ม่อหลิงหานอารมณ์ดีแล้ว จึงเอนกายลงบนเตียงดังเดิม โดยไม่ลืมที่จะโอบเยว่เฟิงเกอไว้ในอ้อมแขน
ในตอนนี้เอง โทรศัพท์ของเยว่เฟิงเกอก็ดังขึ้น
“เสียงอะไร? ” ม่อหลิงหานขมวดคิ้วมองเยว่เฟิงเกออย่างไม่พอใจ
เยว่เฟิงเกอคิดว่าเื่โทรศัพท์มือถือตนคงจะแอบซ่อนไว้ไม่อยู่แล้ว นางจึงทำได้แค่หยิบโทรศัพท์ที่อยู่ใต้หมอนออกมา
“นี่คืออะไร? ” ม่อหลิงหานไม่ได้พูดความสงสัยที่เขามีต่อตัวเยว่เฟิงเกอออกไป เขาเพียงอยากฟังว่านางจะอธิบายอย่างไร
หากนางสามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลได้ บางทีเขาอาจจะเลือกเชื่อนาง
เยว่เฟิงเกอกระแอมเบาๆ ก่อนจะบอกออกไป “ท่านอ๋องยังจำครั้งก่อนได้หรือไม่เพคะ ที่หม่อมฉันถูกชายารองฉินผลักตกสระบัว? ”
ม่อหลิงหานเพียง “อืม” ไปเสียงหนึ่ง รอฟังว่านางจะกล่าวอะไรต่อไป
เยว่เฟิงเกอกล่าวต่อ “ตอนนั้นหม่อมฉันเกือบต้องจมน้ำตายแล้ว โชคดีที่ได้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ช่วยไว้”
เมื่อเยว่เฟิงเกอพูดถึงตรงนี้ ก็ตั้งใจหยุดเว้น่
ม่อหลิงหานยังคงไม่กล่าววาจา เขาทำเพียงเลิกคิ้ว ตั้งตารอฟังว่าเยว่เฟิงเกอจะอธิบายให้กระจ่างอย่างไร
เยว่เฟิงเกอยังคงแต่งเื่ต่อไป “สมบัติล้ำค่านี้ได้มอบชีวิตที่สองให้หม่อมฉัน ตอนนั้นที่หม่อมฉันยังสลบไม่ได้สติ สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เปล่งแสงสีขาวออกมา และเข้ามาอยู่ในชุดของหม่อมฉัน มอบพลังให้หม่อมฉันจนในที่สุดหม่อมฉันสามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง”
ครั้งนี้ม่อหลิงหานยอมส่งเสียงออกมาแล้ว “ความหมายของเ้าคือ หากไม่มีเ้าสิ่งนี้ เ้าก็อาจจะตายไป ไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว? ”
เมื่อเยว่เฟิงเกอเห็นว่าม่อหลิงหานเหมือนจะเชื่อคำโกหกของนาง ก็รีบพยักหน้า กล่าวว่า “ท่านอ๋องตรัสได้ถูกต้อง เป็สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ที่ช่วยหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันจึงเก็บมันไว้กับตัวตลอด ต่อให้จะเป็ในยามกลางคืนที่กำลังหลับใหล ก็ต้องวางมันไว้ใต้หมอน”
“เช่นนั้นเมื่อครู่ที่มันส่งเสียงออกมา พระชายาจะอธิบายว่าอย่างไร? ” ม่อหลิงหานยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำโกหกของเยว่เฟิงเกอ
