ในวันที่ฝนตกเช่นนี้แม้แต่รถแท็กซี่ก็ยังเป็ที่้า ทั้งสองคนจึงเดินออกไปไกลมาก แล้วเขาก็ได้แชร์รถกับคนคนหนึ่ง อีกฝ่ายเป็พนักงานออฟฟิศ ซึ่งดูแล้วน่าเวทนากว่าเขาทั้งสองคนเสียอีก เขาเอาแต่เร่งคนขับรถให้เร็วขึ้นอีกหน่อย เร็วขึ้นอีก เขากำลังจะสายอยู่แล้ว เร่งอยู่เช่นนี้จนทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเครียดขึ้นมาอย่างประหลาด ที่จริงแล้วเื่ไปโรงเรียนสายก็ไม่ใช่เื่แปลกใหม่อะไรสำหรับเขา แต่ประเด็นมันอยู่ที่เด็กเรียนสุดๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาท่านนี้
“นายจะร้อนใจไปทำไมเนี่ย? ” เซี่ยเจิงชนเข้าที่ขาของชวีเสี่ยวปอที่กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง “พวกเรายังมีเวลาโอ้เอ้ได้อีกตั้งครึ่งชั่วโมง”
“นายดูออกแล้วเหรอ? ” เมื่อชวีเสี่ยวปอได้ยินที่เซี่ยเจิงพูดจึงยิ้มออกมา “เดิมทีโหยวเจียให้นายมาช่วยฉันให้พัฒนาไปด้วยกัน แต่ถ้าฉันไปดึงนายให้ตกต่ำลงมาเหมือนฉันจะทำยังไงละ? ”
“งั้นมันก็คงจะเป็ชะตากรรมของฉันแล้วละ” เซี่ยเจิงเอามือมากุมที่หน้าอกทำท่าทางเ็ปหัวใจ “วันถัดมาให้โหยวเจียถอดขานายออกก็สิ้นเื่”
“นายนี่นะทำไมถึงได้โหดร้ายขนาดนี้ !” ชวีเสี่ยวปอตบเข้าที่หลังเขาอย่างแรง แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะออกมา
พนักงานออฟฟิศและคุณลุงคนขับที่นั่งอยู่ด้านหน้าไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งคู่มีความสุขอะไรกัน แต่กลับถอนหายใจออกมาพร้อมกัน : เป็วัยรุ่นนี่ดีจริงๆ เลย
คาบที่สามใน่สายคือวิชาภาษาจีน วิชานี้เป็วิชาเดียวที่สามารถกระตุ้นความสนใจของชวีเสี่ยวปอได้ คุณครูภาษาจีนคนนี้เป็คุณครูผู้ชายศีรษะล้านที่อายุมากแล้ว ดูท่าแล้วน่าจะไม่ใช่คนในท้องที่ จึงทำให้เมื่อเขาพูดมักจะติดสำเนียงที่ฟังดูแล้วแปลกๆ
ดังนั้นจึงยากที่จะทำให้ชวีเสี่ยวปอมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการบรรยายในชั้นเรียนได้ สำเนียงของคุณครูมักจะทำให้เขากลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ผ่านไปสักพักก็ขำออกมาใหม่ทำอยู่เช่นนี้เรื่อยๆ
“พอได้แล้วๆ ” เซี่ยเจิงใช้ปากกาจิ้มไปบนหนังสือของชวีเสี่ยวปอพลางถอนหายใจออกมา “ฉันนึกว่ามีเครื่องบินไอพ่นลำเล็กมานั่งอยู่ข้างๆ ผ่านไปแป๊บหนึ่งก็พ่นลมออกมาที”
