เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อย เหลียงซื่อก็ไม่รอช้า ลงมือทำงานทันที นางพกจอบเล็กติดมือมาด้วย ทั้งยังนำเมล็ดพันธุ์พืชฝากมาหลายห่อ ห่อไว้อย่างดีด้วยกระดาษหนังวัวอย่างประณีต
“เอาล่ะ วันนี้เราจะปลูกพวกบวบ มะระ แล้วก็แตงกวากันก่อน ส่วนเมล็ดพันธุ์ที่เหลือ รอให้อากาศอุ่นขึ้นอีกสักหน่อย แล้วเ้าค่อยหาเวลาปลูกก็แล้วกัน” เหลียงซื่อหันมาบอกบุตรสาวพลางจัดแจงเครื่องมือในมือ
“เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับอย่างตั้งใจ ในใจแม้จะยังไม่มั่นใจนักว่าเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดควรหว่านเมื่อใด หากปลูกเร็วเกินไปก็เกรงว่าอากาศเย็นจะทำลายต้นกล้า แต่หากช้าเกินไปอีก ก็กลัวว่าฝนจะลงก่อนพืชจะออกดอกออกผล
การปลูกพืชเถาเลื้อยพวกนี้ไม่ได้ใช้เวลามากนัก หลังจากปลูกเสร็จ เหลียงซื่อก็กำชับข้อควรระวังบางอย่างกับอันซิ่วเอ๋อร์ ทั้งยังบอก่เวลาที่เหมาะสมในการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ที่เหลือให้ฟังคร่าวๆ เมล็ดพันธุ์มีอยู่หลายชนิด อันซิ่วเอ๋อร์พยายามตั้งใจจดจำ ยังดีที่นางไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเลยเสียทีเดียว เพราะหลายปีที่ผ่านมา ที่บ้านเดิมก็ปลูกผักอยู่บ้าง นางจึงพอมีประสบการณ์ติดตัวมา พอเหลียงซื่ออธิบายซ้ำสองครั้ง นางก็จำได้แล้ว
“เวลาปลูกของเมล็ดแต่ละอย่างไม่เหมือนกันนะ เ้าอย่าจำสับสนล่ะ” เหลียงซื่อกำชับย้ำหลายครั้ง ก่อนจะกล่าวเสริมว่า “แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก ถึงเวลาเมื่อไหร่ เดี๋ยวแม่จะให้ต้ายาเอ้อร์ยามาบอกเ้าอีกที”
อันซิ่วเอ๋อร์เก็บห่อเมล็ดพันธุ์อย่างดี “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านแม่ล่วงหน้าเลยเ้าค่ะ ถ้ารู้แบบนี้ ข้าจะได้ไม่ต้องพยายามจำแล้ว”
“เช่นนั้นได้อย่างไร เ้าก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปสิ ต้องทำให้เป็” เหลียงซื่อส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ นางเองก็ไม่อยากให้ลูกสาวต้องลำบากทำเื่พวกนี้ แต่ในเมื่อแต่งงานออกเรือนมาแล้ว ก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะเติบโตเป็ผู้ใหญ่
“ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วเอ่ยชวน “ท่านแม่ วันนี้อยู่ทานมื้อเย็นที่นี่ก่อนนะเ้าคะ”
“ไม่ล่ะ ข้าต้องรีบกลับบ้านแล้ว เ้าก็รู้ว่าท่านพ่อกับพี่รองของเ้ายังทำงานอยู่ในนา” เหลียงซื่อพูดพลางลุกขึ้นยืน “นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว ข้าต้องกลับไปหุงหาอาหาร”
เมื่อได้ยินดังนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่รั้งมารดาไว้ เพียงลุกขึ้นยืน เดินไปส่งนางที่ประตูพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นไว้วันไหนว่างๆ ข้าจะเชิญท่านพ่อกับท่านแม่มาทานข้าวที่บ้านนะเ้าคะ”
เหลียงซื่อส่ายหน้า “่ฤดูใบไม้ผลิงานยุ่งจะตายไป จะเอาเวลาว่างที่ไหนมากัน”
อันซิ่วเอ๋อร์คิดตามก็เห็นจริง ชาวไร่ชาวนานั้นมีงานให้ทำไม่รู้จักหมด นอกจากวันที่ฝนตกแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีวันไหนได้หยุดพักเลย
สองแม่ลูกเดินมาส่งกันถึงหน้าประตู ขณะที่อันซิ่วเอ๋อร์กำลังจะโบกมือลา ก็พอดีกับที่จางเจิ้นอันเดินกลับมาถึง เมื่อเห็นเหลียงซื่อ เขาก็พยักหน้าทักทาย “ท่านแม่ยายมาเยี่ยม เหตุใดไม่นั่งพักนานๆ หน่อยเล่าขอรับ?”
