หมี่หลันเยว่กลับมาจากบ้านเฉียนหย่งจิ้น ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าห้องหนังสือ เธอก็ส่งสัญญาณให้พี่ชาย หมี่หลันหยางรีบดึงน้องสาวเข้ามาใกล้ ถามด้วยความกระตือรือร้น
"เร็วเข้าๆ เล่ามาให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง"
หมี่หลันเยว่จะไม่ปิดบังพี่ชายอยู่แล้ว เธอเล่าทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียด
"พอฉันไปถึงบ้านพี่หย่งจิ้น คุณน้าก็รออยู่พอดี พอรู้ว่าพี่หย่งจิ้นไม่ได้พาฉันไปทันที แต่กลับกินข้าวที่บ้านเราก่อน คุณน้าก็เขกหัวเขาไปเปรี้ยงใหญ่เลย"
นึกถึงตอนที่โดนเขกหัวอย่างแรง หมี่หลันเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก สีหน้าเ็ปของเฉียนหย่งจิ้นตอนนั้น ช่างน่าขำเสียจริง แต่หมี่หลันหยางอยากฟังเื่สำคัญมากกว่า
"อย่าเพิ่งขำสิ เล่าเื่ให้จบก่อนแล้วค่อยหัวเราะก็ยังไม่สายนะ"
หมี่หลันเยว่รีบหุบยิ้ม
"คุณน้าสนใจร้านของเรามากค่ะ คุณน้าบอกว่ายังมีเพื่อนสนิทอีกหลายคนที่ชอบทำเสื้อผ้า เพราะผู้หญิงเราชอบสวยงามนี่นา ก็เลยชอบรวมตัวกันศึกษาแบบเสื้อผ้า แล้วก็พวกงานฝีมือ"
"แสดงว่าพวกเขามีฝีมือดีใช่ไหม?"
หมี่หลันหยางถามย้ำ
"อืม ดีทุกคนเลย ฉันดูเสื้อผ้าที่คุณน้าใส่อยู่ ฝีมือดีมาก ไม่เหมือนทำเองเลย"
"คุณน้ายังบอกอีกว่าตอนนี้พวกเขายังว่างงานกันอยู่ เวลาว่างๆ ก็ศึกษาแต่เื่ทำเสื้อผ้า บางครั้งก็ทำเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาทำเสื้อผ้าอยู่ที่บ้านก็เหมือนกัน ถ้าได้ทำงานที่ร้าน ได้เงินเดือนบ้างก็คงดี จะได้ไม่ต้องโดนคนที่บ้านดูถูก หาว่าเอาแต่ทำเื่ไร้สาระ"
"พวกเขา้าแบบนั้น คุณน้าเลยบอกให้เราสบายใจได้เลย คนที่คุณน้าแนะนำมาไว้ใจได้ทุกคน พื้นฐานเป็คนดี เด็กบ้านนอกจิตใจซื่อๆ ไม่มีทางคิดร้าย หรือโลภมากก่อเื่แน่นอน ให้เราใช้คนได้อย่างสบายใจ"
หมี่หลันหยางฟังอย่างตื่นเต้น เขาตบเข่าตัวเองดังฉาด จนเจ็บไปหมด แถมยังทำให้คนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องสะดุ้ง เขาจึงรีบขอโทษขอโพย
"ขอโทษครับๆ ผมเผลอไปหน่อย ขอโทษจริงๆ"
หมี่หลันเยว่ปิดปากหัวเราะคิกคัก หมี่หลันหยางเอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบาๆ ทำหน้าเซ็ง หมี่หลันเยว่หัวเราะหนักกว่าเดิม เม้มริมฝีปาก ตัวสั่นไปหมด แถมยังชี้หน้าพี่ชายอีก หมี่หลันหยางรีบเบือนหน้าหนี ไม่สนใจการล้อเลียนของน้องสาว รีบพูดเื่สำคัญต่อ
"ดีเลย แล้วคุณน้าเขารู้จักคนเท่าไหร่ พอให้ร้านเราใช้ไหม?"
