ความหดหู่ผิดหวังของกู้ฉี... นางรู้ดี
เขาไม่เผยความในใจออกมา นางก็ยิ่งไม่มีทางเผยออกมาเช่นกัน
เขามีความกังวลและความรับผิดชอบของเขา นางมีความมุ่งมั่นและหลักการที่ยึดถือของนาง
คนสองอยู่คนละที่ทิศทางต่างกัน ถูกลิขิตให้คลาดกันไปไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
รถม้าสองเกวียนค่อยๆ ออกเดินทางไปไกล และหายลับไปตรงสุดปลายถนนอิฐสีฟ้า
เจินจูกลับมาถึงห้องโถง หลี่ซื่อมองเสบียงอาหารที่วางอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยอยู่ในซอกหลืบด้วยความกลัดกลุ้ม
“เจินจู เสบียงอาหารของครอบครัวเราปีนี้ยังไม่ได้ขายไป เก็บอยู่ที่ยุ้งข้าวมากมายเลย เหตุใดคุณชายสกุลกู้มอบให้มาเยอะแยะเพียงนี้ ครอบครัวเราจะทานหมดได้อย่างไร?”
เจินจูกลัดกลุ้มขึ้นมาเล็กน้อย เสบียงอาหารเจ็ดถุงใหญ่ ไม่น้อยจริงๆ นั่นแหละ สองปีมานี้เสบียงอาหารครอบครัวนางมีผลผลิตสูง แม้ไม่ได้ซื้อที่นาอะไรมากมาย แต่ธัญพืชเหล่านี้ได้ผลผลิตออกมาสูงมาก ระยะหลังผลการเก็บเกี่ยวดีทุกปี พวกเขาจึงแบ่งเสบียงอาหารส่งไปวัดเฉิงหวงอำเภอเจิ้นอันอย่างมากมายด้วย
คนชราและเด็กวัดเฉิงหวง อาศัยการเลี้ยงกระต่ายและนำไปขายจึงหลุดพ้นจากวันคืนที่อาศัยทุนทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อให้มีชีวิตรอดได้ไปนานแล้ว วัดเฉิงหวงเก่าแก่ผ่านการบูรณะจนในขณะนี้มีลักษณะเปล่งประกายขึ้นใหม่
แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่สงบ การอาศัยอยู่นอกเมืองมีอันตรายมากมายเกินไป
เจินจูไตร่ตรองอยู่นาน “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกลุ้มใจไปเ้าค่ะ รออีกสักพักให้พวกอาจารย์ฟางขนไปอำเภอเจิ้นอันสักห้าถุงและมอบให้พวกผู้าุโติง เสบียงอาหารครอบครัวเราสองปีนี้ล้วนเพียงพอแล้ว ขณะนี้จะไม่กักตุนไว้มากมายเพียงนั้นเป็การชั่วคราว แต่เมืองตานชังทางตะวันตกเฉียงเหนือถูกชาวตาตาร์ยึดจุดยุทธศาสตร์ไปได้ ทำให้ประชาชนอาณาจักรต้าสยาหวาดกลัวและหวั่นวิตก กลัวว่าบุคคลที่เป็ภัยต่อชาติหรือโจรูเาจะถือโอกาสก่อความไม่สงบขึ้น ผู้อพยพของปีที่แล้วก็ก่อความวุ่นวายกันขึ้นมาปานนั้น หมู่บ้านพวกเราก็ต้องตื่นตัวระมัดระวังกันขึ้นด้วยนะเ้าคะ”
หลี่ซื่อสีหน้าซีดขาวทันที ปีที่แล้วผู้อพยพวิ่งหนีมาวางเพลิง ปล้นชิงทรัพย์และก่อการฆาตรกรรมละแวกอำเภอเจิ้นอัน ประชาชนโดยรอบล้วนตื่นใจนกระจายกันหลบซ่อนไปทั่ว แม้แต่ท่านป้าใหญ่ของสกุลหูก็วิ่งกลับมาหลบอยู่หมู่บ้านวั้งหลินหลายวัน ่นั้นทุกคนต่างก็หวาดผวาตลอดเช้าจรดค่ำ อกสั่นขวัญหายกันทั้งวัน กลัวมากว่าผู้อพยพจะพุ่งเข้ามาในหมู่บ้านกลางดึก
ในตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้งเพราะาทางตะวันตกเฉียงเหนือ หัวใจของทุกคนพลอยกระวนกระวายไม่สบายใจตามไปด้วย