ดังนั้น เพื่อที่ม่อหลิงหานจะได้เชื่อคำพูดของนางอย่างสนิทใจ เยว่เฟิงเกอจึงรีบร้อนอธิบายว่า “เมื่อครู่มันเพียงสั่นเตือนให้หม่อมฉันได้รู้ว่ากำลังจะมีเื่ดีๆ เกิดขึ้นเพคะ”
“อ้อ? เื่ดีๆ อะไร? ” ม่อหลิงหานยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเยว่เฟิงเกอกำลังแต่งเื่ไร้สาระให้เขาฟัง
ดวงตาของเยว่เฟิงเกอกลิ้งกลอกไปมา นางยังคิดไม่ออกว่าจะแต่งว่ามีเื่ดีๆ อะไรเกิดขึ้นดี จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านอ๋องทรงเชื่อหรือไม่ว่าหม่อมฉันสามารถใช้ของสิ่งนี้เสกของอย่างอื่นออกมาได้? ”
ม่อหลิงหานรู้ว่าเยว่เฟิงเกอไม่อยากพูดความจริง เขาเองก็ไม่คิดจะเปิดโปงนางในทันที จึงกล่าวอย่างให้ความร่วมมือว่า “พระชายาจะเสกสิ่งใดออกมา เปิ่นหวางอยากรู้ยิ่งนัก”
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าในที่สุดม่อหลิงหานก็ถูกคำโกหกของนางชักนำได้สำเร็จแล้ว นางแย้มยิ้มกล่าวด้วยความยินดี “หม่อมฉันสามารถใช้สมบัติล้ำค่าอันนี้เสกขาหมูออกมาให้ท่านอ๋องได้เพคะ”
ม่อหลิงหานมองเยว่เฟิงเกออย่างสนใจ อยากจะดูว่านางจะเล่นแผลงๆ อะไรออกมาอีก
เยว่เฟิงเกอ้าให้ม่อหลิงหานเชื่อว่าโทรศัพท์เครื่องนี้คือสมบัติล้ำค่าที่นางกล่าวอ้าง นางรีบลุกขึ้นนั่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาขาหมูในเถาเป่า
ในที่สุดนางก็เห็นว่ามีผู้ขายร้านหนึ่งกำลังโฆษณาขาหมูเครื่องเทศของตนเองอยู่ โชคดีที่ใช้เพียงสิบมูลค่าการซื้อก็เพียงพอให้ซื้อได้
และโชคดีที่ก่อนหน้านี้เยว่เฟิงเกอทำภารกิจสำเร็จมากมายจนได้มูลค่าการซื้อมาไม่น้อย
หลังจากซื้อเตาหลอมยาแล้ว ในระบบยังมีมูลค่าการซื้อเหลืออยู่อีกยี่สิบ และเมื่อครู่เป็เพราะม่อหลิงหานกอดนาง นางจึงได้เพิ่มขึ้นมาอีกสิบมูลค่าการซื้อ
ครั้งนี้เยว่เฟิงเกอไม่กลัวแล้วว่าคำพูดที่นางกล่าวออกไปจะเป็แค่การคุยโวลอยๆ นางรีบกดสั่งซื้อทันที
ระบบหักสิบมูลค่าการซื้อนั้นไปอย่างรวดเร็ว
“แต๊นแต้นแต๊นแตน...” เยว่เฟิงเกอส่งเสียงสร้างบรรยากาศให้น่าสนใจขึ้น จากนั้นวาดมือไปบนเตียง ฉับพลันนั้นขาหมูชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งก็มาปรากฏบนเตียงตรงหน้าคนทั้งสอง
เพราะด้านนอกมีกระดาษไขห่อขาหมูไว้ จึงไม่ได้ทำให้เตียงเปรอะเปื้อน
เยว่เฟิงเกอแกะกระดาษออกแล้วหยิบขาหมูด้านในออกมาให้ม่อหลิงหานได้เห็นชัดๆ