พอพูดถึงเื่สำคัญ หมี่หลันเยว่ก็กลั้นหัวเราะไว้
"คุณน้าบอกว่าอยากได้เท่าไหร่ก็ได้ คุณน้ามีคน"
"ตอนนี้มีเจ็ดคนที่คุณน้าใช้ได้ ฝีมือดี แถมยังเป็คนดีด้วย เราลองใช้ไปก่อนก็ได้ คุณน้าบอกว่าถ้าเราอยากได้คนเพิ่มอีก เมื่อไหร่ก็ได้ คนพวกนี้ก็ยังรู้จักคนที่ทำเสื้อผ้าเป็อีก ให้พวกเขาแนะนำมาได้เลย เรียกเมื่อไหร่ก็มาเมื่อนั้น รับรองว่าพอให้ร้านเราใช้คน"
พูดมาถึงตรงนี้ หมี่หลันเยว่ก็ตื่นเต้นไปด้วย นี่มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ไม่คิดว่าจะเจอง่ายๆ แถมที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ พวกนี้ยังเป็สาวๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน เื่วุ่นวายต่างๆ ก็จะน้อยลง ไม่ว่าจะเป็เื่ในครอบครัว หรือเื่ปากท้อง สาวๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานย่อมมีเื่ให้น้อยกว่าแม่บ้านที่แต่งงานแล้ว
"แล้วเรายังขาดอะไรอีกบ้าง?"
หมี่หลันหยางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเื่ที่น้องสาวกำลังจะเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้า เปิดร้านขายเสื้อผ้า นี่มันเป็เื่ที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ถึงจะไม่ใช่ของตัวเอง แต่การที่ได้ช่วยเหลือก็ทำให้หมี่หลันหยางตื่นเต้นดีใจมาก
"พรุ่งนี้เราจะไปคุยกับผู้จัดการโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของรัฐ หวังว่าจะราบรื่น ส่วนที่เหลือก็คือไปซื้อเครื่องจักรต่างๆ เื่นี้ ฉันอยากให้คุณน้าไปด้วย ในเมื่อพวกเขาใช้จักรเย็บผ้าเป็ ก็น่าจะรู้ว่าจักรเย็บผ้าแบบไหนดี ใช้งานถนัด ยังไงก็เป็พวกเขาใช้ ให้พวกเขาเลือกเองเลยดีกว่า"
หมี่หลันเยว่คิดถึงเื่ที่ตัวเองต้องเตรียม
"เลือกเครื่องจักรแล้ว ค่อยพาพวกเขาไปเลือกผ้าลายดอกเลยดีกว่า พี่คะ แล้วพี่กับพี่เผิงเฟยไปหาคนมาทาสีร้านกับร้านใหม่หมดเลยนะ"
"ถึงบ้านของพี่เผิงเฟยจะไม่ค่อยได้ใช้ แต่ทาสีใหม่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่น เป็สัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่ด้วย"
หมี่หลันหยางรับปากทันที รับประกันกับน้องสาวว่าจะทำเื่ให้สำเร็จ
"ถ้าทำพวกนี้เสร็จแล้ว ก็เหลือแค่การออกแบบเสื้อผ้า ฉันจะออกแบบเสื้อผ้าที่เหมาะกับตอนนี้ก่อน"
หมี่หลันเยว่พึมพำกับตัวเองเบาๆ ถึงสิ่งที่ต้องทำ จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ตบเข่าตัวเองดังฉาด จนเจ็บต้องร้องออกมา คนที่อ่านหนังสืออยู่ในห้องก็สะดุ้งอีกแล้ว
"ขอโทษค่ะๆ ฉันเผลอไปหน่อย ขอโทษจริงๆ"
หมี่หลันเยว่ยกคำขอโทษของพี่ชายมาพูดทั้งประโยค คราวนี้เป็ทีของหมี่หลันหยางที่แอบหัวเราะ หัวเราะจนตัวสั่น หมี่หลันเยว่เหยียดเท้าเล็กๆ ไปเหยียบเท้าพี่ชายเต็มแรง
หมี่หลันหยางสะดุ้งเฮือก รอยยิ้มแข็งค้างบนใบหน้า ค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีหน้าเ็ป หมี่หลันเยว่ถึงจะรู้สึกสะใจ ฮึ สมน้ำหน้า พลางกลอกตาอย่างภาคภูมิใจ แต่ผ่านไปตั้งนานก็ไม่ได้ยินเสียงพี่ชายพูดอะไร หมี่หลันเยว่ก็เริ่มเป็ห่วง รีบหันกลับมา ทำหน้าประจบพี่ชาย หมี่หลันหยางส่ายหัวอย่างจนใจ
"ว่ามาเลย สรุปแล้วนึกอะไรสำคัญขึ้นมาได้อีก ทำอะไรเสียงดังเอะอะโวยวาย ถ้าคนหัวใจไม่ดี คงโดนเธอทำให้ใตายไปแล้ว"
หมี่หลันหยางแซวน้องสาว
"ฮึ ยังจะมาว่าฉันอีก เมื่อกี้พี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ"
หมี่หลันเยว่ฮึดฮัดไม่พอใจ หมี่หลันหยางไม่ถือสา น้องยังไงก็คือน้อง ถึงจะรู้ความก็ยังเด็กกว่าตัวเอง ต้องยอมๆ กันไปบ้าง
"เอาล่ะๆ พี่ผิดเอง เธออย่าโกรธเลย เร็วๆ เล่าให้พี่ฟังหน่อย นึกอะไรขึ้นมาได้อีกแล้ว?"