ตอนกลางวัน เจินจูให้ผิงอันไปเรียกฟางเสิงกับอาชิงมาทานข้าว
เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จ เจินจูตั้งใจรั้งฟางเสิงกับอาชิงอยู่พูดคุย โดยจะถือโอกาสที่ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่วุ่นวายถึงเพียงนั้นให้พวกเขาไปอำเภอเจิ้นอันสักรอบ ประการที่หนึ่งคือนำเสบียงอาหารไปส่งให้วัดเฉิงหวง ประการที่สองคือเกลี้ยกล่อมให้ผู้าุโติงเข้าไปหลบในเมืองสักพัก
“ท่านอาจารย์ฟาง นี่เป็ตั๋วเงินสองร้อยเหลียง ท่านให้ผู้าุโติงซื้อบ้านที่เหมาะสมสักหลังในอำเภอ ใน่เวลานี้นอกเมืองอันตรายเกินไป ข้าอยากให้ทุกคนเข้าไปหลบในเมืองสักหน่อยเ้าค่ะ”
ฟางเสิงมองตั๋วเงินที่นางส่งให้เขา ในดวงตาปรากฏความงุนงงวาบผ่านเข้ามา “แม่นางหู ซื้อบ้านตอนนี้เกรงว่าจะไม่คุ้ม ประชาชนโดยรอบต่างก็พรั่งพรูพากันเข้าในเมือง คนที่ขายบ้านอาจเรียกเก็บราคาสูงมากกว่าปกติได้”
เจินจูได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่เห็นเป็ไรเ้าค่ะ เงินทองเป็ของนอกกายไม่มีแล้วก็หาใหม่ได้ คนไม่เป็อะไรก็พอ ขณะเดินทางกลัวว่าจะไม่ราบรื่น หากแต่พวกท่านฝีมือดีต้องรบกวนให้พวกท่านไปสักรอบแล้ว”
ฟางเสิงปรับสีหน้าจริงจัง โค้งกายกล่าวเคร่งขรึม “แม่นางหู ท่านโปรดวางใจ ผู้น้อยแซ่ฟางต้องจัดการเื่ราวให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ บุญคุณของสกุลหูพวกผู้าุโติงย่อมจารึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจอย่างแน่นอน”
สกุลหูเป็ครอบครัวสะสมความเมตตาจากใจจริง เงินที่หามาได้ทุกปีล้วนจ่ายไปกับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเหล่านี้ไม่น้อย
สิ้นเปลืองสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับโรงเรียนทุกปี ไม่ว่าจะเงินค่าจ้างที่เชิญพวกเขามาทำงาน การสร้างถนนอิฐสีฟ้าขึ้นใหม่และอีกหลายๆ อย่าง แค่สิ่งเหล่านี้อย่างเดียว อย่างน้อยต้องสิ้นเปลืองเงินของสกุลหูไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ครั้งนี้ยังให้สองร้อยเหลียงไปซื้อบ้านที่อำเภอเจิ้นอันอย่างยิ่งใหญ่ แล้วยังจัดหางานให้กลุ่มคนผู้เฒ่าติงที่ไร้ญาติขาดมิตรสหายอีก สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ ฟางเสิงรู้สึกซาบซึ้งใจและเลื่อมใสอย่างมาก
ที่จริงแล้วเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เจินจูคิดคือ เพียง้านำเงินไปจ่ายกับที่ที่มีประโยชน์เท่านั้นเอง
ในกล่องไม้แดงเคลือบเงาที่กู้ฉีมอบให้ ในนั้นใส่ตั๋วเงินอยู่หนึ่งปึก เจินจูนับดูแล้วมีจำนวนเต็มๆ คือสองหมื่นเหลียง
เงินสองหมื่นเหลียงเลยนะ! เจินจูกุมหน้าผากทันที
นางควรใช้จ่ายอย่างไรถึงจะสามารถนำเงินใช้จ่ายไปให้หมดอย่างเปิดเผยบริสุทธิ์ และยึดมั่นในความเป็ธรรมได้กันล่ะเนี่ย!