“เป็อย่างไร หม่อมฉันไม่ได้โกหกใช่หรือไม่เพคะ” เยว่เฟิงเกอยื่นชิ้นขาหมูไปข้างปากม่อหลิงราวกับกำลังส่งเครื่องบรรณาการ
ชั่วขณะนั้นการที่ขาหมูมาปรากฏขึ้นตรงหน้า ม่อหลิงหานก็คล้ายว่าเพิ่งได้เห็นเื่ราวสุดมหัศจรรย์ที่สุดในโลกก็ไม่ปาน หว่างคิ้วเขาฉายชัดว่ากำลังตกตะลึงสุดขีด
เดิมทีม่อหลิงหานนึกว่าเยว่เฟิงเกอเพียงพูดจาหยอกล้อให้เขาหัวเราะ แต่สุดท้ายนางกลับใช้เ้าสิ่งนั้นเสกขาหมูออกมาได้จริงๆ
หากไม่ได้เห็นเองกับตา ม่อหลิงหานไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
ครั้งนี้ม่อหลิงหานเชื่อทุกคำพูดที่นางพูดไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดแล้ว ทั้งยังมองเ้าสิ่งนั้นที่มีลักษณะเป็ทรงเหลี่ยมยาวเป็ดังสมบัติล้ำค่าจริงๆ แล้วด้วย
ม่อหลิงหานไม่สงสัยว่าเ้าสิ่งนี้อาจเป็อาวุธลับที่เยว่เฟิงเกอใช้ลอบติดต่อกับคนแคว้นอื่นอีกต่อไปแล้ว
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าม่อหลิงหานเชื่อนางแล้ว จึงพูดอย่างดีใจว่า “ท่านอ๋อง วันนี้ทรงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขาหมูนี้ของหม่อมฉันก็ถือเสียว่าเป็รางวัลให้ท่านอ๋อง ขอท่านอ๋องโปรดรับไว้ด้วยเพคะ”
ม่อหลิงหานถูกท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของเยว่เฟิงเกอทำให้อารมณ์ดีจนหลุดหัวเราะออกมา เขารับขาหมูไว้แล้วฉีกออกมาชิ้นหนึ่ง ส่งไปที่ปากของเยว่เฟิงเกอ
เยว่เฟิงเกอเองก็ไม่บ่ายเบี่ยง นางกินเนื้อชิ้นนั้นลงไปทันที
“ท่านอ๋องเสวยด้วยสิเพคะ” เยว่เฟิงเกอเองก็เอาอย่างม่อหลิงหาน ฉีกเนื้อออกมาชิ้นหนึ่ง ส่งไปที่ปากเขา
นี่เป็ครั้งแรกที่ม่อหลิงหานถูกป้อนเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังเป็พระชายาที่ป้อนเขาด้วยตนเองอีก ยามนี้เขายิ่งอารมณ์ดีมากกว่าเดิม
ทว่า เขาไม่ได้กินเนื้อชิ้นนั้นเข้าไปในทันที มุมปากแย้มยิ้ม กล่าวกับเยว่เฟิงเกอว่า “เปิ่นหวางอยากให้เ้าป้อนด้วยปาก”
เยว่เฟิงเกอนึกว่าตนฟังผิดไป เบิกตาโตด้วยความสงสัย
ม่อหลิงหานพูดซ้ำอีกครั้ง “พระชายาไม่ได้ฟังผิดไปหรอก เปิ่นหวางอยากให้เ้าป้อนเปิ่นหวางด้วยปาก”
เยว่เฟิงเกอนิ่งค้างไป เขาอยากให้นางป้อนเขาด้วยปาก? เช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านางต้องคาบเนื้อชิ้นนี้ไว้ด้วยปากแล้วค่อยป้อนเขาหรือ?