หมี่หลันหยางปลอบหลันเยว่ ตอนนี้ฟังเื่สำคัญก่อนดีกว่า หมี่หลันหยางรู้สึกคันยุบยิบในใจ อยากรู้ว่าน้องสาวคิดอะไรสำคัญขึ้นมาได้อีก
"เราต้องทำป้ายร้านด้วยนะ ต้องทำให้ใหญ่โต สวยงาม สะดุดตา ให้คนเห็นแต่ไกลก็ต้องสนใจ เดินผ่านยังไม่อยากจะเดินเลยไปเลย"
ร้านค้าสมัยนี้ยังเขียนชื่อร้านบนหน้าตึกแบบง่ายๆ ไม่ค่อยใส่ใจความสวยงามและการโฆษณาเท่าไหร่
"แล้วเธออยากได้แบบไหน?"
ดังนั้นพอหมี่หลันหยางได้ยินความคิดของน้องสาว ก็รู้สึกว่าเธอทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่ คิดว่าจะเื่สำคัญอะไร ที่แท้ก็แค่เื่เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้เอง
"พี่อย่าดูถูกป้ายร้านนะ มันสำคัญมากเลยนะ"
มันคือหน้าตาของร้าน ต้องทำให้สวยที่สุด แล้วตัวเองก็อยากจะสร้างแบรนด์ด้วย ดังนั้นป้ายร้านต้องออกแบบให้ดีที่สุด แล้วใช้ไปตลอด
"สำคัญๆ ดังนั้นเธอก็ออกแบบให้ดีๆ ล่ะ"
เห็นท่าทีไม่สนใจของพี่ชาย หมี่หลันเยว่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากแล้ว ใช้ความจริงพิสูจน์ดีกว่า หมี่หลันเยว่ตัดสินใจว่าจะทำป้ายร้านที่ทำให้พี่ชายต้องตกตะลึงให้ได้
"ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้พี่ก็ไปหาคนมาทาสีบ้านเลยนะ ฉันจะไปร้านตัดเย็บเสื้อผ้าก่อน ไปคุยเื่ป้ายเสื้อผ้าอีกรอบ นี่คือเงินสำหรับซื้อปูนขาวอะไรพวกนี้ พี่เอาไปนะ ทำงานเสร็จแล้วก็เลี้ยงเพื่อนๆ กินอะไรหน่อย อย่าขี้เหนียวล่ะ"
หมี่หลันเยว่หยิบเงินสิบหยวนสามใบออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเล็กของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าซื้ออุปกรณ์ทาสีบ้านต้องใช้เงินเท่าไหร่ เตรียมไว้เยอะกว่าขาดดีกว่า ยัดเงินใส่มือพี่ชาย
"นี่ พี่เอาไปนะ ถ้าไม่พอก็มาเอาที่ฉันอีกได้เลยค่ะ"
หมี่หลันหยางโกรธเล็กน้อย ยัดเงินกลับคืนมาให้
"ในกระเป๋าพี่ก็มีเงินนี่นา ทาสีบ้านแค่นี้ต้องให้เธอออกเงินด้วยเหรอ"
เห็นพี่ชายโกรธ หมี่หลันเยว่รีบคล้องแขนพี่ชาย เอาหน้าไปซบเอาใจ
"พี่คะ นี่มันคนละเื่กัน ถ้าเป็บ้านที่ฉันจะอยู่เอง พี่ออกเงินฉันก็ไม่ว่าอะไร พี่เป็พี่ชายฉัน มีอะไรก็ต้องให้น้องอยู่แล้ว ฉันก็ไม่ยอมหรอก แต่นี่มันร้านค้า เอาไว้ทำมาค้าขาย ก็ต้องคิดบัญชีให้ชัดเจน เงินทุกหยวนต้องลงบัญชีนะ"
"พี่ไม่สนหรอก เื่ทาสีบ้านเธอไม่ต้องยุ่ง ไม่ต้องลงบัญชีอะไรทั้งนั้น ถือซะว่าพี่เช่าบ้านเขา แล้วช่วยเขาทาสีบ้านให้แล้ว เื่แค่นี้ เธอต้องเกรงใจพี่ชายด้วยเหรอ"