พอเห็นว่าเป็จางเจิ้นอัน เหลียงซื่อก็พลันรู้สึกเกร็งๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เกรงว่าลูกเขยจะเข้าใจผิดว่านางมาหาผลประโยชน์ จึงรีบตอบ “ข้าแค่แวะมาดูซิ่วเอ๋อร์น่ะ ที่บ้านยังมีธุระต้องรีบกลับไปทำ”
จางเจิ้นอันเป็คนซื่อๆ ไม่ค่อยเข้าใจความนัย พอได้ยินว่าแม่ยายมีธุระ เขาก็ไม่ได้เอ่ยรั้ง เพียงแต่ล้วงหยิบปลาตัวหนึ่งจากกระบุงของตน ใส่ลงในตะกร้าของเหลียงซื่อ แล้วก็เดินเข้าบ้านไป
เหลียงซื่อชะงักงันไปครู่หนึ่ง หันไปมองอันซิ่วเอ๋อร์เป็เชิงถาม ลูกสาวเพียงส่งสายตาขี้เล่นกลับมา โบกมือให้ แล้วก็เดินตามสามีเข้าบ้านไป
เอาเถอะ ตั้งใจจะมาช่วยงานลูกสาวแท้ๆ กลับได้ของติดไม้ติดมือกลับไปเสียอีก ไม่รู้เดี๋ยวกลับไป ตาเฒ่าที่บ้านจะบ่นว่าอะไรอีกรึเปล่า เหลียงซื่อคิดในใจ
“วันนี้เหตุใดกลับมาเร็วนักล่ะเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เดินตามเข้ามา มองเขาด้วยแววตาอ่อนหวาน
เขาไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่เอื้อมมือไปรั้งเอวนางเข้ามาใกล้ แล้วใช้ตอหนวดเคราครูดกับแก้มเนียนของนางเบาๆ อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิกคักออกมา “จั๊กจี้เ้าค่ะ! ท่านน่าจะโกนหนวดได้แล้วนะ”
ยิ่งนางพูดห้าม จางเจิ้นอันก็ยิ่งแกล้งครูดแก้มซ้ำๆ อีกสองสามที ก่อนจะยอมปล่อยนาง แล้วชูตะกร้าสานใส่ปลาใบเล็กที่เหน็บเอวออกมาให้นางดู “วันนี้จับได้เยอะ เลยกลับมาเร็วกว่าปกติหน่อย”
“อื้ม ตะกร้าใบเล็กนิดเดียวของท่านเต็มเลย วันนี้ได้เยอะจริงๆ ด้วย” มุมปากอันซิ่วเอ๋อร์ยกยิ้ม “แต่คราวหน้าไม่ว่าจับได้มากหรือน้อย ท่านก็ควรกลับมาเร็วๆ นะเ้าคะ รอให้แดดแรงกล้ากว่านี้ จะไม่ดีต่อสายตาท่านเอา”
“ข้าก็สวมหมวกสานอยู่ แดดจะแรงหรือไม่แรงเกี่ยวอะไรกัน” จางเจิ้นอันว่าพลางก้มมองตะกร้าในมือ พลันนึกถึงคำว่า “ตะกร้าใบเล็กนิดเดียว” ที่นางเพิ่งพูดเมื่อครู่ ก็ครุ่นคิดว่าคราวหน้าไปตลาดนัด คงต้องหาซื้อตะกร้าใส่ปลาที่ใหญ่กว่านี้สักใบเสียแล้ว
“เมื่อครู่ท่านแม่มาหาเ้าค่ะ นำเมล็ดพันธุ์มาให้ข้าด้วย วันนี้พวกเราลองปลูกแตงไว้บ้างแล้ว อีกไม่กี่เดือนคงได้กินกัน” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าบอกเขา
“อืม ลำบากเ้ากับท่านแม่ยายแล้ว” จางเจิ้นอันพยักหน้ารับ แล้วทำท่าจะเดินไปยังลานหลังบ้าน
