แล้วนั่นนายน้อยเฉิงชิงยิ้มอยู่แท้ๆ เหตุใดตนจึงรู้สึกขนพองสยองเกล้าได้เล่า?
ซือโม่เองก็รู้สึกว่าการที่คุณชายรองฉีคิดจะสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋นั้นค่อนข้างเป็เื่ยาก
นายน้อยตระกูลสูงยังคิดได้ถ่องแท้ไม่เท่าเขาซึ่งเป็เด็กรับใช้คนหนึ่ง คุณชายรองฉีทำเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า้าจะตัดขาดกับตระกูลเฉิงแล้ว... ตกบ่อแล้วยังปาหินใส่[1] นายท่านห้าย่อมไม่ชื่นชอบคนเช่นนี้เป็แน่
ด้านหนึ่งไม่้าจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิง แต่อีกด้านยังคิดที่จะสอบเข้าสถานศึกษาของตระกูลเฉิง เขาเห็นตระกูลเฉิงเป็คนโง่หรือไร!
เฉิงชิงสั่งให้ซือโม่ไปจับตามองฉีเหยียนซงตามเดิม
“รอข้าได้หยุดประจำเดือนก่อนแล้วค่อยว่ากัน เ้าก็อย่าทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวเล่า”
“นายน้อยโปรดวางใจ ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ!”
ฉีเหยียนซงมั่วกับนางคณิกา ทำเื่ไร้มารยาท นางไม่โง่จะเอาอีกฝ่ายมาเป็พี่เขยในอนาคต แต่จะจัดการเื่นี้เช่นไรนั้นนางยังคงคิดอยู่ ท่าทีของนางหลิ่วที่ผ่านมาคือไม่อยากให้นางสอดมือเข้ามายุ่งกับเื่การแต่งงานของบุตรสาวคนโต จนถึงขนาดตัวนางหลิ่วเองยังมีข้อห้ามต้องหลีกเลี่ยงบางประการ— จากคนนอกมองดูแล้วการที่บุตรสาวคนโตแต่งกลับไปตระกูลฉีคือการแต่งงานที่ดีงานหนึ่ง สิ่งที่นางหลิ่วผู้เป็มารดาเลี้ยงย่อมปฏิเสธก็คือความคิดชั่วร้ายที่มีอยู่ภายในใจ!
การเป็มารดาเลี้ยงนั้นเป็ยาก นอกเสียจากว่าเลวอย่างบริสุทธิ์แบบนางจูของบ้านรองแบบนั้นแล้ว ตนเองถึงจะมีความสุข
ความโดดเด่นของงานชุมนุมวรรณกรรมไม่ได้ทำให้จังหวะชีวิตของเฉิงชิงยุ่งเหยิง นางยังคงร่ำเรียนอย่างหนัก หนังสือไม่ห่างมือเช่นเดิม อีกไม่กี่วันก็จะเป็การสอบประจำเดือนครั้งที่สอง เมื่อสอบเสร็จก็จะเป็การหยุดประจำเดือน
เมื่อไม่ได้มีข้อห้ามแล้ว มิตรภาพของเ้าอ้วนชุยและเฉิงชิงก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวะโ เอ่ยว่า้าจะเชิญเฉิงชิงเข้าเมืองไปเที่ยวเล่น
“พี่ชุยของเ้าจะเลี้ยงสำรับอาหารของหอไท่ไป๋ พอไหมงานนี้?”
หอไท่ไป๋คือหอสุราเก่าแก่แห่งหนึ่งในเมืองเซวียนตู ถ้าสั่งอาหารจานเล็กๆ ไม่กี่อย่างเฉิงชิงก็พอมีกำลังจะจ่ายได้ แต่ถ้าต้องสั่ง ‘สำรับอาหาร’ หนึ่งโต๊ะ อย่างไรก็ต้องจ่ายสิบตำลึงเงินขึ้นไป
นางหลิ่วพร้อมทั้งบุตรสาวทั้งสามอยู่ที่บ้านพยายามประหยัดทุกวิถีทาง สามเดือนก็ไม่แน่ว่าจะใช้จ่ายถึงสิบตำลึงเงิน เฉิงชิงย่อมไม่อาจกินดีอยู่ดีเพียงผู้เดียวได้ นางเป็ผู้ที่ไม่เอาเปรียบผู้อื่นเสมอมา เ้าอ้วนชุยเชิญนางไปทานอาหารที่หอไท่ไป๋ นางก็ต้องเลี้ยงตอบแทนในระดับเดียวกันคืนหนึ่งมื้อ… การไปมาหาสู่ในความสัมพันธ์ของผู้คนย่อมต้องใช้เงินค้ำจุน ่นี้ไม่ค่อยมีเงิน ดังนั้นเฉิงชิงจึงปฏิเสธไป
ด้านหลังของเ้าอ้วนชุยมีสหายร่วมเรียนห้องติงเก้าอยู่หลายคน ทยอยแสดงความผิดหวังกับเฉิงชิง
“เฉิงชิง เ้าไม่้าจะไปมาหาสู่กับพวกเราใช่หรือไม่?”