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตอนนี้นางไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่ยังจะมอบตั๋วเงินมากมายเพียงนี้ให้นางอีก
มารดาเถอะ ต้องหาวิธีจ่ายเงินออกไปอีกแล้ว
...ความมืดยามค่ำคืนกำลังย่างกรายเข้ามา สายลมหนาวพัดโชยขึ้นช้าๆ
หลัวจิ่งสวมชุดสีดำยืนอยู่บนกำแพงเมืองในยามค่ำคืน
“หลางเจียงหลัว เ้ากระทำการครั้งนี้ต้องระมัดระวัง พี่ชายใหญ่ของเ้ากำชับฝากฝังเ้าไว้ในมือเปิ่นกง หากเ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้น เปิ่นกงคงไม่มีหน้ามองเจียงจุนหลัวได้” หานสี่สีหน้าจริงจัง ครอบครัวสกุลหลัวในตอนนี้เหลือเพียงสองพี่น้องแล้ว หากหลัวจิ่งเกิดอะไรขึ้นคงอธิบายกับหลัวรุ่ยได้ลำบาก
“ฝ่าา ท่านโปรดวางพระทัย ทหารปลายแถวอย่างกระหม่อมจะกระทำการอย่างระมัดระวังพ่ะย่ะค่ะ” หลัวจิ่งคำนับแล้วกล่าวตอบ
“หากไม่สำเร็จ ก็รีบถอนตัวออกมา เหลือเขาเขียวไว้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน [1] เมื่อพวกเ้าปฏิบัติภารกิจแล้ว หน้าประตูกำแพงเมืองแห่งนี้พวกเขาต้องมาโอบล้อมขึ้นอย่างแน่นอน มีทางเดินลับตรงเทือกเขาฝั่งตะวันตกเก็บไว้ให้กำลังคนเป็การเฉพาะ ให้พวกเ้าอ้อมกลับไปทางนั้น มันอาจไกลหน่อยแต่พอข้ามผ่านยอดเขาจากทางลับนั้นก็กลับเข้าเมืองได้ ส่วนเปิ่นกงได้ส่งคนเข้าป่าเขาไปจับตัวต่อแล้ว รอครั้งหน้าที่ชาวตาตาร์โจมตีกำแพงเมืองจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสของตัวต่อสักหน่อย” หานสี่กล่าวถึงตรงนี้อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
หลัวจิ่งหางตากระตุก องค์ชายสี่ช่างชื่นชอบกลยุทธ์การปกป้องเมืองจำนวนหนึ่งที่เจินจูเสนอออกมาเป็พิเศษจริงๆ เลยเชียว
ตะกร้าหวายแข็งแรงค่อยๆ หย่อนลงอย่างเงียบเชียบไร้เสียง สองคนเดินเลียบไปข้างหน้าที่มืดมิดตามทางที่คดเคี้ยว
ผ่านการซุ่มโจมตีครั้งที่แล้วการเตรียมป้องกันของชาวตาตาร์ต้องเข้มงวดมากขึ้นอย่างแน่นอน
หลัวจิ่งนำหลัวสือซานติดกายไปเพียงผู้เดียว บนตัวสองคนล้วนแบกสิ่งของไว้ไม่น้อย ในมือหลัวจิ่งยังหิ้วกรงนกคลุมด้วยผ้าสีดำไว้ เมื่อเคลื่อนไหวขึ้นมาจึงไม่ค่อยสะดวกนัก
ยามนี้เพิ่งเข้าสู่ยามโฉ่ว [2] พวกเขาต้องอ้อมไปให้ถึงแนวหลังค่ายใหญ่ คลำทางรอดผ่านความมืด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเสียเวลาไปครึ่งชั่วยาม
หลัวสือซานคอยตามอยู่ด้านหลังหลัวจิ่งเพื่อระมัดระวังสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เขาถูกหลัวรุ่ยส่งมาอยู่ข้างกายหลัวจิ่งได้สามปี ติดตามหลัวจิ่งปฏิบัติหน้าที่และเข้าสู่สนามรบ เดินไปข้างหน้าและก้าวถอยหลังผ่านความเป็ความตายมาด้วยกัน ฉะนั้นการร่วมมือกันจึงรับส่งประสานกันเป็อย่างดี
ตลอดทางที่เคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ หลัวจิ่งรวบรวมสมาธิไปที่ดวงตา กลางคืนไม่ได้มีผลกระทบต่อการมองเห็นของเขาเลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาอ้อมมาถึงหลังกระโจมค่ายทหารศัตรูได้อย่างราบรื่น เสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าที่อยู่แนวหลังค่ายทหาร กักเก็บไว้อย่างเป็ระเบียบใกล้กับกระโจมขนาดใหญ่ หลัวจิ่งกะระยะของกระโจมใหญ่กับเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้า ในใจเริ่มมีแผนการขึ้น
ขณะนี้เข้าใกล้ยามอิ๋นแล้ว สายลมหนาวเย็นของปลายฤดูใบไม้ร่วงเย็นถึงกระดูกเล็กน้อย รอบด้านเงียบสงัดมีเพียงเสียงแมลงดังขึ้นบ้างเป็ระยะ
หลัวจิ่งสำรวจดูสภาพพื้นที่โดยรอบ สุดท้ายหยุดอยู่หลังเนินแห่งหนึ่ง
สองคนไม่มีการส่งเสียงใดๆ เริ่มปลดสิ่งของจากบนหลังลงและเตรียมพร้อมปฏิบัติการอย่างเงียบๆ
เชือกป่านหนึ่งมัดใหญ่ที่บางยิ่งกว่าไส้เดือน ใส่เข้าไปในถุงหนังวัวกว้างหนึ่งใบ ทิ้งปลายเชือกออกมาด้านนอกหนึ่งหลา และเริ่มเทน้ำมันดำจากถุงหนังแกะใบหนึ่งออกมา ราดลงบนเชือกป่านให้เปียกโชกทั้งหมด
หลัวจิ่งหยิบเอาผ้าดำที่คลุมกรงนกเปิดออก ต้าฮุยปรากฏอยู่ในกรง
เขาประคองต้าฮุยออกมาหลังจากนั้นกล่าวกับต้าฮุยให้เบาที่สุด “ต้าฮุย เ้าดูให้ดี เ้าต้องบินวนล้อมบริเวณใกล้เคียงกระโจมใหญ่ตรงนั้น บินวนสองสามรอบใหญ่ๆ ให้เชือกครอบลงบนเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าที่เตี้ยเ่าั้ทั้งหมด เข้าใจหรือไม่?”