เขาเดินเร็วนัก อันซิ่วเอ๋อร์ต้องรีบวิ่งตามไปสองสามก้าว พอถึงห้องโถงจึงรีบขวางหน้าเขาไว้ แล้วดันเขาไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ท่านนั่งพักตรงนี้ก่อนนะเ้าคะ”
ทันทีที่พูดจบ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ฉวยตะกร้าปลาจากมือเขา แล้ววิ่งเหยาะๆ ตรงไปยังอ่างดินเผาใบใหญ่ เมื่อเทปลาลงไปในน้ำ เหล่าปลาเล็กปลาน้อยก็แหวกว่ายเวียนวนอย่างมีชีวิตชีวา นางหัวเราะคิกอย่างอารมณ์ดี แล้วยื่นปลายนิ้วลงไปกวนน้ำเล่น ฝูงปลาพากันว่ายหลบหลีกไปมา แผ่คลื่นเล็กๆ เป็ระลอกยามแสงแดดอาบผิวน้ำ มุมปากของอันซิ่วเอ๋อร์ยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว แววตาสะท้อนแสงระยิบระยับไม่ต่างจากเกล็ดปลาในน้ำ
หลังจากเล่นน้ำอยู่ครู่หนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางรีบหมุนตัวกลับเข้าไปในครัว ผ่านไปไม่นานก็กลับออกมาพร้อมชามซุปในมือที่ประคองไว้อย่างระมัดระวัง
จางเจิ้นอันมองชามซุปตรงหน้าที่มีไออุ่นลอยกรุ่น สีเหลืองอ่อนชวนให้นึกถึงแดดยามเช้า เขาสลับสายตาจากชามไปยังนางด้วยความสงสัย “นี่คือ?”
“ข้าตั้งใจต้มน้ำขิงให้ท่านเป็พิเศษเลยนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์เลื่อนชามซุปไปตรงหน้าเขา
"น้ำขิงอีกแล้วรึ?" จางเจิ้นอันขมวดคิ้วแน่น ความทรงจำถึงรสชาติเผ็ดร้อนฉุนกึกจากน้ำขิงฝีมือนางคราวก่อนยังแจ่มชัด เขาจึงรีบโบกมือปฏิเสธ "วันนี้ฝนไม่ได้ตก ข้าไม่อยากดื่ม"
"แต่ท่านแม่กล่าวว่าริมน้ำมีความชื้นสูง คนที่จับปลาบ่อยอย่างท่านควรดื่มน้ำขิงเพื่อขับไล่ความเย็นเสียบ้าง มิเช่นนั้นเมื่อสูงวัยขึ้น ข้อต่ออาจปวดเมื่อยได้นะเ้าคะ"
ท่าทีเหมือนเด็กน้อยหวาดกลัวยาขมของเขาทำให้อันซิ่วเอ๋อร์อมยิ้ม นางเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน "คราวก่อนข้าอาจพลั้งมือใส่ขิงมากไป ข้าผิดเองเ้าค่ะ ครั้งนี้ข้าใส่เพียงนิดเดียวจริงๆ ท่านลองชิมดูสักหน่อยนะ?"
"เพียงนิดเดียว...แน่ใจรึ?"
จางเจิ้นอันเหลือบมองนิ้วเรียวที่ทำท่าประกอบว่าใส่นิดเดียวจริงๆ เล็กเสียยิ่งกว่าข้อนิ้วก้อย แม้จะยังกังขา แต่เมื่อนางพยักหน้ารับรองอย่างหนักแน่น เขาก็จำใจยกชามขึ้นกระดกพรวดเดียว...เกือบหมด
“แค่ก! แค่กๆ!”
เขาไอโขลกจนหน้าดำหน้าแดง สำลักน้ำขิงออกมา รีบคว้าผ้าเช็ดปากแทบไม่ทัน สูดหายใจลึกอยู่อึดใจเพื่อระงับอาการ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองต้นเหตุด้วยแววตาเหลือเชื่อ "ซิ่วเอ๋อร์...บอกข้าที ว่าเ้าใส่อะไรลงไปในนี้กันแน่?"
