หอตะวันตกนั้นเป็เขตที่ศิษย์แขนงการต่อสู้ชอบไป เวลาปกติจะไม่ค่อยเห็นนักหลอมโอสถเท่าไรนัก
ครั้งนี้โหยวเสี่ยวโม่ตะลึง เพราะจากที่ดวงจิตััได้ เขาพบว่ามีนักหลอมโอสถหลายคนอยู่ในนั้นด้วย แม้ไม่ได้ขั้นสูงมาก แต่ก็ราวๆ ขั้นสามเห็นจะได้
ส่วนที่ว่าทำไมเขาถึงรับรู้ได้ เขาเองก็ยังไม่ทันสังเกตเื่นี้
โหยวเสี่ยวโม่เดินเข้าไปไม่ได้เป็ที่สังเกตมากนัก เพราะทุกคนต่างสนใจอยู่กับม้วนกระดาษหรือตำราในมือ ทั้งชั้นสองฝั่งตะวันตกนั้นเงียบสงบมาก
โหยวเสี่ยวโม่ไม่กล้าส่งเสียงดังรบกวน เริ่มค้นหาจากชั้นวางแรก ไม่นานนักก็เจอชั้นวางเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจ แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจคือ ตำราบนชั้นวางหายไปกว่าครึ่ง
เหลียวกลับไปมองศิษย์พี่คนอื่นที่กำลังอ่านตำรา โหยวเสี่ยวโม่อึ้งและพบว่าตำราที่อยู่ในมือพวกเขาเป็สิ่งที่เขากำลังตามหา คิดไม่ถึงว่ามีคนมากมายกำลังศึกษาเื่สัตว์ปีศาจ เห็นทีคนที่สนใจดินแดน์วิมานจะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวซะแล้ว
แต่ดีที่สำนักเทียนซินวิเคราะห์ถึงสถานการณ์นี้ไว้ล่วงหน้า ดังนั้นบนชั้นวางจึงมีตำรามากมายที่เกี่ยวกับสัตว์ปีศาจ เสียดายที่ตอนนี้เป็่ที่คับขัน คนที่ค้นคว้าเื่พวกนี้มีมากมาย จึงเอาออกไปไม่ได้
โหยวเสี่ยวโม่เลือกกระดาษม้วนหนึ่งจากบนชั้นวาง จากนั้นนั่งลงยังโต๊ะว่าง ค่อยๆ คลี่ม้วนกระดาษออก ด้านในมีรูปเสือท่าทางดุร้ายเกรี้ยวกราด เสือชนิดนี้เรียกว่า เสือทองลายดำทมิฬ เป็สัตว์ปีศาจขั้นเจ็ด เลื่อนลงไป ส่วนใหญ่จะเป็สัตว์ปีศาจขั้นกลาง
โหยวเสี่ยวโม่เงยหน้ามองคนอื่นแวบหนึ่ง พบว่าไม่มีใครมองมาทางเขา จึงค่อยๆ ใช้พลังปราณิญญาส่งผ่านสองมือ จากนั้นเริ่มบันทึกข้อมูล
นี่คือวิธีการจำเร็วของนักหลอมโอสถ คราวก่อนที่ไปชั้นสามก็ใช้วิธีนี้ ตอนนี้เขารู้แล้ว หากใช้พลังปราณิญญาในการจดจำ ก็เท่ากับจำข้อมูลพวกนี้เข้าไปยังส่วนลึกของสมอง ไม่ว่านานเพียงใดก็ไม่มีวันลืม
ทว่า การจำเร็วเช่นนี้มีขีดจำกัด นั่นก็คือใช้พลังปราณิญญาค่อนข้างเยอะ คนทั่วไปไม่มีทางจำได้ทั้งเล่มหรือทั้งม้วน พลังปราณิญญาจะใช้ไปหมดเสียก่อน โชคดีที่โหยวเสี่ยวโม่ไม่ใช่คนทั่วไป
จำหมดม้วนที่หนึ่ง โหยวเสี่ยวโม่ก็ไปหาม้วนที่สองมา ครั้งนี้ที่ได้มาคือสัตว์ปีศาจขั้นล่างมากมายหลากชนิด แบ่งเป็ห้าม้วน อ้างอิงตามสัตว์ปีศาจต่างสายพันธุ์ เพราะคนที่ศึกษาสัตว์ปีศาจขั้นล่างมีอยู่น้อย ดังนั้นจึงมีครบชุดเหลืออยู่
แต่ทั้งห้าม้วนนับว่าเยอะพอสมควร โหยวเสี่ยวโม่ต้องแบ่งจำสองครั้งถึงจำหมด เดิมทีเขายังอยากหาตำราสัตว์ปีศาจขั้นสูง แต่หาไม่เจอ วนหารอบหนึ่งก็มีเพียงตำราที่อยู่ในมือศิษย์พี่คนอื่น หยิบไปไว้ก่อน แม้ยังไม่ได้อ่านแต่ก็วางไว้ข้างตัว
โหยวเสี่ยวโม่แอบชำเลืองมองศิษย์พี่สวมชุดขาว นั่งเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นเพียงเขากำลังจดจ่อกับการอ่านตำราในมือ สายตาเลื่อนไปมองกระดาษม้วนหนึ่งข้างเขา จึงขยับก้นช้าๆ จนทั้งสองประจันหน้ากัน…
ศิษย์พี่คนนี้ท่าทางมีสมาธิมาก เหมือนไม่รู้ว่าเขามาอยู่ตรงนี้
โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยเสียงต่ำและเบาอย่างระวัง “ศิษย์พี่ท่านนี้ ขออภัยที่รบกวนท่าน”
หลี่จวิ้นได้ยินเสียงคนพูดอยู่ตรงหน้า เงยหน้าขึ้นอย่างเอะใจ เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของโหยวเสี่ยวโม่ พลันขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงหนัก “เ้ามีเื่อะไร?”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าศิษย์พี่ท่านไม่ค่อยดีใจที่เห็นหน้าเขาเท่าไหร่ แต่ที่เขาแน่ใจก็คือ เขาพบศิษย์พี่ท่านนี้เป็ครั้งแรก