“ก็ฉันกลั้นไว้ไม่อยู่อะ” ชวีเสี่ยวปอก้มลงไปเอาคางวางไว้กับโต๊ะ แล้วเลียนแบบสำเนียงของคุณครูภาษาจีน “นกหยูงบิ๋นไปทางทิศตะวั๋นออกเฉียงใต้ บิ๋นไปเพียงห้าเมตรก๊อหันหลังกลับมามองอีกครั้ง ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ ทนไม่ไหวๆ”
เดิมทีเซี่ยเจิงก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อรู้เสี่ยวปอพูดเลียนแบบขึ้นมา ในตอนนี้เขายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกไม่รื่นหูเท่าแล้วเหมือนกัน โชคดีที่ใกล้จะหมดคาบพอดี เมื่อคุณครูภาษาจีนเดินออกจากห้องเรียนไป เขาทั้งคู่จึงหัวเราะขึ้นมาอยู่พักหนึ่ง
“พวกนายสองคน...” เจียงอี้หยางโผล่ศีรษะออกมาจากกองหนังสือที่วางกองจนสูงอยู่บนโต๊ะ รอยแดงบนหน้าผากเป็ตราประทับเหลือไว้ให้รู้ว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งจะหลับในคาบเรียน แล้วเขาก็พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า : “มีเื่อะไรเนี่ย มีความสุขกันขนาดนี้”
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่ว่างที่จะไปสนใจเขา
เจียงอี้หยางจึงพูดต่อไปว่า : “เซี่ยเจิงนายเป็คนสุขุมขนาดนี้ แต่พอไปนั่งกับชวีเสี่ยวปอนานๆ ก็เลยถูกกลืนเข้าไปด้วยกันแล้วเหรอ”
ชวีเสี่ยวปอที่กำลังมีความสุขอยู่เมื่อครู่นี้จู่ๆ ก็ะเิอารมณ์ออกมา จากนั้นจึงใช้หลังมือเขกเข้าไปที่ศีรษะของเจียงอี้หยาง “อะไรคือถูกฉันกลืนกินแล้ว ฉันมันทำไมฮะ?”
“นายดีมาก ดีสุดๆ” ครั้งนี้ชวีเสี่ยวออกแรงไปพอดีมือ เจียงอี้หยางจึงร้องซี๊ดๆ ออกมา “ฉันจะถามว่า ตอนบ่ายพวกเรายังจะซ้อมอยู่ไหม? ”
“ซ้อม...มั้ง” เซี่ยเจิงมองออกไปนอกหน้าต่างครั้งหนึ่ง พยากรณ์อากาศไม่ได้เคยแม่นเช่นนี้มาก่อน ฝนยังไม่หยุดตก “ไปสนามในร่มก็ได้”
“แล้วจะแย่งสนามทันไหมเนี่ย? ”เจียงอี้หยางพูด “ฉันดูมาแล้ว สภาพอากาศอาทิตย์นี้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่” สนามบาสเกตบอลในร่มของโรงเรียนพวกเขาไม่ถือว่าใหญ่มาก ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะเอาไว้ให้พวกทีมโรงเรียนฝึกซ้อมกัน แต่ในตอนนี้คงน่าจะต้องแย่งกันหนักยิ่งกว่าเดิม
“เฮ้ ฉันรู้จักที่ที่หนึ่ง” ความคิดประกายขึ้นมาในหัวของชวีเสี่ยวปอ “เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วตามฉันมาก็แล้วกัน? ”
“ตามไปไหน? ” เซี่ยเจิงและเจียงอี้หยางพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ไม่ต้องสนใจหรอกน่า ถามว่าพวกนายจะไปไม่ไป” ชวีเสี่ยวปอตั้งใจทำให้เป็ความลับ
