Chapter 28
เช้าวันใหม่ที่บ้านพักในเกาะส่วนตัวของโจไซอามาถึง เขาตื่นเพราะแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอนชั้นหนึ่งผ่านหน้าต่างที่แซ็กคารีเปิดผ้าม่านไว้ให้ เทพร่างผอมพยุงตัวลุกขึ้นนั่งช้า ๆ รู้สึกเ็ปไปทั้งตัวและทุกข์ทรมานทุกการขยับเขยื้อนอย่างเช่นที่เป็มาตลอด 99 ปี มือผอมบีบจับลาดไหล่ตนเอง นวดบรรเทาความเ็ปแต่ไม่ช่วยอะไร เขาสูดหายใจเข้าออกเชื่องช้า และลุกขึ้นจากเตียงเพื่อล้างหน้าล้างตา
เพียงแค่เปิดประตูห้องนอนกลิ่นหอมของเครื่องเทศอ่อน ๆ ก็ลอยเข้าจมูก มันฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วชั้นหนึ่ง และมาพร้อมกับเสียงเครื่องครัวกระทบกันแ่เบา เป็สิ่งที่โจไซอาเฝ้าคิดถึงมาตลอด เช้าวันนี้เหมือนกับ 99 ปีก่อนที่โจไซอาได้ใช้ชีวิตกับเอเดน กริฟฟิน และตื่นมาเห็นร่างสูงกำลังทำอาหารเช้า
แผ่นหลังกว้างขยับไปมาเล็กน้อยเพราะแซ็กคารีกำลังคนบางอย่างในหม้ออย่างตั้งใจ เสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่ยังเป็ชุดเดียวกับเมื่อคืน ทุก ๆ อย่างบนร่างกายรวมถึงท่าทางคล่องแคล่วตอนทำอาหารเหมือนเอเดน กริฟฟินทุกกระเบียดนิ้ว แตกต่างเพียงแค่เส้นผมสีขาวซีดเป็ประกายเท่านั้น
เส้นผมสีขาวย้ำเตือนโจไซอาว่าถึงอยากเข้าไปกอดจากด้านหลัง และซบใบหน้าเข้าหาเพื่อออดอ้อนมากเพียงใดก็ทำไม่ได้ เพราะความทรงจำเ่าั้ของแซ็กคารีอยู่ในบ่อความทรงจำที่เกาะลึกลับกลางทะเล ซาตานความทรงจำเป็เลิศไม่มีวันเชื่อคำพูดของเทพที่กดขี่เผ่าพันธุ์ซาตานมาหลายพันปี
แต่ถึงอย่างนั้น โจไซอาก็ไม่ลืมแววตาของความห่วงใย และการกระทำแสนน่ารักของแซ็กคารีเมื่อคืน
“ท่านโจไซอา” ซาตานหนุ่มโค้งศีรษะคำนับเทพเมื่อโจไซอาเดินมายืนข้างกัน
“ทำอะไรเหรอ”
“ซุปหัวหอมครับ” โจไซอามองเมนูซุปกลิ่นหอมในหม้อขนาดเล็กบนเตา
“ไม่น้อยไปสำหรับซาตานเหรอ” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้ว เพราะเมื่อวานนี้เขาเห็นแซ็กคารีแทบจะกินวัวเข้าไปทั้งตัวในหนึ่งมื้อ
“นี่ของท่านโจไซอาครับ” แซ็กคารีตอบหน้าซื่อ เรียกรอยยิ้มดีใจจากเทพ ถึงอีกฝ่ายเกิดเป็ซาตานที่จดจำโจไซอาไม่ได้เลย แต่ยังคงทำอาหารเช้าเผื่อแม้รู้ว่าเทพไม่้าอาหาร
“แล้วของเธอล่ะ ไม่หิวเหรอ ฉันเห็นพวกภูตขนอาหารมาให้เธอตั้งเยอะ”
แซ็กคารีนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ดวงตาสีเฮเซลจ้องมองซุปสีน้ำตาลในหม้อ มองหัวหอมที่ต้มนานจนนิ่มและเป็สีใส ทันใดนั้นเสียงนาฬิกานับถอยหลังก็ส่งเสียงในห้องครัว แซ็กคารีวางช้อนไม้สำหรับคนซุป หันมองโจไซอาด้วยแววตาอ่านความคิดไม่ได้ และรีบหันไปปิดนาฬิกานั้น
มันคือนาฬิกาจับเวลาที่แซ็กคารีตั้งไว้เพื่อนำเนื้อวัวในเตาอบออกมาพลิกกลับด้าน ซาตานหนุ่มสวมถุงมือกันความร้อนด้วยความเคยชินจากตอนเป็มนุษย์ เปิดเตาอบแล้วดึงถาดที่มีเนื้อวัวชิ้นใหญ่โตออกมา ดวงตาสีเฮเซลเหลือบมองโจไซอาอีกครั้ง เขารีบหลบตาภายในเสี้ยววินาที
และใบหูของแซ็กคารีก็ขึ้นสีแดงเข้ม
โจไซอาที่ใกับขนาดของชิ้นเนื้อจึงยิ้มกว้างเอ็นดูซาตานหนุ่มยามเขินอาย
ซุปหัวหอมเคี่ยวจนได้ที่ แซ็กคารีตักใส่ถ้วยขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป วางทับด้วยขนมปัง โรยชีสด้านหน้าก่อนเข้าเตาอบเพียงไม่นาน และยกเสิร์ฟตรงหน้าโจไซอาซึ่งนั่งคอยอยู่บนโต๊ะไม้ ที่เดิมที่เขาเคยนั่งกินอาหารเช้ากับเอเดน กริฟฟิน
อาหารฝีมือชายผู้เป็ที่รักอร่อยและคุ้มค่าต่อการกลืนสำหรับเทพผู้ไม่้าอาหารเสมอ แต่โจไซอาซดซุปหัวหอมเชื่องช้า ละเมียดรสชาติกลมกล่อมของมันทีละน้อย เก็บซ่อนความรู้สึกทรมานยามมีอาหารผ่านลำคอไว้ภายใต้รอยยิ้มบาง