แม้จะพยายามปั้นยิ้ม แต่คิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็ปมกับสีหน้าบิดเบี้ยวเกินทนนั้น ทำเอาอันซิ่วเอ๋อร์ใจหายวาบ นางเม้มปาก รู้สึกหวั่นเกรง เอ่ยถามเสียงแ่ “เป็...อย่างไรหรือเ้าคะ? รสชาติ...ไม่ดีหรือ?”
“ไม่ใช่แค่ไม่ดีน่ะสิ...” จางเจิ้นอันกลืนน้ำลายฝืดๆ มองดวงตาที่ฉายแววหวั่นวิตกคู่นั้น แม้จะสงสารเพียงใด แต่เพื่อสวัสดิภาพของลิ้นและกระเพาะตนเองในภายภาคหน้า เขาจำต้องตัดใจบอกความจริง “แต่มัน...ต้องเรียกว่า... รสชาติหายนะเลยต่างหาก!”
“ไม่อร่อยหรือเ้าคะ?” พอได้ยินเช่นนั้น อันซิ่วเอ๋อร์กลับเผยยิ้มออกมาได้ “ก็โบราณว่ายาดีมักขมปาก น้ำซุปยานี่รสชาติไม่ถูกปากก็เป็ธรรมดาไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
เห็นเขายังทำหน้าเหมือนกลืนยาขม นางจึงเร่งเร้า “ท่านรีบดื่มให้หมดเถิดน่า อย่าทำท่าทางรังเกียจนักเลย ขนาดหลานชายข้าอายุเจ็ดขวบยังไม่เห็นกลัวยาขมเลยนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์เชิดหน้าพูดอย่างจริงจัง
“เดี๋ยวนะ...เมื่อครู่เ้าบอกว่าเป็น้ำขิงมิใช่รึ? แล้วไฉนตอนนี้ถึงกลายเป็ยาไปเสียแล้วเล่า?” จางเจิ้นอันหรี่ตามองนาง ยืดตัวตรง ทำหน้าเคร่งขรึม แกล้งกดเสียงต่ำถาม “ซิ่วเอ๋อร์ สารภาพมาตามตรง...เ้าคิดจะลอบสังหารสามีใช่หรือไม่? จึงจงใจต้มยาพิษหม้อนี้มาวางยาข้า?”
“ท่านพูดจาเหลวไหลอันใดกัน? ข้าเป็ห่วงท่านจริงๆ นะ!” แม้จะรู้ว่าเขาเพียงล้อเล่น แต่อันซิ่วเอ๋อร์ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาทันที “ในนี้ นอกจากขิงแล้ว ข้ายังใส่ดอกเบญจมาศป่า เก๋ากี้ แล้วก็ดอกเก๊กฮวยลงไปด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนดีต่อสายตาท่าน ข้าอุตส่าห์ไปเสาะหาเก็บมากับมือเชียวนะเ้าคะ!”
พอเห็นหยาดน้ำตาบนแก้มเนียนนั่นจริงๆ จางเจิ้นอันพลันรู้สึกผิด รีบปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงทันควัน “โอ๋ๆ ข้ารู้ว่าเ้าหวังดีน่า อย่าร้องไห้เลยนะ เชื่อข้าสิ เมื่อครู่ข้าแค่ล้อเล่นจริงๆ”
“ล้อเล่นที่ไหนกัน! ท่านก็แค่รังเกียจว่าน้ำซุปข้าไม่อร่อย แล้วยัง...ยังหาว่าข้าจะวางยาพิษท่านอีก!” อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นริมฝีปากน้อยๆ ช้อนตามองเขาค้อนๆ แวบหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้างุด ใช้มุมผ้าเช็ดหน้าซับหางตา ทำท่าราวกับน้อยเนื้อต่ำใจเสียเต็มประดา
“เอาล่ะๆ ข้ายอมแล้ว! ข้าผิดไปแล้วจริงๆ” จางเจิ้นอันจนปัญญาจะต่อกรกับนาง ไม่กล่าวอะไรอีก ยกชามยาที่เหลือขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมดสิ้น แล้วจึงเงยหน้ามองนาง กล่าวอย่างจำนนที่สุด “ต่อให้เป็ยาพิษ ข้าก็ดื่มลงไปแล้ว... คราวนี้เ้าพอใจแล้วใช่หรือไม่?”