“ไป” เซี่ยเจิงมองไปยังดวงตาชวีเสี่ยวปอที่ค่อยๆ เล็กลงจนเป็รูปสระอิเนื่องจากความพอใจที่ปิดบังเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งยังพูดให้ความร่วมมืออีกว่า : “ไปกับปอเอ๋อร์มีเนื้อให้กิน”
ทว่าแผนการนั้นยังไม่ทันได้ใช้
ที่จริงแล้วเมื่อตอนบ่ายฝนก็ดูจะมีท่าทีที่ค่อยๆ เบาลง แต่สุดท้ายแล้วพอใกล้เลิกเรียนก็กลับตกหนักยิ่งกว่าเดิม เมฆดำปกคลุมอยู่ครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าราวกับมีสหายลัทธิเต๋าท่านใดกำลังทำการฝึกฝนตนอยู่ ทั้งยังมีคำเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับพายุฝนฟ้าคะนอง โหยวเจียจึงกำชับเป็พิเศษว่าหลังเลิกเรียนให้ทุกคนกลับบ้านโดยด่วน อย่ามัวแต่เถลไถลอยู่ข้างนอก ดังนั้นการฝึกซ้อมบาสเกตบอลในวันนี้จึงถูกบังคับให้ยกเลิกไปด้วย
“วันนี้นายจะยังไม่กลับบ้านเหรอ? ” เซี่ยเจิงกำลังหยิบๆ จับๆ ร่มลายดอกไม้ในมือ และเดินลงบันไดไปพร้อมกับชวีเสี่ยวปอ ในขณะนั้นตรงปากทางเข้าตึกก็มีคนแออัดอยู่ไม่น้อย พวกเขากำลังยืนรอให้ฝนซาลงสักหน่อยถึงค่อยออกไป
“รังเกียจฉันแล้วเหรอ” ชวีเสี่ยวปอเดินไปด้วยบิดเท้าไปด้วย ดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“พูดอะไรเนี่ย” เซี่ยเจิงใช้ปลายร่มจิ้มไปที่หลังของชวีเสี่ยวปอเบาๆ เขารู้อยู่แล้วว่าชวีเสี่ยวปอพูดเล่น แต่เมื่อเห็นท่าทางที่หนักใจของเขา คิดว่าคำตอบก็คงจะเป็ “ไม่อยากกลับ”
“งั้นคืนนี้กลับบ้านไปทำชาบูเนื้อแกะกัน” เซี่ยเจิงพูดต่อ “บ้านฉันมีหม้อไฟอยู่ เดี๋ยวไปค้นออกมา”
“ได้ !” แล้วชวีเสี่ยวปอก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ในวันที่ฝนตกแบบนี้เหมาะกับการกินอะไรอุ่นๆ ที่สุดแล้ว”
เซี่ยเจิงรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของชวีเสี่ยวปอดูตลกมาก หากพูดออกมาอาจจะโดนต่อยเข้าได้ แต่ชวีเสี่ยวปอนั้นก็ดูไร้เดียงสาจนเหมือนกับลูกสุนัขตัวน้อยที่เพียงแค่เอากระดูกให้มันชิ้นหนึ่ง มันก็จะรู้สึกพอใจขึ้นมาอย่างง่ายดาย
เซี่ยเจิงจึงอดไม่ได้ที่ยื่นมือออกไปลูบหัวกีวีนั้นอย่างแรง
“นี่ ฉันจะบอกอะไรให้” ชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้นไปมองมือของเซี่ยเจิง ราวกับว่ากำลังหาเื่เขา “ถ้านายมือหนักกว่านี้อีกหน่อยนะ ฉันรู้สึกว่าฉันคงเป็เพื่อนร่วมโต๊ะกับนายไม่ถึงตอนเรียนจบหัวก็จะล้านซะก่อนแล้ว”
“มีคำโบราณว่าไว้นายไม่เคยได้ยินเหรอ” เซี่ยเจิงยังคงไม่ได้หยุดมือลง คิดไม่ถึงความรู้สึกััของหัวกีวีจะดีมากขนาดนี้ “ลูบๆ ขนก่อน จะได้ไม่ตก...”