ไม่นานเนื้อชิ้นโตของแซ็กคารีก็สุกได้ที่สำหรับซาตาน หมายถึงผิวนอกเป็สีไหม้เกรียมสวยงาม แต่ด้านในยังเป็สีชมพู ตรงกลางเป็สีแดง มีน้ำชุ่มฉ่ำไหลออกมาจากเนื้อยามลงมีดหั่นเป็คำ
เมื่อเกิดเป็ซาตานทำให้มีข้อแตกต่างเื่อาหารการกิน โจไซอานั่งมองแซ็กคารีใช้มีดกับส้อมหั่นเนื้อชิ้นโต และเอาเข้าปากคำใหญ่ มื้ออาหารที่มีเพียงเนื้อ ไม่มีซอส ไม่มีผัก หรืออย่างอื่นปนอยู่ด้วย แต่ทำให้ซาตานกินมื้อเช้าอย่างมีความสุขประกายอยู่ในดวงตาสีเฮเซล
หลังจัดการเนื้อวัวชิ้นโตได้ครึ่งหนึ่งในเวลาอันรวดเร็ว แซ็กคารีเริ่มรู้สึกถึงสายตาเทพที่นั่งฝั่งตรงข้าม ดวงตาสีเฮเซลค่อย ๆ เลื่อนออกจากมื้อเช้าแสนอร่อย มองใบหน้าของเทพช้า ๆ เมื่อเห็นดวงตาอีกฝ่ายจ้องมาไม่ละพร้อมรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า ดูสวยเหมือนดอกไม้ผลิ หูสองข้างของแซ็กคารีจึงขึ้นสีแดงเข้มอีกหน
แซ็กคารีใช้ปีกของตัวเองอย่างเป็ประโยชน์ เขาสยายปีกใหญ่ที่เก็บซ่อนเอาไว้ ใช้มันประสานกันตรงหน้า คั่นกลางสายตาแสดงความรักและเอ็นดูจากเทพโจไซอา ไม่ยอมให้เทพมองตนเองยามกินมื้อเช้า เพราะเขาเขินอายกับท่าทางตะกละตะกลามตามสัญชาตญาณที่เก็บไว้ไม่อยู่ แต่โจไซอาไม่มีความรังเกียจเกิดขึ้นในความรู้สึก มีเพียงความเอ็นดูเท่านั้น
แซ็กคารีสยายปีกอีกครั้ง เก็บซ่อนมันเอาไว้เช่นเดิมหลังจากใช้กระดาษทิชชูเช็ดริมฝีปากเรียบร้อยแล้ว และไม่มีเนื้อวัวหลงเหลืออยู่บนจานแม้เพียงเศษเสี้ยว เมื่อซาตานหนุ่มมองเห็นซุปหัวหอมที่ยังเหลืออยู่ครึ่งถ้วย กับขนมปังเต็มชิ้นไม่ถูกแตะต้องจึงรู้สึกห่อเหี่ยวหัวใจ
“ซาตานใช้วิธีไหนเดินทางกลับโลกุ์เหรอ” โจไซอาเอ่ยถามทันทีที่ได้มองหน้าแซ็กคารี ยกแขนข้างหนึ่งค้ำคาง และวางช้อนซุปไว้ แสดงออกว่าอิ่มแล้ว
“บนฟ้าจะมีประตูเชื่อมโลกอยู่ครับ ต้องบินขึ้นไป”
“แล้วจะไปโผล่ที่ไหน”
“ที่ไหนก็ได้ในโลกุ์”
“ดีจัง” โจไซอาพึมพำพร้อมเอียงคอมองอีกฝ่ายกระดกน้ำเย็นเฉียบในแก้วจนลูกกระเดือกที่ลำคอขยับตามจังหวะการกลืน
การเดินทางไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับโลกุ์ของแต่ละเผ่าพันธุ์มีวิธีแตกต่างกันไป สำหรับเทพจะมีประตูเชื่อมระหว่างสองโลกตั้งอยู่กลางเมืองเทพซึ่งอยู่ใจกลางโลกุ์ เทพใช้ประตูนี้ในการเดินทางไปโลกมนุษย์ และสามารถบันดาลประตูเชื่อมกลับเมืองเทพที่ใดก็ได้
ไม่ว่าเทพจะเดินทางมาจากที่ใดในโลกมนุษย์ก็ตาม จะต้องปรากฏกายที่ประตูเชื่อมใจกลางเมืองเทพ แต่ซาตานเพียงแค่บินขึ้นฟ้าและคิดถึงสถานที่ที่้าก็จะไปถึงจุดหมายได้อย่างง่ายดาย
“ท่านจะกลับวันนี้เหรอครับ”
“ฉันไม่อยากกลับเลย…” โจไซอาเอ่ยเสียงล่องลอย ลุกขึ้นจากโต๊ะไม้และหันมองชายหาด ภายในใจคิดถึงแต่การได้อยู่ร่วมกับชายผู้เป็ที่รัก หากเขากลับทั้งคู่ย่อมต้องแยกจากกัน
“แต่เธอคงต้องไปจัดการเื่ซาตานถูกสาปตนนั้นใช่ไหม” แซ็กคารีพยักหน้าตอบคำถามเทพที่หันมาหา
“ถ้าอย่างนั้นเธอกลับเผ่าไปจัดการให้เรียบร้อยเถอะ ฉันจะบอกท่านพ่อให้ช่วยสืบหาเทพที่สาปเขาเอง”
“ผมไม่ต้องตามไปดูแลท่านที่เมืองเทพเหรอครับ” เทพยกยิ้มเมื่อได้ยินคำถามใสซื่อของแซ็กคารีที่อยู่ในฐานะซาตานผู้รับใช้
“ฉันไม่อยากสั่งให้เธออยู่ติดกับฉันตลอดเวลาหรอก” โจไซอาเดินมาหาแซ็กคารีช้า ๆ มองใบหน้าของผู้ที่เขารู้ดีว่า้าอิสระมากกว่าสิ่งใด
“ฉันอยากให้เธอได้ทำในสิ่งที่เธอ้ามากกว่า”
แซ็กคารียืนส่งโจไซอาจนกระทั่งเห็นเทพเดินหายวับไปในอากาศ รอยเท้าของเทพบนหาดทรายขาดหายกลางทาง และส่วนอื่น ๆ ถูกคลื่นพัดพามันจนหายไปไร้ร่องรอย แซ็กคารีแปลงกายเป็ซาตาน ร่างสีขาวซีดนวลสูงใหญ่สยายปีกสีเดียวกัน และบินขึ้นฟ้า คิดถึงจุดหมายปลายทาง บินสูงขึ้น สูงขึ้น และหายวับผ่านประตูเชื่อมโลก
