“อาหารมาแล้ว เ้ากินเสียหน่อยจะได้มีแรง” พระาาบอกซูลี่ พลางหันมาหยิบถ้วยข้าวจากซือซิง แล้วบรรจงป้อนทีละคำ สายพระเนตรทั้งสองจับจ้องมองกันอย่างมีความหมาย เสมือนซูลี่กำลังรู้ชะตาชีวิตว่าไม่อาจอยู่พ้นข้ามคืนนี้ไปได้ น้ำตาใสไหลนองอาบสองแก้ม ในขณะที่อ้าปากรับอาหารจากพระหัตถ์ของชายอันเป็ที่รัก
“ท่านพี่ ข้ารักท่าน” นางพูดพร้อมกับหวนระลึกนึกถึงความรักในอดีต หลายเหตุการณ์ร้อยเรียงต่อกันเป็เื่ราวแห่งความทรงจำ นางยกมือขึ้นลูบใบหน้าของพระาาพลางส่งยิ้มคล้ายบอกลา และนั่นทำให้เขาหมดแรงในทันที ถ้วยข้าวในมือพลัดตกกระจาย เหล่าหมอหลวงและขุนนางพากันนิ่งเงียบ ก่อนพระาาตั้งสติได้แล้วค่อย ๆ หยิบถ้วยใหม่ขึ้นมาตักป้อนให้นางช้า ๆ
“กินเยอะ ๆ จะได้มีแรงบอกรักข้าทุกวัน” รอยยิ้มของชายาเผยออกเล็กน้อย ก่อนวาดสายตามองหาราชธิดาซูเจียว
“ซูเจียวมาใกล้ ๆ ให้ข้าเห็นใบหน้าเ้าชัด ๆ” หญิงสาวชะงักครู่หนึ่ง แล้วทำตามราชมารดาอย่างว่าง่าย พร้อมด้วยกิริยาอ่อนน้อม นางนั่งลงด้านข้างแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานให้
“ท่านแม่ต้องเสวยเยอะ ๆ นะเพคะ” ราชมารดาพยักหน้า พลางเอื้อมมือจับใบหน้าของลูกสาว แล้วปล่อยน้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย นางเสียใจที่มิอาจเห็นใบหน้าของซูเจินเช่นนี้ ก่อนสายตาจะเลื่อนมองพระาา
“ข้ามีความหวังอยู่เสมอเพื่อรอพบซูเจิน แต่ข้าอาจอยู่รอไม่ไหว”
“เ้าอย่าพูดเช่นนี้ หมอหลวงกำลังหาทางรักษาเ้าอยู่ ไม่นานเ้าจะกลับมาเป็ปกติ” สิ้นเสียงพระาา นางรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก มือเล็กจับไปบริเวณหน้าอกของตัวเอง แล้วพยายามฝืนสูดลมหายใจ หมอหลวงเห็นท่าไม่ดี จึงรีบทำการเข้าตรวจชีพจร พบว่ามันแปรปรวนตีกันจนหาจุดไม่พบ
“เหตุใดจึงเป็เช่นนี้ อาการของพระชายาไม่น่าหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้” เขารอบคิดในใจพลางขมวดคิ้วสงสัย หากแต่มือของพระชายาปัดตัวหมอหลวงออก แล้วหันไปจับพระหัตถ์ของสวามีแทน
“ข้าไม่ไหวแล้ว”
“ไม่” พระาารีบปฏิเสธ หัวใจอันเข้มแข็งไม่อาจยอมรับความจริง แม้อาการของนางจะย่ำแย่สักเพียงใดก็ตาม น้ำตาของหญิงอันเป็ที่รัก ทำให้พระาารู้สึกหัวใจสลาย พลางกำมือนางแน่น
“อย่าทำเช่นนี้ อย่าจากข้าไปซูลี่”
“ข้าหายใจไม่ออก” ซูลี่พยายามสูดลมหายใจเข้าออก แต่เหมือน์ไม่เข้าข้าง มือบางยังคงกำพระหัตถ์าาแน่น ในขณะนั้นทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างพากันใในอาการของชายา ที่แสดงความทรมานออกมา น้ำตาของพระาาไหลอาบสองแก้ม แม้ปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นแทบขาดใจไม่ต่างจากนางตรงหน้า ไม่นานนักวรกายของพระชายาก็แน่นิ่งสงบไป ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของซูเจียวและบ่าวไพร่บริเวณนั้น