“นั่นสิ ในหนึ่งเดือนสถานศึกษาจึงจะหยุดพักหนึ่งครั้ง ผ่อนคลายเสียหน่อยจะเป็ไรไปเล่า!”
“ข้ามีธุระจริงๆ ครั้งหน้าเถิด สหายร่วมเรียนทุกท่าน ครั้งหน้าข้าจะเลี้ยงทุกคนเอง แม้ว่าจะเทียบชั้นกับหอไท่ไป๋ไม่ได้ แต่ทุกคนต้องให้เกียรติมาให้ได้นะ!”
เฉิงชิงถอนตัวจากมาอย่างยากลำบาก
สหายร่วมเรียนตำหนิ “เฉิงชิงผู้นี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง จะดีจะเลวอย่างไรก็เคยเป็คุณชายของตระกูลนายอำเภอ หากกล่าวว่าเขาไม่คุ้นเคยเื่พวกนี้ข้าก็ไม่เชื่อ”
เ้าอ้วนชุยไม่ค่อยสบายใจนัก
เฉิงชิงน่าเบื่อหรือ?
ไม่เลย เขารู้สึกว่าเฉิงชิงน่าสนใจมากทีเดียว
แต่จุดนี้ไม่จำเป็ต้องเอ่ยกับสหายร่วมเรียนเหล่านี้
“เป็ข้าที่คิดไม่รอบคอบเอง ลืมไปว่าเฉิงชิงยังไม่ออกจากการไว้ทุกข์ เขาไม่อาจไปดื่มสุราหาความสำราญได้ ไปแล้วก็หมดสนุก พวกเราไปกันเองเถอะ ไปๆๆ เข้าเมืองกัน… ยามสอบเข้าสถานศึกษาไม่ได้ก็คิดจะเข้ามา พอสอบเข้าได้แล้วก็พบว่าราวกับถูกจองจำ ทุกเดือนล้วนมีสอบ หากไม่ระบายออกด้วยการกินดีดื่มดี จะต้องอัดอั้นตันใจแย่แน่เลย!”
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ของเ้าอ้วนชุย
คนนอกต่างคิดว่าสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋ได้แล้วก็ไม่มีเื่อัดอั้นตันใจอะไรอีก ความจริงแล้วพวกเขาอึดอัดจะตายอยู่แล้ว การเรียนของห้องติงหนักมาก เป็อันดับท้ายภายในสถานศึกษา พบเจอผู้ใดก็ล้วนต้องก้มหน้าก้มตาเจียมเนื้อเจียมตัว อันดับในการสอบประจำเดือนเป็สิ่งที่ทุกคนกังวล
การไม่สนใจเื่อื่นจดจ่อกับการร่ำเรียนเพียงอย่างเดียวเหมือนเฉิงชิงไม่ใช่เื่ที่ใครก็สามารถทำได้
เฉิงชิงเจออวี๋ซานที่ตีนเขาโดยบังเอิญ
อวี๋ซานขี่อยู่บนม้าสูงใหญ่ มองต่ำลงมาพบนางแล้วก็หัวเราะ ไม่รอให้นางมีปฏิกิริยาตอบโต้อะไร หนีบท้องม้าขี่หนีจากไป
คนผู้นี้ไม่ยอมละทิ้งการหาเื่นาง แต่ทำไม่สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า ่หลายวันนี้ละเว้นชั่วคราว… เฉิงชิงสงสัยว่าอวี๋ซานเก็บงำอุบายใหญ่อะไรไว้ เตือนสติตนเองไม่ให้ผ่อนคลายการระวังตัวจากอวี๋ซาน
ซือโม่ไปสะกดรอยตามฉีเหยียนซงแล้ว เป็ซือเยี่ยนที่มารับเฉิงชิงจากวันหยุด ซือเยี่ยนรู้สึกว่าอวี๋ซานน่ารำคาญนัก
“ยามท่านพบราชบัณฑิตเสิ่นก็ควรจะแจ้งแก่ท่านเ้าเมืองอวี๋สักครั้ง…”
เฉิงชิงหลุดหัวเราะ “เ้าพูดเื่โง่ๆ อะไร!”