เห็นพี่ชายยืนกรานอย่างหนักแน่น หมี่หลันเยว่ก็ไม่เถียงกับพี่ชายแล้ว
เื่ทุกอย่างตกลงกันเรียบร้อย หมี่หลันเยว่ก็เริ่มขีดๆ เขียนๆ ในสมุด เธอต้องออกแบบเสื้อผ้าออกมาสักสองสามชุดก่อน ร้านต้องเปิดก่อนร้านขายเสื้อผ้า ไม่งั้นร้านขายเสื้อผ้าจะไม่มีเสื้อผ้าให้วาง ดูโล่งๆ มันจะขายหน้า แต่จะออกแบบเสื้อผ้าแบบไหนที่ทำให้คนเห็นแล้วต้องว้าว แถมยังไม่ขัดกับแบบของยุคสมัยนี้ด้วย หมี่หลันเยว่เอามือค้ำคาง เอามืออีกข้างวาดกระโปรงยาวอย่างละเอียด
พอกำลังวาดชายกระโปรงบานๆ อยู่ แสงสว่างวาบหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเธอทันที ความคิดของหมี่หลันเยว่เปิดกว้างขึ้นมาทันที ใช่แล้ว ตอนนี้เป็่ต้นยุค 80 อะไรที่นิยมที่สุดใน่ต้นยุค 80 เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงขาบานไงล่ะ ตัวเธออยู่ในเมืองเล็กๆ ข้อมูลข่าวสารเลยช้าไปก้าวหนึ่ง ทางใต้คงจะเริ่มนิยมใส่กันแล้ว
หมี่หลันเยว่รีบวาดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขาบานลงบนสมุด ตอนนี้เพิ่งเริ่มนิยม ขาบานต้องไม่ใหญ่เกินไป ไม่งั้นจะขายไม่ออก รอจนกว่าจะเริ่มนิยมใส่กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว ค่อยขยายขาให้ใหญ่ขึ้น อย่างน้อยก็แค่เดินนำหน้าคนอื่นไปนิดหน่อยก็พอ
"หลันเยว่ นี่มันเสื้อเชิ้ตเหรอ?"
หมี่หลันหยางชี้ไปที่รูปเสื้อผ้าที่น้องสาววาด ก็แค่เสื้อเชิ้ตนี่นา พี่ชายใอะไรขนาดนั้น
"ใช่ ทำไมเหรอ?"
"ไม่มีอะไร แค่...ทำไมเธอวาดเสื้อเชิ้ตได้สวยขนาดนี้?"
หมี่หลันหยางหยิบสมุดของน้องสาวมาดูตรงหน้า มองเสื้อเชิ้ตที่น้องสาววาด เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง ไม่รู้ว่าต่างกันตรงไหน แต่รู้แค่ว่ามันสวย
หมี่หลันเยว่มองเสื้อเชิ้ตที่พี่ชายใส่อยู่ ก็พอจะรู้แล้วว่าทำไม เสื้อเชิ้ตสมัยนี้ไม่มีการออกแบบให้เข้ารูป ทื่อๆ ตรงๆ แต่ตัวเองชินตากับเสื้อเชิ้ตในยุคหลังๆ พอวาดก็เลยเผลอวาดให้มีเอวออกมา ปรากฏว่า แค่ปรับเปลี่ยนนิดหน่อย ก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมาก
สิ่งนี้จุดประกายความคิดของหมี่หลันเยว่อย่างมาก เธอมองกระเป๋าสะพายใบเล็กของตัวเอง เสื้อเชิ้ตสมัยนี้มีแต่สีขาวกับสีฟ้า สีดำยังหายาก ถ้าตัวเองออกแบบเสื้อเชิ้ตลายดอกเข้ารูปให้ผู้หญิง ใส่คู่กับกางเกงขาบานสีอ่อน มันจะเป็ภาพที่งดงามขนาดไหน หมี่หลันเยว่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะได้ร่ายมนตร์บนปลายปากกาแล้ว