“ท่านแม่” หญิงสาวรีบเข้าไปกอดร่างของพระมารดาแล้วกรีดร้องสุดเสียง ในขณะที่พระาาทิ้งตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียงหวีดในหัวดังลั่นออกมาจนไม่อาจทนมองร่างของซูลี่ได้
“ท่านแม่ฟื้นสิเพคะ อย่าจากข้าไปเช่นนี้ ฮือ ๆ ” เสียงร้องไห้รอดออกมาจากตำหนักใหญ่ ดังกึ่งก้องไปทั่วทั้งวังหลวง เป็อีกคืนที่จันทร์บนนภาทอแสงสีอ่อน ชาววังต่างรู้ในทันทีว่าได้สิ้นพระชายาอันเป็เสาหลักเรียบร้อยแล้ว บางคนออกมานั่งร้องไห้แบบเงียบ ๆ บางคนกอดหมอนหลับตาฟังเสียงสะอื้นที่ดังอยู่ทั่วทั้งวังหลวง การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทำให้ประทีปไฟที่มิเคยหลับใหลทั้งกลางวันและกลางคืน ถูกทหารยามหรี่ลง เป็สัญลักษณ์แห่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
ซูเจินตื่นขึ้นมาท่ามกลางเรือขนาดกลาง ที่ล่องอยู่กลางแม่น้ำสีฟ้าอ่อน มีลมพัดเข้ามาปะทะร่างกาย ดวงตากลมใสมองรอบ ๆ อย่างตื่นตาแลแปลกใจ
“เราอยู่กลางแม่น้ำซึ่งเป็รอยต่อระหว่างแคว้นจ้านหลิวกับเสี่ยนหลิว” คำพูดละมุนอบอุ่นเปล่งออกมา ทำให้ซูเจินหันกลับไปยังต้นเสียง นางถูกจับตามองมานานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ หญิงสาวทำตาปริบ ๆ แล้วหันมองออกไปนอกเรือ เพื่อดูความสวยงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับแม่น้ำสีฟ้าอ่อนเป็ความสวยงามดังภาพวาด ซูเจินยังคงมองสิ่งต่าง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดวงตากลมไหวระริกปล่อยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข องค์รัชทายาทไม่อาจละสายตาจากนางได้แม้สักวินาที ดวงตาคมเลื่อนมองแผลที่ขาก่อนจะเอ่ยถาม
“รู้สึกเจ็บแผลอยู่ฤาไม่” ซูเจินหันกลับมามองยังขาของตัวเอง ความจริงแล้วนางลืมความเ็ปไปสิ้น ก่อนคิ้วขมวดชนกันเล็กน้อย
“เหตุใดแผลข้าหายเร็วเช่นนี้ หรือเป็เพราะฤทธิ์ยาของท่าน” องค์รัชทายาทส่งยิ้มอ่อน หากแต่ไม่พูดอันใด
“หากเป็เช่นนั้น ยาของท่านช่างวิเศษนัก จริงสิเหตุใดท่านจึงหายตัวไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจ ในตอนข้าโดนแม่นางชิงเหอทำร้ายนั้น ข้าจำได้ดีว่าอยู่ ๆ ร่างของท่านก็มาโอบอุ้มข้าไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว” ซูเจินขยับกายเข้ามานั่ง พลางยกมือทั้งสองเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ
“ยาที่ทาให้เ้าเป็ยาที่ดีที่สุดของตระกูลข้า” หญิงสาวทำหน้าฉงน
“ตระกูลของท่านยอดฝีมือเป็ใครกัน เหตุใดมียาที่ออกฤทธิ์ดีเช่นนี้ ทั่วทั้งวังหลวงของข้า ไม่มียาใดเทียบได้” ซูเจินรอบคิดในใจ ดวงตาใส กลอกกลิ้งไปมาด้วยความไม่เข้าใจ
“แล้วเื่ที่ท่านหายตัวได้ เกิดจากพลังเวทใช่ฤาไม่” องค์รัชทายาทพยักหน้าช้า ๆ เป็การยอมรับ
“พลังเวทเช่นนี้ข้ามิเคยเห็นมาก่อน ท่านยอดฝีมือผู้นี้เป็ใครกันแน่” ซูเจินมองชายหนุ่มอย่างใช้ความคิด ก่อนจะนึกบางอย่างได้
“หากข้าอยากฝึกวิชาเวทบ้าง ท่านจะเมตตาข้าได้ฤาไม่” แววตาเป็ประกาย มองตรงไปยังั์ตาแสนอบอุ่นคู่นั้นอย่างมีความหวัง