ที่ที่แซ็กคารีไป ไม่ใช่วังป้อมปราการในเผ่าซาตานอย่างที่โจไซอาคิด แต่เป็บ้านหลังใหญ่ของเทพแห่งการแปลงกายนามว่าไฮเดน เทพองค์เดียวที่แซ็กคารีรู้จักและสนิทสนม
ซาตานบินร่อนต่ำที่หน้าประตูบ้าน จับห่วงทองคำในปากสิงโตกระแทกมันกับประตูบานใหญ่สามครั้ง เพียงไม่นานประตูบานนั้นเปิดด้วยตัวมันเอง แซ็กคารีเดินตรงไปห้องนั่งเล่นอย่างมั่นใจว่าไฮเดนจะนั่งอยู่ที่นั่น
และเป็อย่างที่เขาคิด เทพแห่งการแปลงกายหน้าตาหล่อเหลาคารมดีเป็ที่หมายปองของทั้งุ์และมนุษย์กำลังนั่งบนโซฟาท่ามกลางภูตหญิงสาวหน้าตาหวานสวยหลายตน ในมือมีแก้วทรงสูงบรรจุของเหลวสีแดงใส ไฮเดนถือมันไม่ยอมวาง โบกแกว่งก้านแก้วเบา ๆ และยกขึ้นกระดกจนหมด รอเพียงไม่นานภูตสาวที่นั่งใกล้ชิดก็รินเพิ่มให้
“ท่านเทพไฮเดน” แซ็กคารีคุกเข่า ชันขาขึ้นหนึ่งข้าง วางแขนค้ำลงบนหน้าขา และโค้งศีรษะคำนับเทพแห่งการแปลงกาย
“ทำไมไม่เคาะประตูเนี่ย” ซาตานหนุ่มไม่ตอบ เพราะเขามั่นใจว่าเคาะไปแล้วและไม่้าเอ่ยเถียง
“ออกไปก่อนนะสาว ๆ”
ไฮเดนเอ่ยเสียงหวานบอกภูตสาว พวกเธอทำตามคำสั่งทันที และส่งสายตาเป็ประกายชื่นชมในความงดงามของซาตานหนุ่มขณะเดินผ่านแซ็กคารี พวกเธอหันไปกระซิบกระซาบข้างหูกันและกันเสียงเบา โดยที่ตายังมองแซ็กคารีไม่ละสายตาเลยกระทั่งพวกเธอเดินผ่านประตูห้องออกไป
“นั่งก่อนสิ อ้อ ไม่ใช่ในร่างนี้” ไฮเดนผายมือที่โซฟาเดี่ยวให้แซ็กคารี ลุกขึ้นรินเครื่องดื่มรสแรงต้อนรับเหมือนทุกครั้ง เมื่อแก้วทรงสั้นบรรจุเหล้าที่ไฮเดนหมักเองในเมืองเทพอยู่ในมือ แซ็กคารีกระดกมันอึกใหญ่แม้เกลียดรสชาติและกลิ่นของมัน
“ได้ยินว่าเทพโจไซอาหลงรักนาย”
และแทบสำลักเมื่อได้ยินเทพไฮเดนพูดประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“ท่านได้ยินเื่นั้นมาจากไหน”
“ก็…” ไฮเดนส่งสายตาไปที่ประตูบานใหญ่ที่ภูตสาวเพิ่งเดินออกไป “พวกเธอทั่วถึงน่ะ”
ไฮเดนรินเหล้าใส่แก้วตัวเองจนเต็ม นั่งลงบนโซฟาขยับเข้าใกล้โซฟาเดี่ยวที่แซ็กคารีนั่งอยู่มากที่สุด เอียงคอเข้าหาแสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นเต็มกำลัง
“เื่จริงหรือเปล่า” แซ็กคารีในร่างมนุษย์มองตาเทพไฮเดน และถอนหายใจเสียงดังเพราะไม่อยากตอบ ภายในอกวุ่นวาย มีความรู้สึกสับสนยุ่งเหยิงจนจัดการด้วยตัวเองไม่ได้เป็ครั้งแรกในชีวิตซาตาน
“ท่านโจไซอาจ้างผมเป็ผู้รับใช้ครับ”
“แค่นั้นเองน่ะเหรอ ต้องมีเหตุผลสิที่เทพเลือกนาย ในเมื่อเทพโจไซอามีบริวารของประมุขเทพดูแลเป็สิบ ๆ อยู่แล้ว จะเอาซาตานพูดไม่ฟังอย่างนายไปรับใช้ทำไมล่ะจริงไหม” คำถามอยากรู้อยากเห็นที่แฝงคำเหน็บแนมทำให้แซ็กคารีตวัดตามองเทพไฮเดน
“คิดว่าคงเป็อย่างนั้นครับ” แซ็กคารีไม่ยอมเล่าความจริงที่มากกว่าแค่เทพโจไซอาหลงรักเขา
“นั่นไง! ข่าวจากภูตสาวสวยไม่มีวันผิดพลาด” ไฮเดนยกมือตบหน้าขา กระดกเหล้าในแก้วรวดเดียวหมด
“แซ็ก นายนี่โชคดีเป็บ้า เทพโจไซอาเป็ที่หมายปองของเทพแทบทุกองค์ในเมืองนี้ ฉันจะบอกให้”
“ทำไมเหรอครับ”
“ลองคิดภาพนะ” ไฮเดนวางแก้วเหล้า และเริ่มอธิบายด้วยท่าทางจริงจัง “เทพโจไซอาเป็เทพแห่งอะไร”
“เทพแห่ง… การร่วมประเวณี”
“ใช่ เทพแห่งการร่วมประเวณี ลองคิดดูสิว่าถ้าได้ครองรักกับเทพแห่งการร่วมประเวณี ชีวิตบนเตียงจะมีความสุขขนาดไหน” ไฮเดนเอ่ยอย่างเพ้อฝัน พยายามให้แซ็กคารีคิดภาพตาม แต่เขากลับขมวดคิ้วแน่นด้วยความโกรธมากกว่า
“พูดอะไรอย่างนั้น น่ารังเกียจ” และซาตานที่ไม่ฟังใครอย่างเขาเอ่ยความคิดออกมาทันที
“ได้ ๆ ฉันยอมรับก็ได้” ไฮเดนแตกต่างจากเทพทะนงตน เขายอมรับว่าความคิดของตนเองน่ารังเกียจตามที่ซาตานเอ่ย และเปลี่ยนประเด็น
“นั้นฉันถามหน่อย เทพโจไซอาเป็บุตรของใคร”