“เช่นนี้ค่อยน่าเอ็นดูหน่อยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ลดผ้าเช็ดหน้าที่ป้องหน้าลง เผยรอยยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันขาว
“ให้ตายสิ! ที่แท้เ้าแกล้งบีบน้ำตาหรอกรึ? ข้าเสียทีเ้าอีกแล้ว!” จางเจิ้นอันตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ รู้สึกเจ็บใจที่โดนหลอกซ้ำซ้อน
“จะเรียกว่าหลอกได้อย่างไรเ้าคะ? ข้าหวังดีต่อท่านจากใจจริงนะ ต่อไปข้าจะคอยต้มยาบำรุงตำรับนี้ให้ท่านดื่มบ่อยๆ เลย” อันซิ่วเอ๋อร์เก็บถ้วยชามไปล้าง กล่าวพลางอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“แค่กๆ...แค่ครั้งเดียวก็แทบแย่แล้ว ยังจะมีบ่อยๆ อีกรึ?” จางเจิ้นอันได้ยินแล้ว ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยถึงกับบิดเบี้ยวเล็กน้อย “ข้าไม่้าของพวกนี้จริงๆ
อีกอย่าง...ไม่อยากให้เ้าต้องลำบากด้วย ต่อไปเ้าแค่ต้มน้้ำเปล่า หรือชาสะระแหน่หอมๆ เหมือนคราวก่อนก็พอแล้ว”
“น้ำเปล่าก็ส่วนน้ำเปล่า ชาสะระแหน่ก็ส่วนชาสะระแหน่ แต่น้ำสมุนไพรบำรุงนี่ก็ต้องมีด้วยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์เม้มปากกลั้นยิ้ม เดินกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาอย่างแช่มช้อย “ข้าไปเรียนถามท่านหมอประจำหมู่บ้านมาแล้ว ท่านหมอก็ว่าสมุนไพรเหล่านี้ดีต่อดวงตาท่านจริงๆ ต่อไปข้าจะต้มให้ท่านดื่มทุกวัน ไม่นานท่านก็ชินไปเองเ้าค่ะ”
“แต่ว่า...” พอสบเข้ากับแววตาจริงจังมุ่งมั่นคู่นั้น จางเจิ้นอันพลันพูดไม่ออก ได้แต่เปลี่ยนเป็ต่อรอง “ถ้า...ถ้าเ้าจะยืนกรานให้ได้จริงๆ อย่างน้อยไม่ใส่ขิงได้หรือไม่? หรือจะแยกต้มก็ยังดี รสชาติของสี่อย่างนี้พอมารวมกันแล้ว มัน...มันประหลาดเกินทนจริงๆ”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ วันนี้เป็ครั้งแรก ข้าอาจจะยังกะส่วนผสมไม่แม่น ใส่เครื่องยามากไปหน่อย ทั้งยังต้มนานเกินไปด้วย คราวหน้าข้าจะปรับปรุงสูตร ใส่แต่น้อย แล้วใช้วิธีชงเอาแทน คงไม่ดื่มยากเหมือนวันนี้แล้วล่ะเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รับคำอย่างว่าง่าย
“ซิ่วเอ๋อร์ เ้ามัน...เ้าเล่ห์นัก! รู้ทั้งรู้ว่าต้มนานไปแล้วยังบังคับให้ข้าดื่มจนหมดอีก?” จางเจิ้นอันยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับภรรยาตัวน้อยของเขามากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งตระหนักว่าภายใต้ท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวานนั้น นางกลับแฝงความดื้อรั้นและเ้าแผนการไว้อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว
“ก็แหม...ข้ากลัวท่านไม่ยอมดื่มนี่นา” อันซิ่วเอ๋อร์ยอมรับหน้าตาเฉย “ถ้าท่านไม่ดื่ม ของดีๆ ที่ข้าอุตส่าห์หามาก็เสียเปล่าสิเ้าคะ”
“แต่เ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะ...” จางเจิ้นอันอ้าปากค้าง กำลังจะโพล่งออกไปว่า...กลัวว่าเขาจะโดนไอพิษจากยาหม้อนี้รมจนสิ้นสติไปเสียก่อน แต่พอเห็นแววตาใสซื่อของนาง ก็พลันกลืนคำพูดทั้งหมดกลับลงลำคอไป
“ไม่กลัวว่าท่านจะเป็อะไรไปหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เอียงคอเล็กน้อย ส่งยิ้มหวานหยดให้เขา ดวงตากลมโตคู่นั้นทอประกายระยับ