“ตามธรรมเนียม เ้าต้องมีอายุครบสามพันปี แล้วได้รับอนุญาตจากาาของเ้าก่อนมิใช่ฤา”
“ท่านสามารถแหกกฎต่าง ๆ ได้ แล้วเหตุใดข้าจึงทำไม่ได้เช่นท่าน” ซูเจินเอียงศีรษะเล็กน้อย
“ทุกอย่างมีที่มาที่ไป เ้ายังเด็กนัก ในโลกกว้างมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่มิอาจทำตามใจตนเองได้ ยิ่งกับผู้ที่ต้องแบกรับภาระใหญ่หลวงแล้ว ส่วนร่วมคือสิ่งสำคัญที่สุด ข้ามิได้คิดแหกกฎ แต่ข้าเกิดมาพร้อมกับภาระหน้าที่อันใหญ่หลวง แตกต่างจากผู้อื่น”
“ท่านพูดอันใด ข้ามิเห็นเข้าใจ” องค์รัชทายาทมองคิ้วที่ขมวดชนกันบนใบหน้าของหญิงสาว กลับััถึงความน่ารักที่กำลังฉายแววออกมา
“เ้าชอบแม่น้ำสายนี้ฤาไม่” เขาหันหน้ามองไปรอบ ๆ สุดสายตาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซูเจินมองตามออกไป พร้อมกับหัวใจเบิกบานเมื่อเห็นวิวทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ ก่อนหันกลับมายังใบหน้าของท่านยอดฝีมือ
“ในตอนนี้ใบหน้าของเขาช่างงดงามไม่ต่างกันนัก เมื่อก้าวพ้นข้ามเขตแดนไปแล้ว จักถึงเวลาที่ต้องแยกทางกัน ความหวาดหวั่นนี้ ไม่อาจละออกจากใจได้” หญิงสาวยังคงจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่ม แล้วครุ่นคิดอยู่ภายในอย่างเงียบๆ
“แม่น้ำที่เ้าเห็นอยู่นี้ เป็แม่น้ำที่สวยที่สุด นานมาแล้วว่ากันว่าถูกชาว์ที่อยู่สูงจากนี้ไปอีกสามหมื่นโยชน์เป็ผู้สร้างสรรค์เอาไว้ เพื่อให้ทั้งห้าแคว้นแยกกันอยู่ตามแบบเฉพาะตน เมื่อวันเวลาเวียนมาถึง ความดีของแคว้นใดมากที่สุด แคว้นนั้นจักต้องเป็ใหญ่ ไม่นานนักแคว้นกงเหว่ยสร้างความดีต่าง ๆ ไว้มากมายะเืไปถึงเบื้องบนท่านจึง สถาปนาให้แคว้นก่งเหว่ยเป็นครใหญ่ แล้วขึ้นปกครองแคว้นทั้งสี่นับจากนั้นเป็ต้นมา”
“แล้วนครก่งเหว่ยจะมีอำนาจเช่นนี้ตลอดไปฤาไม่” ซูเจินยังคงเท้าคางแล้วตั้งใจฟังเื่ราวแปลกประหลาด
“ไม่ หากแม่น้ำทั้งสี่สายเปลี่ยนเป็สีดำ นั่นหมายถึงนครใหญ่อย่างก่งเหว่ยไม่สามารถปกครองทั้งสี่แคว้นได้อีกต่อไป ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอตามกฎที่เบื้องบนสร้างขึ้น” ถึงตอนนี้หญิงสาวขยับกายเข้ามาใกล้ แล้วนั่งมองชายหนุ่มด้วยความใคร่รู้อย่างถึงที่สุด
“แล้วแม่น้ำเคยเปลี่ยนสีฤาไม่” องค์รัชทายาทพยักหน้า แล้วหันมองออกไปด้านนอก ก่อนตัดสินใจเล่าบางอย่างให้หญิงสาวผู้อยากรู้อยากเห็นฟัง
“นานมาแล้ว แม่น้ำทั้งสี่สายนี้จากสีฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็สีเข้มขึ้นจนผิดปรกติ สาเหตุเพราะในนครใหญ่มีผู้คนล้มตายเป็จำนวนมากอย่างรวดเร็วด้วยพิษของดอกเฟิ่งเซียนทิพย์ ในขณะนั้นหากปล่อยทิ้งไว้ไม่แก้ไข แม่น้ำก็จะกลายเป็สีดำสนิท คงถึงคราวสิ้นอำนาจของนครใหญ่ แต่โชคเข้าข้างสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ด้วยความช่วยเหลือจากแม่นางเหมยเชิน” เมื่อพูดถึงตอนนี้หญิงสาวใจหายวาบ นางหวนนึกถึงบันทึกฉบับนั้นที่มีใจความตรงกันบางส่วน