“ของ… ประมุขเทพ” แซ็กคารีเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะเขาไม่ค่อยสนใจเื่ในเมืองเทพ
“ใช่ พ่อของเทพโจไซอาคือเทพแห่งความผูกพัน เพิ่งขึ้นเป็ประมุขเทพไม่นานนี้ อำนาจมหาศาลที่สามารถควบคุมเมืองเทพและทุกเผ่าพันธุ์ในโลกุ์อยู่ในมือเขา ส่วนแม่ของเทพโจไซอา คือเทพแห่งความรัก เหล่าเทพขนานนามว่าเธองดงามที่สุดในหมู่เทพ แล้วไม่คิดเหรอว่าลูกอย่างเทพโจไซอาจะได้รับความงดงามจากแม่มาเต็มเปี่ยม นายได้เจอก็น่าจะรู้นี่ว่าสวยแค่ไหน”
ไฮเดนยังไม่เคยพบเทพโจไซอา รู้จักเพียงชื่อ เื่เล่าถึงความงาม และพลังอำนาจที่โจไซอามีเท่านั้น
เมื่อพูดถึงความงาม แซ็กคารีจึงเริ่มคล้อยตาม เขานึกถึงใบหน้าของเทพโจไซอาที่เขาเคยเห็น หลายครั้งที่ใบหน้าซีดเซียวแก้มตอบเปื้อนเื แต่หลายครั้งที่ใบหน้านั้นดูงดงามและสดใสเมื่อเทพโจไซอาแย้มยิ้ม ความซูบผอมจนหนังหุ้มกระดูกและร่างกายอ่อนแอเช่นนั้นขัดขวางความงดงามที่ไฮเดนกล่าวถึง
“ท่านเทพกำลังเป็โรครักระทม”
“จริงเหรอ” ไฮเดนแปลกใจเพราะพวกภูตสาวสวยไม่ได้พูดถึงเื่นี้
“อืม” แซ็กคารีครางในลำคอตอบ
“เพราะอย่างนี้ถึงได้จ้างให้นายคอยรับใช้สินะ”
“อาจใช่” ซาตานโกหกด้วยเสียงเลื่อนลอย และเทพไฮเดนไม่มีวันจับผิดการโกหกของแซ็กคารีได้
“ท่านไฮเดน ผมมีเื่ที่สงสัย” ไฮเดนกระดกเหล้า และพยักหน้าให้ซาตานพูดต่อ
“ท่านช่วยสืบให้ได้ไหม ว่าท่านโจไซอาป่วยเป็โรครักระทมมานานแค่ไหนแล้ว”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ขนาดพวกสาว ๆ ยังไม่พูดเื่นี้กับฉันเลย”
“ได้โปรด ท่านไฮเดน” แซ็กคารีพูดจาไพเราะเมื่อกำลังร้องขอบางอย่าง เทพไฮเดนขมวดคิ้วและถอนหายใจเสียงดัง
“ก็ได้ ๆ ถ้าหาคำตอบมาให้ไม่ได้อย่าด่าฉันแล้วกัน”
เงินของมนุษย์ที่โจไซอาจ่ายเป็ค่าจ้างที่แซ็กคารีคอยดูแลมากกว่าที่คิด มือใหญ่กำสายกระเป๋าเป้บนไหล่ข้างขวา จ้องตัวเลขหลายหลักในตู้เงินอัตโนมัติ หลังจากนำบัตรที่ภูตต้นไม้ให้มาเสียบที่ตู้เพื่อตรวจดูยอดเงินในนั้น
จำนวนเงินในบัตรใบนี้ไม่เพียงแต่จะซื้อเสื้อผ้าและของใช้จำเป็ให้หนูน้อยแมรี่ กริฟฟินได้ตลอดชีวิต แต่ยังมากพอให้แซ็กคารีซื้อที่อยู่ชั้นบนสุดของกำแพงสูง และยังเป็ฐานตัวเลขให้เข้าสังคมเศรษฐีที่ลักลอบซื้อที่ดินนอกกำแพงเพื่ออยู่อาศัยกันอย่างลับ ๆ
เศรษฐีเหล่านี้ไม่มีวันถูกจับ เพราะการลักลอบซื้อที่ดินนอกกำแพงเป็การคดโกงที่ทำร่วมกับรัฐบาล แซ็กคารีโกรธเมื่อรู้ความจริง หลังแฝงตัวเข้ามาอยู่ในหมู่สังคมของคนร่ำรวยสำเร็จ ไม่ว่าจะผ่านมาเป็ร้อยปี แต่มนุษย์บ้าอำนาจและเงินทองยังคงเป็แบบเดิมไม่เปลี่ยน ผังเมืองใหญ่และกำแพงสูงเป็การพัฒนาจอมปลอม
เขารู้สึกถึงรสขมในลำคอแม้ไม่ได้ดื่มหรือกินอะไรเข้าไป เพราะต้องอยู่ในสังคมเศรษฐี สวมชุดตัดเย็บประณีตด้วยแรงงานที่ถูกกดค่าแรง และต้องยกยิ้มเสแสร้งพูดคุยผูกมิตรกับคนบ้าอำนาจ แซ็กคารีกำลังทำแบบที่เอเดน กริฟฟินเคยทำ และรู้สึกขยะแขยงตัวเอง
แซ็กคารีมีหนึ่งเื่ที่้าสืบมาเนิ่นนาน แต่ไร้ความหวังว่าจะหาคำตอบพบ จึงปล่อยเป็เพียงคำถามให้เฝ้าคิดถึง แต่การหัวใจเต้นแรงเมื่อโอบกอดหรืออยู่ใกล้เทพโจไซอาและได้กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้สีขาวทำให้เขาคิดถึงความทรงจำนี้ชัดเจนและบ่อยขึ้นทุกที จนกลายเป็ภาพ เสียง และกลิ่นในความทรงจำที่คิดวนเวียนอยู่ในหัวทุกวัน
แซ็กคารี้าตามหาเฮเซล หญิงคนสุดท้ายที่ทำให้เอเดน กริฟฟินใจเต้นแรงก่อนตาย ผู้หญิงขายบริการทางเพศที่ร่วมหลับนอนกับเอเดนในโรงแรมของเครือบริษัทกริฟฟิน แซ็กคารียังคงคิดถึงใบหน้างดงาม เส้นผมสีทองหม่น เสียงหวานน่าฟัง และกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้สีขาวของหญิงสาวที่ชื่อว่าเฮเซลเสมอ ั้แ่ที่ได้รับความทรงจำนี้ตอนอายุ 25 ปี
