ตอนที่ 10 ออกเดิน—สู่ด่านสกัดประตูมิติ!
“ขั้นห้าต้น!”
ระดับที่เมื่อก่อนเอื้อมไม่ถึง วันนี้ขึ้นมาถึงในพริบตา เร็วจนไม่รู้จะพูดยังไง
จางหย่งอันลุกไปยืนที่หน้าต่างมองแสงยามค่ำเหนือสถาบัน ถ้าอาศัยแต่การฝึกปกติเด็กทั้งสถาบันต้องคิดยอดกันเป็เดือนกว่าจะยกระดับเขาขึ้นขั้นห้าได้ บางทีสองสามเดือนด้วยซ้ำ โอสถพลังภายในช่วยลดระยะเวลาแบบครึ่งต่อครึ่ง
เขายิ้มบางๆ “ใครบอกว่าคนที่ทุ่มทรัพยากรจนเก่งเป็แค่เศษขยะ รากฐานแน่น สู้จริงไม่ได้ นั่นมันคำปลอบใจของคนไม่มีทรัพยากรล้วนๆ ใครกันไม่อยากถูกอัดทรัพยากรให้เป็ยอดฝีมือ”
สายตาเขากลับมาที่หอพัก แสงไฟในห้องฝึกยังไม่ดับ เด็กพวกนี้ฝึกฝนหนักและจริงจังมาก สมเป็ลูกหลานทหาร
“ถึงขั้นห้าแล้ว ได้เวลาออกไปเก็บทรัพยากรนอกด่านสกัดประตูมิติเซี่ยงไฮ้ ไม่งั้นสถาบันนี่ได้ปิดตัวลงจริงๆ”
เขากลับมาที่โต๊ะโน้มตัวจดบันทึกไล่ความทรงจำกว่าสิบปีในสนามรบจุดไหนเคยเห็นของดีจุดไหนเข้าไม่ได้เพราะแข็งแกร่งไม่พอเมื่อก่อนทำได้แค่แหงนมองทรัพยากรล้ำค่าแล้วถอนใจ
วันต่อมา เขางีบบนเก้าอี้สองชั่วโมงก็เต็มอิ่มแล้ว พลังขั้นห้าช่วยให้แทบไม่ต้องนอน
“วันนี้ ออกเดินได้”
นิสัยเขาคือ ไม่ยืดเยื้อตลอดสัปดาห์เร่งเคลียร์งานของอธิการบดีคนก่อน จัดระบบงานในสถาบัน ชั่วคราวปล่อยให้ชู่จื่อหางคุมแทนได้สบายๆ ตอนนี้กำลังคิดทั้งแผน ทั้งพลัง
เสียงะโเช้าๆ ลอยจากลานฝึก
“ฝึกฝนให้ๆหนักเพื่อฆ่าอสูร!”
“อดทน เข้าสู่หนทางนักสู้!”
ท่านอธิการบดีจางยืนพิงกระจก ดูแผ่นหลังในชุดฝึกสีดำเป็แถวยาว ใจหนึ่งก็อดเปรียบไม่ได้ สถาบันที่กฎหย่อนยาน เด็กมักอ้อยอิ่ง อาจารย์ก็วัดเด็กด้วยตัวเลขพลังภายใน ไม่สนใจอย่างอื่น อยู่ในเขตปลอดภัยนานเข้า ความฮึกเหิมค่อยๆ ถูกต้มจนชืด เหลือยอดฝีมือจริงๆ น้อยมาก
เขาชงชาแล้วเรียกชู่จื่อหางเข้าพบ ไม่คิดบอกแผนกับอาจารย์คนอื่นมากไปกว่านี้ พูดไปก็มีแต่สงสัย เอาทรัพยากรจริงๆกลับมาจะดีกว่าพูดแต่ปาก พวกเขาเป็ทหารผ่านศึกกองทัพสหพันธ์ที่ 649 ทั้งนั้นถึงไม่รู้จักหน้ากันมาก่อนก็พอเชื่อใจเื่ไว้ใจได้
ชู่จื่อหางเข้ามาท่านอธิการบดีจางรินชาให้ก่อนอีกฝ่ายจะถามเขาตัดบทสั้นๆ
“เอาแบบไม่อ้อมค้อม วันนี้ฉันไปจะแนวรบประตูมิติเซี่ยงไฮ้ งานในสถาบันฝากนายจัดการด้วย ่สั้นสามถึงห้าวัน ระยะยาวไม่เกินครึ่งเดือนฉันต้องกลับแน่นอน”
เขาไม่ทิ้งคำว่า ถ้าไม่กลับ ไว้เลยเพราะพูด “ต้องกลับ” ก็แปลว่า “ต้องกลับ” นั่นคือกฎของเขา