“จุดอ่อนของนครใหญ่คือหากแม่น้ำกลายเป็สีดำสนิทเมื่อใด ตามกฎของเบื้องบน นครใหญ่ก็จะหมดอำนาจ ซึ่งพิษของดอกเฟิ่งเซียนทิพย์ทำให้ผู้คนล้มตายจำนวนมาก และส่งผลให้แม่น้ำก็จะกลายเป็สีดำเช่นนั้นสินะ แต่โชคดีที่ได้แม่นางเหมยเชินช่วยเอาไว้” ซูเจินพูดทบทวนช้า ๆ
“ไม่นานนัก แม่นางเหมยเชินก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จักรพรรดิองค์ก่อนออกตามหาแทบพลิกแผ่นดิน แต่ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ ด้วยเพราะเหตุนี้จึงทำให้จักรพรรดิองค์ก่อนจดบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้ด้วยมือองค์เองเพื่อเป็สิ่งเตือนใจให้กับลูกหลานสืบไป ก่อนสิ้นพระชนม์ ได้นำบันทึกนั้นเก็บไว้ในหอสมุด ไม่นานนักเหล่าขุนนางได้ตรวจพบว่ามีการคัดลอกบันทึก ออกสู่ด้านนอก
“แย่แล้ว เช่นนั้นทุกแคว้นไม่พากันดื้อดึงแยกกันเพื่อเป็ใหญ่หรอกเหรอ ในเมื่อทราบถึงจุดอ่อนที่จะทำให้นครใหญ่หมดอำนาจแล้ว” องค์รัชทายาทส่ายศีรษะ แล้วส่งยิ้มอ่อนให้
“จักรพรรดิองค์ก่อนมีความคิดก้าวไกล ท่านบันทึกใจความบางส่วนเอาไว้ เป็แนวทางให้คนรุ่นหลังเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับพิษของดอกเฟิ่งเซียนทิพย์ หากแต่ไม่ได้บันทึกว่าพิษของดองเฟิ่งเซียนทิพย์ร้ายแรงถึงกับอาจทำให้นครใหญ่หมดอำนาจ” ซูเจินเบิกตากว้าง
“มิน่าเล่า ท่านพ่อจึงหวงบันทึกฉบับนั้นนัก ที่แท้ก็เป็บันทึกที่ถูกคัดลอกออกมาจากนครใหญ่ แต่เหตุใดทำให้ท่านพ่อต้องเก็บบันทึกนั้นไว้อย่างแ่า และหวงแหนราวกับว่าบันทึกนั้นสำคัญยิ่งสำหรับแคว้นจ้านหลิว”
“แล้วท่านรู้เื่นี้ได้อย่างไร” หญิงสาวนึกได้จึงขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย ทำให้องค์รัชทายาทชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มกว้างหันมองดูทิวทัศน์ด้านนอก
“ในเมื่อข้าอยู่เหนือกฎของทุกแคว้น เหตุใดเื่เพียงเท่านี้ข้าจักไม่รู้ได้”
“แล้วเหตุใดท่านจึงพูดความลับนี้กับข้า ท่านไม่กลัวว่าข้าจะทำความลับรั่วไหลงั้นฤา” ซูเจินถามพร้อมแววตาเป็ประกาย ขณะที่รอยยิ้มอ่อนของชายหนุ่มยังคงเผยออกมาเป็ระยะ
“เพราะเ้า เป็คนของข้านับจากนี้เป็ต้นไป ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรข้าจักไม่ยอมให้เ้าทรยศข้าอย่างแน่นอน” ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ต้องบังคับ นางรีบหันไปทางอื่นทันทีพร้อมหัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็จังหวะ หญิงสาวจำเป็ต้องตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันกลับมายังชายหนุ่มอีกครั้ง ท่ามกลางกระแสลมอ่อนที่พัดมาปะทะกายทั้งสอง
“อันที่จริงข้าไม่ควรก้าวก่ายเื่ส่วนตัว แต่ท่านบอกข้าได้ฤาไม่ ท่านเป็ใครกันแน่” โจ้วอี้เฟยยกยิ้มบางเบา มองตรงมายังซูเจินด้วยสายตาอ่อนโยน