าวอะไรเลย
“ท่านอ๋อง” เหยาเชียนเชียนชะโงกหน้าเข้ามา เมื่อเห็นจดหมายที่อยู่บนโต๊ะก็ต้องใกับจำนวนของมัน มาจากที่ใดมากมายขนาดนี้?
“ทุกวันนี้ยามอยู่ในจวนหวังเฟยมีความสุขดีหรือไม่?”
เป่ยเหลียนโม่ค่อยๆ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาและอ่านมันด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “พลิกกายไปมา ยามราตรีมิอาจหลับใหล เปิ่นหวังไม่รู้เลยว่าหวังเฟยนอนกระสับกระส่ายอยู่ทุกค่ำคืน สำหรับหวังเฟยแล้ว จวนชิงผิงอ๋องฟังดูแล้วก็คล้ายกับกรงขังก็ไม่ปาน สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้หวังเฟยแล้วจริงๆ”
เหยาเชียนเชียนถอนหายใจ นางไม่รู้ว่าจดหมายเหล่านี้มาจากที่ใดหรือเขียนอะไรไว้บนนั้น เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางของชิงผิงอ๋องอย่างชัดเจนแล้วก็คิดว่าคงไม่ใช่เื่ที่ทำให้เขาพอใจเป็แน่
เขาไม่พอใจ เช่นนั้นนางจะต้องมีโชคร้ายตามมาอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋อง จดหมายเหล่านี้ไม่ใช่ของหม่อมฉันนะเพคะ” นางกะพริบตา “หากพระองค์ไม่เชื่อ สามารถถามบ่าวไพร่ที่รับใช้ข้างกายหม่อมฉันได้ว่าเคยเห็นหม่อมฉันตอบจดหมายกับผู้ใดหรือไม่ อีกอย่างหม่อมฉันก็หลับสบายดีทุกคืน ท่านอ๋องคงไม่ทราบ แต่พระองค์ดูสีหน้าเช่นนี้ของหม่อมฉันก็จะทราบได้ว่าคำเ่าั้ล้วนเป็เื่ปั้นแต่ง”
เป่ยเหลียนโม่หยิบซองจดหมายซองหนึ่งโยนไปตรงหน้าเหยาเชียนเชียน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
“หลายปีก่อน เปิ่นหวังเคยได้ยินกับหูว่าหวังเฟยเรียกพี่สามว่าซานหลาง เปิ่นหวังขอถาม ในใจของหวังเฟยมีซานหลางกี่คนหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] ซานหลาง หมายถึง คำที่ใช้เรียกลูกชายลำดับที่สาม หรือคำที่สตรีใช้เรียกชายคนรักในสมัยโบราณ