“คือว่าท่านพอจะให้ข้ายืมตำราม้วนข้างมือนั่นก่อนได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!” หลี่จวิ้นตอบแบบไม่คิด ขณะเดียวกันก็วางตำราในมือลง รีบเก็บตำราม้วนนั้น จากนั้นคลี่ตำราม้วนนั้นดู ท่าทางได้ใจแล้วเอ่ย “ข้าจะดูตอนนี้ ให้เ้ายืมไม่ได้หรอก”
โหยวเสี่ยวโม่แจกให้เขาสองคำ น่าขัน! แต่เป็ความในใจ
เมื่อเห็นท่าทางนี้ ศิษย์พี่ท่านนี้แสดงออกชัดว่าไม่อยากให้เขายืม หากเขายังดูไม่ออก ก็กลับไปเกิดใหม่ได้เลย แต่เขาไม่เข้าใจว่า เขาไม่เคยมีเื่กับศิษย์พี่ท่านนี้มาก่อนนี่นา?
เมื่อยืมตำรามาไม่ได้ ในใจเขาก็พลันหดหู่ เห็นทีคงต้องมาใหม่พรุ่งนี้
ขณะที่เขากำลังเก็บม้วนตำราขึ้นเพื่อลุกออกไป เสียงดีใจจากด้านหลังก็ดังขึ้น ไม่ได้ดังมาก แต่ก็ดังพอให้ห้องที่เงียบสงบนี้ได้ยินทั่ว
“ศิษย์พี่โหยว?”
โหยวเสี่ยวโม่คุ้นเคยกับเสียงนี้ เหลียวกลับไปมอง พบว่าเขาคือเจียงหลิวที่ไม่ได้เจอกันอีกเลยหลังจากการทดสอบ บนตัวเขาสวมใส่ชุดสีฟ้าเข้ม เป็สัญลักษณ์ของศิษย์ทัพ์ เหมือนทัพพิภพ แต่ทัพพิภพนั้นเป็สีเขียว
เห็นเขาเหลียวกลับมา เจียงหลิวก็วิ่งตรงมาหาเขาอย่างดีใจ ท่าทางสะอาดตานั้นดึงดูดสายตา อีกทั้งยังเป็ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่ ทุกคนต่างรู้จักเขา
“ศิษย์น้องเจียง เ้าก็มาดูตำราที่หอคัมภีร์หรือ?” โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขาก็รู้สึกดีใจเช่นกัน
แต่เมื่อพูดจบ เขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่จับจ้องเขาอยู่ ในใจคงนึกว่า มาหอคัมภีร์ ไม่ดูตำราแล้วจะทำอะไรได้อีก แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าผิดแปลกอะไร
เจียงหลิงก็ดูเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร นั่งลงที่นั่งข้างเขา สายตาจ้องมองตำราข้างมือเขา จากนั้นหัวเราะแล้วเอ่ย “ใช่ อีกสามเดือนก็จะเริ่มเปิดดินแดน์วิมานแล้ว ดังนั้นอาจารย์จึงให้ข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจ เผื่อถึงตอนที่ไปดินแดน์วิมานหากไม่รู้จักหน้าตาสัตว์ปีศาจ คงอายแย่”
โหยวเสี่ยวโม่ดีใจแทนเขา จากนั้นยื่นตำราในมือให้เขา “นี่เป็สัตว์ปีศาจขั้นล่าง หากเ้าอยากได้ข้าให้”
คิดไม่ถึงว่า เจียงหลิวจะปฏิเสธ มองเขาอย่างเกรงใจแล้วเอ่ย “ไม่ต้องหรอก พวกนี้ข้าเคยดูแล้ว ที่ข้าจะหาคือตำราที่เกี่ยวกับสัตว์ปีศาจขั้นสูงน่ะ”
หากโหยวเสี่ยวโม่ตั้งใจฟังเสียหน่อย ก็จะรับรู้ได้ถึงความโอ้อวดเล็กๆ แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น ท่าทีตอนพูดอาจดูเป็มิตร แต่ความเป็จริงนั้นกำลังยกตนข่มท่าน
โหยวเสี่ยวโม่มองเขาอย่างเอะใจ ในเมื่อเคยดูแล้ว ก่อนหน้าทำไมต้องพูดว่าไม่รู้จักหน้าตาสัตว์ปีศาจ แต่พอคิดดูอีกที เขาเดาว่าเจียงหลิวคงหมายถึงสัตว์ปีศาจขั้นสูง จึงไม่ได้ใส่ใจต่อ
โหยวเสี่ยวโม่กล่าวอย่างเสียใจ “ศิษย์น้องเจียง เ้ามาช้าไปก้าวเดียว ข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจขั้นสูงมีคนเอาไปแล้ว”
“เช่นนี้หรอกหรือ!” เจียงหลิวขมวดคิ้วเป็ปม ทันใดก็เห็นหลี่จวินกำลังอ่านตำราเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจขั้นสูง ดวงตาเป็ประกายขึ้นมา พลันเอ่ยกับเขา “ศิษย์พี่ ตำราม้วนในมือของท่านให้ข้ายืมก่อนได้หรือเปล่า?”