“ให้ตายสิ” ชวีเสี่ยวปอหยุดเดินพร้อมทั้งกระทืบเท้า
“ใแล้วเหรอ? ” เซี่ยเจิงก็หยุดตามไปด้วย แล้วมือที่ลูบอยู่ตรงหลังศีรษะของชวีเสี่ยวปอ ก็ค่อยๆ ลูบลงมาถึงท้ายทอยของเขา
ทั้งสองคนเดินออกมาจนถึงหน้าโรงเรียน แล้วเซี่ยเจิงก็สังเกตเห็นว่าชวีเสี่ยวปอกำลังจ้องอะไรอยู่สักอย่าง นั่นไม่ใช่เพราะว่าดวงตาของเขาเฉียบไวแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้คนมากมายตรงนั้นก็มองไปทางเดียวกับชวีเสี่ยวปอกันหมด
มีรถเบนท์ลีย์คันสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากประตูโรงเรียนเท่าไหร่นัก ไม่เพียงเท่านั้นรถเบนท์ลีย์คันนี้ยังมีป้ายทะเบียนที่เป็เลขที่ของความราบรื่นติดไว้อย่างโอ้อวด
โรงเรียนนี้เป็เพียงโรงเรียนมัธยมปลายธรรมดาทั่วไป ถึงแม้ว่าจะมีเคยมีรถยนต์หรูมาปรากฏขึ้นที่นี่บ้าง แต่มันก็น้อยครั้งมาก
ทันใดนั้นประตูในตำแหน่งคนขับของรถเบนท์ลีย์ก็ถูกเปิดออก คนที่ลงมาจากรถวิ่งตรงเข้ามายังชวีเสี่ยวปอ
สายตาของผู้คนมากมายก็มองตามเขาไป จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ชวีเสี่ยวปอ และในตอนนั้นเซี่ยเจิงก็รู้สึกได้ว่าชวีเสี่ยวปอกำลังตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด
“มารับนายหรือเปล่า? ” เซี่ยเจิงถามออกไปเสียงเบา
แต่ทว่าชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรออกไป ผู้ชายที่ลงมาจากรถเบนท์ลีย์ก็พูดขึ้นมาว่า : “เสี่ยวปอ ท่านประธานชวีให้ผมมารับคุณกลับบ้านครับ”
อ๋อ เป็คนขับรถ
คงจะกลัวว่าวันนี้ชวีเสี่ยวปอยังไม่ยอมกลับบ้านอีก เลยตั้งใจส่งคนมารับ? เซี่ยเจิงเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเขาก็คือหันไปมองสีหน้าของชวีเสี่ยวปอ
จิ๊
ไม่ยอมกลับสามคำนี้แทบจะประทับไว้ด้วยตัวอักษรที่ทั้งใหญ่ทั้งหนาบนหน้าผากของเขาด้วย
“กลับเถอะครับ” คนขับรถดูลำบากใจไม่น้อยเลยทีเดียว ดูๆ ไปเขาก็น่าจะอายุประมาณสี่สิบกว่าแล้ว และในตอนนี้เขาก็กำลังพูดเกลี้ยกล่อมชวีเสี่ยวปออยู่ “เดิมทีท่านประธานชวีจะมาด้วยตัวเอง แต่กลัวว่าคุณจะไม่ยอมครับ”
“แล้วแบบนี้ผมยอมแล้วหรือไง? ” น้ำเสียงของชวีเสี่ยวปอเต็มไปด้วยความโกรธ เขาไม่ได้พูดใส่คนขับรถ แต่แน่นอนว่าเป็ชวีอี้เจี๋ย
“ไม่ใช่...” คนขับรถชินกับเื่เล็กน้อยเช่นนี้ของครอบครัวเขามาตั้งนานแล้ว นิสัยของชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้เห็นวันนี้เป็วันแรก แต่ใครใช้ให้ตัวเองมาทำงานพิเศษนี้กันละ? เ้านายเขาจัดการความสัมพันธ์กับลูกชายไม่ได้ เขาที่เป็เพียงพนักงานก็พลอยได้รับโทษไปด้วย
“กลับบ้านไปก่อนเถอะ” เซี่ยเจิงบีบเข้าที่แขนของชวีเสี่ยวปอ แล้วพูดออกไปเสียงเบา
ชวีเสี่ยวปอหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ใจของเขาถึงได้อ่อนไปตามการกระทำของเซี่ยเจิง