เ้าเมืองอวี๋ค่อนข้างให้ความสนใจกับชื่อเสียงขุนนาง ตามเช็ดล้างให้กับบุตรชายทั่วทุกหนแห่ง จนถึงขนาดยินยอมที่จะมาขออภัยแทนบุตรชาย แต่นั่นกระทำเป็การลับ! หากเฉิงชิงเป็คนหุนหันพลันแล่นเอ่ยเื่เสียหายของอวี๋ซานต่อหน้าคนมากมายเช่นนั้น เกรงว่าเ้าเมืองอวี๋ยากจะระงับความอายและความโกรธ คงได้แค้นจนอยากจะจับเฉิงชิงมาตีจนตาย
ซือเยี่ยนก็รู้ว่าตนเองกล่าวผิดไป คนห่างไกลไม่สู้คนชิดใกล้ ท่านเ้าเมืองอวี๋ย่อมต้องช่วยเหลือบุตรชายตนเองไม่ใช่นายน้อยเฉิงชิง
นายน้อยเฉิงชิงช่างน่าสงสารเสียจริง
หากปฏิบัติกับพวกเขาที่เป็คนเบื้องล่างอย่างเป็มิตร คนก็จะยิ่งขยันขันแข็งมากขึ้น แต่ดันถูกคนอย่างอวี๋ซานหาเื่ชวนทะเลาะ!
อวี๋ซานมีอะไรเก่งกาจกัน ก็แค่เกิดมามีบิดาดี?
ขณะที่เฉิงชิงกำลังจะขึ้นเรือ ที่ท่าเรือก็มีรถม้าจอดไว้อยู่นานแล้ว ม่านในรถถูกคนเลิกขึ้น มีคนเรียกนางให้หยุด
“ศิษย์น้องเฉิง”
เฉิงชิงตกตะลึง “ศิษย์พี่เมิ่ง?”
เมิ่งไหวจิ่นกวักมือเรียกนางอยู่บนรถม้า เฉิงชิงพอนึกถึงเรือใหญ่สีดำมืด ทั้งเรือเต็มไปด้วยประกายดาบแล้วก็ไม่ยินยอมอย่างยิ่งที่จะเดินไปหา
“ศิษย์พี่มาหาข้ามีเื่อันใดหรือ?”
เมิ่งไหวจิ่นข่มความอยากหัวเราะไว้ เขายังนึกว่าเฉิงชิงไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ดูเหมือนจะมีสิ่งที่กลัวอยู่เหมือนกัน เดิมเรียก ‘ศิษย์พี่เมิ่ง’ ด้วยความยินดีจากภายในใจของตน ยามนี้แม้ยังคงเรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่เมิ่ง’ อยู่แต่ก็เต็มไปด้วยความต่อต้าน
“มีธุระเื่หนึ่ง มีเพียงศิษย์น้องเฉิงเท่านั้นที่สามารถช่วยได้ หากศิษย์น้องไม่ยินยอม…”
เฉิงชิงเค้นรอยยิ้มออกมา “ข้าดีใจยิ่งนักที่สามารถช่วยเหลือธุระของศิษย์พี่เมิ่งได้!”
สามารถปฏิเสธได้หรือ?
ไม่ได้น่ะสิ!
ทั่วทั้งสถานศึกษาต่างรู้กันหมดว่าเมิ่งไหวจิ่นมีบุญคุณต่อนาง หากรู้คุณแต่ไม่ตอบแทน ภาพลักษณ์ของนางก็คงพังครืน
เมื่อภาพลักษณ์พังครืน วันคืนของนางย่อมลำบากกว่าตอนนี้เป็แน่!