แอชลีย์ บรรณารักษ์หอสมุดของเผ่าซาตานคิดว่าแซ็กคารีเป็ซาตานที่เห็นคำว่ารักและต้องบินหนีทุกครั้ง เธอไม่เคยรู้เหตุผลที่เขาเพิกเฉยต่อคำว่ารัก เป็เพราะเขาเศร้าโศกเสียใจและเฝ้าคอยอยู่ลึก ๆ เสมอว่าจะได้พบเฮเซลอีกครั้ง แต่ความเป็ไปได้เทียบเท่ากับศูนย์ แม้แต่เอเดน กริฟฟินเมื่อชาติก่อนยังตามหาเฮเซลไม่เจอ และซาตานนามว่าแซ็กคารีจะตามหาหญิงสาวที่คล้ายกับเฮเซลใน 99 ปีต่อมาเจอได้อย่างไร
หากเฮเซลเป็มนุษย์ คงไม่มีชีวิตยืนยาวอยู่จนถึงทุกวันนี้ อาจหลงเหลือเพียงทายาทที่เขาไม่มีเบาะแส แต่แซ็กคารีคิดและอธิษฐานต่อบรรพบุรุษซาตานอยู่เสมอ ว่าขอให้เฮเซลเกิดใหม่เป็ผู้ที่จดจำอดีตชาติได้เช่นเดียวกับเขา เขาอยากให้หญิงสาวชื่อว่าเฮเซลจำเขาได้ เหมือนกับที่เขาจดจำเธอไม่ลืม
คืนหนึ่งในโลกมนุษย์นอกกำแพงสูง แซ็กคารีบินขึ้นฟ้า หลบอยู่หลังก้อนเมฆสีเทาเข้ม จ้องมองเมืองขนาดใหญ่นอกกำแพงที่ยังส่องสว่างและไม่หลับใหล ท้องถนนมีรถหรูวิ่งประปราย ตึกอาคารยังเปิดไฟสว่างทุกตึก สถานบันเทิงขนาดใหญ่ขึ้นป้ายโฆษณาดึงดูดสายตา ผู้คนเหล่านี้คืุ์ร่ำรวยที่โกหกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพื้นที่นอกกำแพงสูง
แซ็กคารีมองเห็นว่าโรงแรมที่เคยเป็ของตระกูลกริฟฟินยังคงตั้งอยู่ที่เดิม อาคารแข็งแรงได้รับการดูแลรักษา เก็บเป็โรงแรมอายุร้อยปีชื่อดังที่มีแขกเดินเข้าออกตลอดเวลา เขาจึงใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการแฝงตัวในสังคมคนร่ำรวย เพื่อหาทางเข้าพักในโรงแรมแห่งนั้น ซึ่งเป็ที่ที่เขาได้พบเฮเซล
หลังทำตัวน่าขยะแขยงมาเกือบเดือน เขาได้จองห้องพักหรูในโรงแรมแห่งนั้นสำเร็จ เขาตั้งใจจองห้องเดิม โชคดีที่มันว่างอยู่
แซ็กคารีแต่งตัวด้วยชุดราคาแพงเพื่อให้แเีที่สุด แม้เสียดายเม็ดเงินจำนวนมากที่สามารถช่วยเหลือครอบครัวกริฟฟินที่เหลืออยู่ได้ ร่างสูงในชุดเสื้อโค้ตสีดำขึ้นรถยนต์หรูที่โจไซอามอบให้ ขับผ่านประตูชายแดนออกนอกกำแพง หยุดรถเพื่อให้ทหารตรวจคนออกนอกเมือง และเพียงแค่ชูบัตรสีทองที่เขาขโมยมาจากเศรษฐีคนหนึ่ง ทหารก็ให้ผ่านไปอย่างง่ายดาย
แต่เขาขับออกมานอกกำแพงได้เพียงไม่นาน เงาดำเลือนรางขวางอยู่กลางถนนเรียบไร้หิมะ เงาดำค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อแซ็กคารีขับรถไปใกล้ขึ้น กระทั่งเห็นว่าเป็เทพโจไซอากำลังสวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาล พันผ้าพันคอสีครีมปิดมิดถึงริมฝีปากยืนอยู่กลางถนน แซ็กคารีรีบจอดรถข้างทาง และเดินลงไปหาเทพทันที
“ท่านโจไซอา” เทพยกยิ้มทักทาย พลางมองสำรวจซาตานที่สวมแต่เสื้อผ้าเก่า ๆ แต่วันนี้กลับสวมชุดใหม่เอี่ยมและดูอุ่น
“วันนี้แต่งตัวหล่อเชียว”
“ผม… มีที่ที่ต้องไปน่ะครับ” หูของแซ็กคารีเปลี่ยนเป็สีแดงจาง ๆ
“ขอไปด้วยสิ”
“แต่ว่า—”
“สัญญาว่าจะนั่งเงียบ ๆ” แซ็กคารียังคงลังเล
“ก็ได้ จะไม่แอบมองด้วย” ข้อเสนอแบบเดิมกับครั้งก่อนทำให้แซ็กคารียอมตกลง เดินไปเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับให้โจไซอานั่ง
“เราจะไปที่ไหนกันเหรอ” แต่โจไซอาผิดสัญญาั้แ่ขึ้นมานั่งบนรถได้แค่ห้านาทีเท่านั้น แซ็กคารีตวัดตามองและหันมองถนนต่อ ครั้งนี้เขาไม่เข้มงวดกับสัญญามากนักเพราะไว้ใจโจไซอามากกว่าเดิม
“โรงแรมที่เคยเป็ของตระกูลกริฟฟินครับ”
“ดีแล้วที่ฉันมาด้วย” ถนนด้านหน้ามีผู้มาจัดการหิมะออกจนวิ่งได้สะดวก เพราะเป็เส้นทางเข้าเมืองนอกกำแพงผิดกฎหมาย แซ็กคารีมี่เวลาสั้น ๆ ในการหันมองโจไซอาพร้อมขมวดคิ้วสงสัย