ชู่จื่อหางนิ่งไปครู่ “ท่านอธิการบดีจางไม่ต้องเสี่ยงถึงขนาดนั้นหรอกครับ ให้จางลู่หนากับหน่วยล่าอสูรตามไปร่วมคุ้มกันก็ได้ อย่างน้อยมีเพื่อนร่วมทาง”
“นี่คือคำสั่งไม่ใช่ขอความเห็น” สายตาของเขานิ่งและคม ชู่จื่อหางอ่านคนเก่ง รู้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็ประเภท “พูดแล้วไม่คืนคำ”
“เข้าใจแล้วครับเชิญท่านไปเถอะฝั่งนี้ผมจัดการเอง”
ทั้งสองออกไปถึงหน้าประตูสถาบัน อาจารย์เวรเช้าทักอย่างนอบน้อม
“ท่านอธิการบดีจาง รองอธิการบดี สวัสดีครับ”
แท็กซี่คันหนึ่งเลี้ยวเข้ามา ท่านอธิการบดีจางเปิดประตูขึ้นรถลดกระจกลงครึ่งหนึ่งหันบอกสั้นๆ
“กลับไปได้แล้ว”
กระจกเลื่อนขึ้น รถออกตัวมุ่งหน้าสู่ด่านสกัดประตูมิติเซี่ยงไฮ้ซึ่งอยู่ไกลร้อยลี้
อาจารย์เวรยังมองท้ายรถลับไป “ท่านอธิการบดีจางนี่ไปไหนแต่เช้า”
ชู่จื่อหางถอนใจเบาๆ “เขาไปด่านสกัดประตูมิติคนเดียว”
อาจารย์คนนั้นตาโต “โหผมนึกว่าแค่พูดปลุกใจเท่านั้น เขาไปจริงอย่างนั้นเหรออย่างนี้ต้องบอกลู่นาให้หน่วยล่าอสูรตามไป”
“เขาบอกแล้วว่าจะไปคนเดียวเชื่อใจเขา เขาคือคนที่ได้เหรียญกล้าหาญชั้นหนึ่งของกองทัพสหพันธ์ที่ 649 เถอะ” น้ำเสียงชู่จื่อหางนิ่งเป็พิเศษ อีกฝ่ายก็ยืดตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
รถพุ่งฉิวออกนอกเมือง ด่านสกัดประตูมิติเซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่ใน เมืองเก่า เดิมทีคือย่าน 繁華 ที่พังยับเมื่อตอนประตูมิติเปิดครั้งแรก กว่าจะผลักดันศัตรูให้กลับไปได้ก็แทบพังไปครึ่งเมือง แล้วจึงสร้างกำแพงมหึมาตั้งล้อมประตูมิติไว้กลายเป็ด่านสูงลิ่วที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
แดดส่อง แค่โผล่พ้นสันเนินมาก็เห็นเงากำแพงสูงราวร้อยเมตรตั้งตระหง่านข้างในรัศมียี่สิบกิโลถูกย้ายคนออกหมด ปล่อยให้เป็เขตรักษาการณ์ส่วน นครเซี่ยงไฮ้ จึงย้ายขยับเป็ผังเมืองใหม่ เวลาก็ล่วงเลยมากว่าศตวรรษแล้ว
กฎเหล็กของโลกนี้ชัดเจน ข้ามประตูมิติเมื่อไร อาวุธร้อนก็ดับสิ้น เครื่องมือทันสมัยก็กลายเป็ก้อนเหล็ก เดินในแดนต่างเผ่าพันธุ์มีดีสุดก็แค่นาฬิกากลไกเรือนเดียวก็หรูแล้ว เล่ากันว่ายอดฝีมือขั้นสูงบางคนไม่สะทกสะท้านแม้ะเินิวเคลียร์ ส่วนจางหย่งอันตอนนี้ แม้แตะขั้นห้า ก็แค่ไม่สนใจะุเบาๆ แต่ไม่มีวันยืนโง่ให้ใครเล็งแน่นอน
ไม่นาน รถก็ไปต่อไม่ได้แล้ว…
—โปรดติดตามตอนต่อไป—