“เช่นนั้นก็เชิญศิษย์น้องขึ้นรถมาเถิด ให้เด็กรับใช้ข้างกายเ้าส่งข้อความไปบอกคนในครอบครัว ธุระของข้านี้ต้องยุ่งเสียหลายวัน ข้าได้ทำเื่ขอลาเรียนให้เ้าแล้ว ศิษย์น้องไม่ต้องกังวล”
เมิ่งไหวจิ่นเอาใจใส่อย่างเต็มที่ขนาดนี้ เฉิงชิงจะยังพูดอะไรได้ นางยอมรับชะตากรรม ขึ้นรถม้าของเมิ่งไหวจิ่น
นางกลัวอะไร บัณฑิตเจี้ยหยวนที่มีอนาคตไร้ขีดจำกัดเช่นเมิ่งไหวจิ่นย่อมไม่ทำงานนอกเวลาอย่างค้าเด็ก ยิ่งรูปลักษณ์ย่ำแย่ผอมแห้งเช่นนางก็ไม่คุ้มกับเงินไม่กี่ตำลึง… เมิ่งไหวจิ่นย่อมไม่มีความคิดที่จะขายนาง เพียงจะพาเฉิงชิงเข้าเมืองเท่านั้น
เมืองเซวียนตูคึกคักกว่าอำเภอหนานอี๋มาก รถม้าเลี้ยวไปเลี้ยวมาก็มาถึงเรือนเล็กไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง เฉิงชิงก้มหน้าตั้งสติตลอดทาง ไม่ถามมาก ไม่สงสัย เชื่อฟังการจัดการของเมิ่งไหวจิ่นทุกอย่าง
เมิ่งไหวจิ่นก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างเอาเปรียบ ภายในห้องโถงจะเตรียมอาหารเต็มโต๊ะ บนจานกระเบื้องยังมีตราของหอสุรา ไม่คิดเลยว่าขนาดนางปฏิเสธเ้าอ้วนชุยแล้วยังจะได้ทานสำรับอาหารของหอไท่ไป๋—
“ศิษย์พี่เมิ่ง มาคุยธุระกันก่อนเถิด ไม่เช่นนั้นแล้วข้าไม่อาจวางใจทานสำรับอาหารของหอไทไป๋โต๊ะนี้ ไร้ความดีความชอบไม่อาจรับรางวัลได้!”
ท่านผู้ทรงปัญญาย่อมมีเื่อยากจะขอร้อง เงื่อนไขจึงสูงเช่นนี้ นางกลัวธุระที่ศิษย์พี่เมิ่ง้าให้นางช่วยจะยากเป็พิเศษ
เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ เมิ่งไหวจิ่นก็ไม่เกรงใจแล้ว
“งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูวันนั้น เ้าแก้คำถามคำนวณได้ยี่สิบกว่าข้อในรวดเดียว หากไม่ได้ถูกอวี๋ซานก่อกวน เ้าก็คงจะสามารถแก้ได้ทีเดียวสามสิบข้อหรือมากกว่านั้นกระมัง? เ้าเก่งกาจด้านการคำนวณ ธุระที่จะให้เ้าช่วยเหลือก็เกี่ยวข้องกับเื่นี้”
เฉิงชิงเกือบจะกัดลิ้นแล้ว
เมิ่งไหวจิ่นเป็บ้าอะไร นำตัวนางเข้าเมืองมาอย่างลับๆ ล่อๆ ทั้งยังเชิญนางทานสำรับอาหารของหอไท่ไป๋ หรือว่าเพื่อให้นางแก้คำถามคำนวณต่อ?!
สีหน้าของเฉิงชิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมิ่งไหวจิ่นกลับกล่าวอีกประโยค
“เมื่อออกจากเรือนเล็กหลังนี้แล้ว สิ่งใดพูดได้ สิ่งได้พูดไม่ได้ ศิษย์น้องคงรู้ขอบเขตดี”
คำกล่าวตักเตือนโดยไม่ได้อำพรางเจตนาข่มขู่ เฉิงชิงฟังออกแล้ว หากกล่าวออกไป สำรับอาหารของหอไท่ไป๋ก็คงจะถูกเปลี่ยนเป็คมดาบเย็นเยียบจ่อบนลำคอนางแทนสินะ?!
[1] ตกบ่อแล้วยังปาหินใส่ หมายถึงซ้ำเติมผู้ที่ลำบาก