“ภูตบอกว่าที่นั่นมีคนอยู่น้อยเลยคุ้นหน้าคุ้นตากัน ถ้ามีคนแปลกหน้าไปจะสงสัยได้ง่าย ถ้าเกิดเื่อย่างนั้นขึ้นมาฉันพาเธอหนีได้นะ สั่งให้พวกเขาหลับยังได้”
“ขอบคุณครับ” วันนี้โจไซอามีแรงพูดมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่จากการดูแลเทพมาหลายครั้งทำให้แซ็กคารีรู้ว่าอีกไม่นานอาการป่วยจะกำเริบอีก
“แล้วเธอไปที่นั่นทำไมเหรอ”
“ผมกำลังตามหาคนคนหนึ่งครับ”
แซ็กคารีเผลอแสดงความสุขเล็ก ๆ เป็ประกายในดวงตาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงเฮเซล โจไซอาไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ และนั่งเงียบอยู่ในรถต่อไป ทั้งคู่ร่วมเดินทางสู่เมืองนอกกำแพง ไปในที่ที่ทั้งคู่เคยอยู่ด้วยกัน
โดยที่แซ็กคารีไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วคนที่เขากำลังตามหาอยู่ใกล้แค่เอื้อม
แม้หญิงสาวชื่อว่าเฮเซล หน้าตาเหมือนโจไซอาเพียงใดแต่เขาก็จำไม่ได้
เพราะโรครักระทมได้ขวางกั้นความงดงามของโจไซอาเอาไว้จนยากจะมองเห็น
ท้องฟ้ามืดเป็สีดำสนิท พอดีกับที่รถหรูสีดำแล่นผ่านซุ้มประตูประดับประดาด้วยงานประติมากรรมจากศิลปินมีชื่อเสียง แซ็กคารีมองเห็นรูปสลักซาตานกำลังสยายปีกท่าทางน่าเกรงขามอยู่ตรงกลางซุ้มประตู สัญชาตญาณบอกเขาทันทีว่านี่ไม่ใช่รูปสลักธรรมดา เขาหันหน้ามองเทพโจไซอาที่นั่งอยู่ข้างกาย สายตาของเทพบ่งบอกว่าคิดแบบเดียวกัน แต่ไม่อาจปลดปล่อยซาตานถูกสาปตนนี้ได้ เพราะยังมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่
แม้ท้องฟ้าในฤดูหนาวมืดมิด แต่ไฟในเมืองนี้กลับสว่างไสว และยิ่งเปล่งประกายงดงามเมื่อมีการตกแต่งจากเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ มันเหมือนเมืองในฝันเมื่อมองด้วยตาเปล่า แต่ความจริงแล้วเมืองนี้กำลังเหยียบอยู่บนหลังผู้คนมากมาย
“ที่นี่แหละครับ” แซ็กคารีมองตึกสูงด้านหน้าและเอ่ยขึ้น
“ใช่…” โจไซอาพูดเสียงเบากับตนเอง เพราะเขาเคยมาที่โรงแรมแห่งนี้เช่นกัน
โรงแรมหรูบริการลูกค้าที่มาเยือนอย่างไร้ที่ติ ทั้งคู่เดินเข้าไปในล็อบบี้ด้วยท่าทางที่ปกติที่สุด โจไซอาแสดงมันได้แเี เช่นเดียวแซ็กคารีที่ใช้ประสบการณ์จากชาติก่อน เขาพูดคุยกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์อย่างคล่องแคล่ว
แซ็กคารีทำทุกอย่างเหมือนเดิม และนึกขอบคุณที่โจไซอาปรากฏตัวขวางรถเอาไว้แล้วขอมาด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงนั่งโดดเดี่ยวอยู่ในห้องอาหารชั้นบนสุดของโรงแรม
เขาจองโต๊ะที่ร้านอาหารชั้นบนสุดไว้ การตกแต่งไม่เหมือนเดิม จากที่เคยเป็สีแดงเข้ม และตกแต่งตามโต๊ะด้วยดอกกุหลาบ ปรับเปลี่ยนเป็สีน้ำเงินเข้มแทน
แซ็กคารีเริ่มจัดการมื้อค่ำแบบมนุษย์ที่ห้องอาหารของโรงแรม โดยมีเทพโจไซอานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เทพกินอาหารในจานไม่เกินสามคำและวางส้อมกับมีดทันที แล้วรออาหารจานถัดไป ส่วนแซ็กคารีผู้เป็ซาตานไม่พอใจกับปริมาณอาหารน้อยนิดในจาน
โจไซอาสงสัยว่าแซ็กคารีกำลังตามหาใคร เขาจึงลอบมองซาตานหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง อยากเอ่ยถาม แต่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปช้า ๆ จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่วันนี้หวีผมขึ้นเปิดหน้าผากจึงเห็นโครงหน้าชัดเจน
“เราจะไปไหนกันอีก” โจไซอาถามเมื่อควงแขนแซ็กคารีเข้ามาในลิฟต์
“บาร์ครับ” นิ้วยาวกดชั้นล่างสุดของโรงแรม
“ดีเลย ฉันชอบดื่ม”
“ท่านดื่มมากไม่ได้นะครับ”
“รู้หน่า”
โจไซอามีความสุขเพียงแค่แซ็กคารียื่นแขนมาให้เขาเดินควงตลอดเวลา แม้รู้อยู่ลึก ๆ ว่าอีกฝ่ายเพียงทำตามหน้าที่ของซาตานผู้รับใช้