หลี่จวิ้นเห็นเขามาแต่เนิ่นแล้ว และรู้ด้วยว่าเขาคือเจียงหลิวแห่งทัพ์ เมื่อได้ยินเสียงคำพูดพร้อมรอยยิ้มที่อยากเอาใจ จึงพลันยื่นตำราม้วนนั้นให้เขา “ได้แน่นอน”
โหยวเสี่ยวโม่เบิกตาโต มองเขาด้วยสายตายากที่จะเชื่อ “ศิษย์พี่ เมื่อครู่ข้าขอยืมกับท่าน ท่านบอกว่าจะอ่านก่อนไม่ใช่รึ?”
หลี่จวิ้นรีบดึงสีหน้า จ้องเขาเ็า เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ตำราเป็ของข้า ข้าอยากยืมให้ใครก็ยืม หรือต้องให้เ้าอนุญาตก่อนรึไง?”
“ตำรานี่เป็ของสำนักเทียนซิน ไหงเป็ของท่านได้ล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่ไม่พอใจตอกกลับไป เขาดูออกว่าคนนี้ตั้งใจตั้งแง่กับเขา
“เ้าพูดอะไรนะ มีอย่างที่ไหนพูดกับศิษย์พี่เช่นนี้?” หลี่จวิ้นพลันอารมณ์ขึ้น ตบโต๊ะดังปังจนคนอื่นต่างสะดุ้ง แล้วชำเลืองมายังพวกเขาทันใด
เจียงหลิวรีบะโออกมาไกล่เกลี่ย เอ่ยขำขัน “ศิษย์พี่ทั้งสองอย่าได้ทะเลาะกัน ที่นี่คือหอคัมภีร์ ห้ามเสียงดัง ไม่งั้นจะถูกไล่ออกไป ทุกคนถอยคนละก้าวดีกว่า”
พูดจบ เขาก็พูดกับโหยวเสี่ยวโม่ว่า “ศิษย์พี่โหยว ท่านรีบขอโทษศิษย์พี่เขาดีกว่า”
ไม่ทันให้โหยวเสี่ยวโม่ได้พูด หลี่จวิ้นทำเสียงขึ้นจมูก “ข้าไม่กล้ารับคำขอโทษอันสูงส่งจากศิษย์น้องโหยวหรอก”
สองคนสาดน้ำลายกันไปมา กลายเป็ว่าโหยวเสี่ยวโม่เป็คนผิดเสียอย่างนั้น อะไรคือถอยคนละก้าว คำพูดท้ายประโยคของเขานั้นชัดว่ากำลังกล่าวว่าเป็ความผิดของโหยวเสี่ยวโม่ ใครไม่รู้คงโดนทั้งสองคนนี่ตบตาเข้าให้ สายตากล่าวโทษมองมายังโหยวเสี่ยวโม่
โหยวเสี่ยวโม่ก็โมโหกับคำพูดของหลี่จวิ้น ทั้งที่เขาไม่ผิด อย่าคิดว่าเขาไม่ใช่คนอารมณ์ร้ายแล้วจะรังแกได้ง่ายๆ คำโบราณว่าไว้ หมาจนตรอกน่ากลัวที่สุด!
หลี่จวิ้นขำเยือกเย็น พลันกล่าวเสียงดัง “โหยวเสี่ยวโม่ผู้ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา วันนี้ข้าจะสั่งสอนเ้าที่ไม่รู้จักเคารพผู้าุโกว่าแทนอาจารย์เอง”
พูดจบเขาก็ตั้งท่าต่อสู้ เตรียมสั่งสอนโหยวเสี่ยวโม่สักฉาด
ทว่าขณะนั้นเอง มีใครบางคนเดินเข้าตรงทางเข้าหอคัมภีร์ ใบหน้าเคร่งขรึม มองมายังคนที่ทะเลาะกันอยู่ พลันส่งเสียงเดือดดาล “นี่ทำอะไรกัน? ไม่รู้รึไงว่าหอคัมภีร์ห้ามส่งเสียงดัง?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้