เมื่อเยว่เฟิงเกอเห็นว่าในดวงตาของม่อหลิงหานมีแววหยอกล้อ นางถึงได้เข้าใจว่ามันเื่อะไรกันแน่
เยว่เฟิงเกอยัดเนื้อชิ้นนั้นใส่ปากม่อหลิงหานอย่างส่งๆ กล่าวอย่างโกรธๆ “ท่านอ๋องแกล้งหม่อมฉันอีกแล้ว หม่อมฉันไม่เล่นกับพระองค์แล้ว” พูดจบ นางก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้ม่อหลิงหาน ไม่อยากสนใจเขาอีก
ม่อหลิงหานหัวเราะเบาๆ โยนขาหมูในมือไปอย่างส่งๆ แต่ขาหมูชิ้นนั้นกลับบินลอยไปอยู่บนโต๊ะอย่างสง่างาม
ถึงแม้ม่อหลิงหานจะยังไม่รู้ว่าเ้าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไรและใช้งานอย่างไร แต่เขาเชื่อว่าสักวันเยว่เฟิงเกอต้องยอมบอกเขาทั้งหมดแน่
ม่อหลิงหานดึงตัวเยว่เฟิงเกอเข้ามา ก่อนจะยื่นมือไปลูบจมูกงอนของนาง แล้วจุมพิตลงไปเบาๆ
การกระทำของเขาทำให้เยว่เฟิงเกออดหน้าแดงใจเต้นไม่ได้
คนทั้งสองกอดกัน นอนหลับไปทั้งคืน...
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า เยว่เฟิงเกอก็ค้นพบว่าม่อหลิงหานที่นอนอยู่ข้างกายได้หายไปแล้ว
และเื่ที่เมื่อคืนท่านอ๋องมาค้างแรมที่เรือนเยว่เหยาก็ถูกลือไปทั่วทั้งจวน
หลังจากชิงจื่อช่วยเยว่เฟิงเกออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว คนทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังห้องอาหาร
ตลอดทางเยว่เฟิงเกอได้ยินเสียงซุบซิบมากมายที่ล้วนเป็เื่ที่เมื่อคืนท่านอ๋องไปค้างแรมที่เรือนตน
นางขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเป็ใครที่ปากมากแพร่งพรายเื่ที่ม่อหลิงหานมาค้างคืนที่เรือนนางออกไป
เยว่เฟิงเกอหันไปมองชิงจื่อ “เมื่อคืนที่ท่านอ๋องมาที่เรือนเยว่เหยา เ้าเป็คนพูดออกไปหรือ? ”
ชิงจื่อรีบส่ายหน้า “หม่อมฉันไม่ได้พูดเพคะ เป็ท่านอ๋องที่ตั้งใจให้เฉียวเฟยพูดออกไปเพคะ”
ม่อหลิงหานจงใจให้เฉียวเฟยนำเื่นี้ไปพูดเพื่ออันใด หรือว่าเขาจะแสร้งทำเป็รักใคร่ลึกซึ้งกับนางต่อหน้าคนอื่นอีก?
เมื่อคนทั้งสองมาถึงห้องอาหาร ก็เห็นว่าฉินหว่านใช้สายตาแหลมคมราวใบมีดจดจ้องนางด้วยความเคียดแค้น
ม่อหลิงหานกวักมือเรียกเยว่เฟิงเกอ “มานี่ มานั่งข้างเปิ่นหวางนี่”
เยว่เฟิงเกอเดินไปนั่งลงข้างกายม่อหลิงหานอย่างเชื่อฟัง
เมื่อนางนั่งลง บรรดาสาวใช้ก็พร้อมใจกันยกอาหารขึ้นโต๊ะ
เยว่เฟิงเกอเห็นสาวใช้คนหนึ่งกำลังยกขาหมูชิ้นนั้นที่นางกับม่อหลิงหานกินกันไปเมื่อคืนขึ้นมา เพียงแต่ในยามนี้ขาหมูชิ้นนั้นถูกนำไปอุ่นอีกครั้ง กำลังร้อนๆ มีควันลอยเอื่อย
สาวใช้คนนั้นวางขาหมูลงตรงหน้าเยว่เฟิงเกอ
ม่อหลิงหานใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูชิ้นหนึ่งมาวางลงในถ้วยของเยว่เฟิงเกอ
“นี่คือขาหมูของพระชายา กินเถอะ”
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินคำนี้ก็กลอกตาใส่ม่อหลิงหาน
อะไรที่เรียกว่าขาหมูของนาง นางเป็หมูหรือ?