ทั้งสองควงแขนกันมาถึงบาร์ชั้นล่างสุด ซึ่งตกแต่งทุกอย่างแทบไม่แตกต่างจากเดิม ราวตั้งใจคงความเก่าและกลิ่นอายของยุคสมัยเอาไว้ มีเพียงเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นที่เปลี่ยนเพราะของเก่าหมดอายุการใช้งาน
แซ็กคารีอยากนั่งที่เก้าอี้สูงหน้าบาร์เหมือนที่เคยนั่งข้าง ๆ เฮเซล แต่โจไซอามากับเขาด้วย และเทพผู้เป็โรครักระทมควรนั่งบนโซฟานุ่ม ๆ มากกว่า เขาจึงเลือกที่นั่งเป็เบาะกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มมุมหนึ่งของร้านแทน
“เนโกรนีครับ” โจไซอาจ้องมองแซ็กคารีที่เอ่ยสั่งเครื่องดื่ม ดวงตาของเขาเกิดม่านใสของน้ำตาจนมันเป็ประกาย เพราะกำลังคิดถึงเหตุการณ์เมื่อ 99 ปีก่อน
“คุณอยากดื่มอะไรครับ ผมให้แค่หนึ่งแก้ว” สรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไปเพราะมีมนุษย์ฟังอยู่ และมันเหมือนกับเมื่อก่อนชวนให้เ็ปหัวใจด้วยความคิดถึง
“เดอร์ที มาร์ตินี” โจไซอาเอ่ยเมนูเดิม ที่เมื่อ 99 ปีก่อนมันไม่อยู่ในเมนูของบาร์แห่งนี้
“ครับ รับอะไรเพิ่มไหมครับ” ครั้งนี้มนุษย์ในชุดบริกรเอ่ยตอบรับ โดยไม่ปฏิเสธว่าไม่มีเดอร์ที มาร์ตินีอยู่ในเมนูเหมือนครั้งก่อน
“ไม่ครับ ขอบคุณ”
หูของเทพโจไซอาตัดขาดจากทุกสิ่ง เพราะความทรงจำในอดีตแย่งพื้นที่ในหัว ทั้งภาพ เสียง กลิ่น หรือแม้แต่ััชัดเจน
‘ฉันตั้งใจจะสั่งเดอร์ที มาร์ตินี แต่ที่นี่ไม่มี น่าเสียดายนะคะ’
‘ขอโทษด้วยนะครับ ถ้าอย่างนั้นตอนคุณกลับมาที่นี่อีก ผมสัญญาว่าจะมีเมนูเดอร์ที มาร์ตินีแน่นอน แล้วผมขอเลี้ยงคุณสักแก้ว’
นับแต่วันนั้นเอเดน กริฟฟินสั่งให้เพิ่มเมนูโปรดของโจไซอาในบาร์แห่งนี้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้เลี้ยงเครื่องดื่มตามสัญญา โจไซอาไล่น้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหล แสร้งทำน้ำเสียงหยอกล้อเอ่ยถามซาตานหนุ่ม
“เธอจะเลี้ยงฉันเหรอ” แซ็กคารียกยิ้มบาง ๆ
“ครับ แค่แก้วเดียวนะ”
แซ็กคารีหรือเอเดน กริฟฟินกำลังทำตามสัญญา โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เครื่องดื่มสองแก้ววางบนโต๊ะเตี้ยด้านหน้าทั้งสอง แซ็กคารียกแก้วขึ้นชวนโจไซอาให้ชนแก้วเข้าหากันอย่างอารมณ์ดี และกระดกเครื่องดื่มลงคอ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะยังคงไม่ชอบแอลกอฮอล์เหมือนเดิม แต่มันเบากว่ารสชาติของเหล้าที่ไฮเดนหมักในเมืองเทพหลายเท่า
โจไซอาจิบเครื่องดื่มของตนเอง รับรสชาติที่เขาคิดถึงและไม่ได้ดื่มมานาน เขายกยิ้มมีความสุขได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น และต้องวางแก้วเครื่องดื่มบนโต๊ะเตี้ย เพราะมันกำลังพาความทุกข์ทรมานมาหาเขาด้วยอาการของโรคน่ารำคาญที่ก่อกวนโจไซอามา 99 ปี
“เธอชอบดื่มแล้วเหรอ” แซ็กคารีสงสัยเล็กน้อยกับรูปประโยคที่แสดงว่าโจไซอารู้เื่เขาไม่ชอบดื่ม
“ไม่ครับ แต่เหล้าที่นี่เบากว่าเหล้าที่เทพไฮเดนหมักเองเสียอีก”
“เทพไฮเดนเหรอ”
“เทพแห่งการแปลงกาย เพื่อนของผมครับ” โจไซอาพยักหน้าช้า ๆ พลางเอนหลังพิงพนักโซฟา ใบหน้าที่สดใสก่อนหน้าหมองลง เพราะอาการป่วยค่อย ๆ คืบคลาน
แซ็กคารีสังเกตเห็นท่าทางของโจไซอาทั้งหมด เขารีบยกแก้วเครื่องดื่มกระดกจนหมด และจัดการคิดเงิน พร้อมควงแขนพาโจไซอาขึ้นห้องพักของโรงแรมที่จองเอาไว้ทันที
ทีแรกโจไซอาไม่ได้สนใจว่าแซ็กคารีพาเขาไปที่ไหนบ้าง หรือเดินผ่านมนุษย์คนใดบ้าง เพราะเริ่มเจ็บที่หัวใจลามไปทั่วทั้งกาย แต่เมื่อเท้าสองข้างของเขาเหยียบห้องพักหรูในโรงแรมเก่าร้อยปี ความทรงจำก็ตีเข้าใส่รุนแรงจนไม่สามารถเพิกเฉยได้
“เธอตามหาใครอยู่แซ็ก” เสียงของโจไซอาหนักแน่น้าคำตอบ
“ท่านไม่รู้จักหรอกครับ ผมเก็บไว้เป็ความลับ ไม่เคยบอกใครมาก่อน” เอเดนไม่เคยบอกใครเื่เฮเซล แซ็กคารีจึงคิดว่าโจไซอาไม่มีทางรู้เื่เฮเซลเหมือนกับคนที่บ้านพักคนชราคามีเลียแน่นอน
ร่างสูงกำยำถอดเสื้อโค้ตตัวนอกของตัวเองออก และเดินอ้อมไปด้านหลังโจไซอาเพื่อถอดเสื้อโค้ตสีน้ำตาลอ่อนให้เทพ แต่ร่างผอมกลับสะบัดตัว หันหน้ามองแซ็กคารีด้วยดวงตาเคล้าน้ำตาและสั่นไหว
“เธอตามหาเฮเซลเหรอ” แซ็กคารีเบิกตากว้างด้วยความใ
“ท่านรู้ได้ยังไง”
“เธอตามหาเฮเซลทำไม” โจไซอาบีบข้อมือแซ็กคารี จ้องตาเร่งเร้าจะเอาคำตอบ
“เฮเซลคือผู้หญิงที่ผมรู้สึก… รัก ก่อนที่ผมจะตาย” แม้แซ็กคารีไม่มั่นใจที่จะเอ่ยคำว่ารักกับหญิงสาวที่ได้พบเพียงแค่คืนเดียว แต่โจไซอากลับมีความสุขมากล้นจนอธิบายไม่ได้
น้ำตาที่เคล้าอยู่ในดวงตามานานไหลอาบแก้ม มันไม่มีอำนาจทำลายล้าง เพราะคือน้ำตาของความสุข
ร่างกายผ่ายผอมของเทพโจไซอาค่อย ๆ แปรเปลี่ยน ไหล่แคบบางเล็กลง ส่วนสูงลดลง ผมสีทองหม่นระต้นคอค่อย ๆ ยาวถึงกลางหลังเป็ลอนสวย เอวคอดบาง สะโพกผาย หน้าอกขยายใหญ่ เสื้อที่สวมใส่เปลี่ยนไปเช่นกัน โจไซอาในร่างหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสายเดี่ยวสีดำที่ผ่าลึกจนเห็นเนินอก สวมส้นสูงสีเดียวกัน และเหมือนกับเฮเซลในคืนวันนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
“เฮเซล”
“เอเดน”
เนิ่นนานเกือบร้อยปีที่โจไซอาไม่ได้เห็นชายผู้เป็ที่รักมองกลับมาด้วยสายตาแสดงความรักใคร่ บัดนี้แซ็กคารีจ้องมองโจไซอาด้วยความหลงใหล โหยหา คิดถึง และความรัก รอยยิ้มที่วาดบนใบหน้าคมหล่อเหลา เป็รอยยิ้มกว้างจากความสุขล้นอกที่เหมือนกับแสงอาทิตย์แรกของฤดูใบไม้ผลิ
แรงดึงดูดฉุดรั้งทั้งคู่ให้โอบกอดกันและกันแน่นจนยากที่อากาศจะลอดผ่านไปได้ จมูกทู่มนซุกลาดไหล่บางของหญิงสาวที่เขารักและเฝ้ารอ ดมกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวซึ่งชัดเจนที่สุดในความทรงจำ
แซ็กคารีเงยหน้าขึ้น ผละออกแต่ยังกอดเอวคอดบางไว้แน่น โดยที่แขนสองข้างของโจไซอาในร่างหญิงสาวคล้องรอบลำคอแซ็กคารีไม่ห่าง ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าหาหญิงสาวงดงามตรงหน้าเชื่องช้า เปลือกตาทั้งคู่ปิดสนิท จนริมฝีปากแตะแนบชิดกันและกัน
ทั้งคู่ดูดดึงแ่เบา ความคิดถึงและการรอคอยที่สิ้นสุดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ความโหยหาเร่งเร้าความรู้สึกให้แค่จูบแ่เบาไม่เพียงพอต่อความ้า แซ็กคารีสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปาก ดูดดึงหยอกล้อเนิบนาบและใจเย็น สลับกับขบงับริมฝีปากล่างแ่เบา ฝ่ามืออบอุ่นลูบไล้ร่างกายของคนในอ้อมกอดปลุกเร้าอารมณ์
ทั้งสองก้าวเท้าเดินมาที่เตียงขนาดใหญ่ หยุดยืนอยู่ปลายเตียง แตะแนบริมฝีปากนิ่ง โดยไม่รุกล้ำค้างนานหลายวินาที และค่อย ๆ ผละออกจากกันเชื่องช้าด้วยรอยยิ้ม
แต่เมื่อแซ็กคารีลืมตามอง คนตรงหน้ากลับไม่ใช่หญิงสาวนามว่าเฮเซลที่เขาหลงรัก กลับเป็เทพโจไซอาที่เพิ่งโอบกอดและจูบแสดงความรักกับเขา เพราะพลังของโจไซอาอ่อนแรง จึงไม่อาจแปลงกายเป็ร่างหญิงสาวได้นาน
ทำให้แซ็กคารีเข้าใจผิด
“ท่านโกหก”
“เอเดน…”
“ท่านปลอมเป็คนที่ผมรัก”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
แซ็กคารีผิดหวัง เขาแทบไม่อยากจ้องมองเทพที่เขาเริ่มไว้ใจ และทำลายความไว้ใจทั้งหมดในวันนี้ ซาตานหนุ่มไม่รอฟังคำอธิบายใด ๆ เขาคว้าเสื้อโค้ตของตัวเองแล้วเดินออกจากห้องพักโรงแรม
อีกครั้งที่ชายผู้เป็ที่รักทิ้งโจไซอาไว้ข้างหลัง โดยไม่หันหลังมามอง
และอีกครั้ง ที่โจไซอาทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ไม่สามารถฉุดรั้งอีกฝ่ายไว้ได้
tbc.
#เฮเซลอาย