“กรู” ต้าฮุยขานรับ ในกลางดึกที่มืดมิดไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดเกิดขึ้น
หลัวจิ่งหยุดลงด้วยความระมัดระวัง แล้วจึงกระซิบเสียงเบา “เหมือนเมื่อวานนะ ทำออกมาให้ดีล่ะ พรุ่งนี้จะปล่อยเ้ากลับหมู่บ้านวั้งหลินหนึ่งรอบ”
“กรูๆ” ต้าฮุยร้องด้วยความตื่นเต้น
หลังจิ่งรีบทำท่าทางส่งสัญญาณมือห้ามไว้ ไม่รู้ว่าต้าฮุยมองเข้าใจหรือไม่ แต่หลังจากนั้นมันก็ไม่ร้องออกมาอีกเลย
หลัวจิ่งกะเวลาผลัดเปลี่ยนการลาดตระเวนดีแล้ว จึงนำเชือกป่านส่วนที่ไม่เปียกน้ำมันพันไปรอบๆ ขาของต้าฮุย หลังจากนั้นทิ้งลงไปเบาๆ ต้าฮุยกางปีกดึงเชือกป่านบินไปทางเสบียงและกระโจมใหญ่
ไม่เลว กลยุทธ์ซุ่มโจมตีนี้คือสิ่งที่หลัวจิ่งคิดอยู่สองคืนจึงคิดขึ้นได้
เมื่อคืนเขากับหลัวสือซานได้ทำการทดลองอยู่ภายในเมืองถงหลิน
หลัวจิ่งเลียนแบบการกระทำของเจินจู โดยการใช้เหยื่อล่อสั่งสอนต้าฮุยด้วยความอดทนและจริงจัง ต้าฮุยที่เฉลียวฉลาดเกินกว่าจะหาอะไรเปรียบได้ หลังได้รับคำมั่นสัญญาจากหลัวจิ่งแล้วก็ให้ความร่วมมือกับแผนการของเขาด้วยความตั้งใจอย่างมาก ผลที่ได้ไม่ต้องเอ่ยอะไรก็สามารถคาดเดาได้ เชือกป่านพันรอบขอบเขตที่ระบุไว้อย่างดี เขาจุดไฟใส่เชือกป่านที่ผ่านการแช่น้ำมันดำ ไฟลุกลามไปตามเชือกป่าน แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เวลาไม่กี่อึดใจเชือกป่านก็เกิดการลุกไหม้ทั้งหมด
วันนี้เป็การสู้รบของจริง ความรู้สึกของหลัวจิ่งกับหลัวสือซานอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
บริเวณใกล้เคียงกับเสบียงมีกระโจมอื่นไม่น้อย แสงไฟวูบไหวเลือนลางอยู่ตรงที่ไกลออกไป เงาร่างของต้าฮุยอยู่กลางความมืดมิดไม่เด่นสะดุดตาเลยแม้แต่นิดเดียว มันลากเอาเชือกป่านจุ่มน้ำมันอ้อมวนหนึ่งรอบแล้วกลับมาที่เดิม หลัวสือซานตัดเชือดป่านขาดจากกันโดยมิรอช้า แล้วผูกเชือกป่านเส้นใหม่ต่อกับส่วนที่ไม่ได้ชุบน้ำมันให้ต้าฮุยบินวนต่อไป
หมุนเวียนอยู่เช่นนี้ไม่กี่รอบ เหลือเพียงเชือกป่านเส้นบางหนึ่งเส้นสุดท้าย
ต้าฮุยเพิ่งบินไปถึงบนท้องฟ้าเหนือกระโจมใหญ่ กลับเห็นนายทหารชาวตาตาร์สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากกระโจมด้านข้าง
เขาหาวอย่างง่วงเหงาหาวนอนสะลึมสะลือ เดินขาลากมายังทิศทางของพวกหลัวจิ่ง
หลัวจิ่งและหลัวสือซานรีบกลั้นหายใจคว่ำหน้าลงบนพื้นทันที บนมือกุมดาบคนละด้ามไว้แน่น
โชคดีนายทหารหยุดฝีเท้าลงหน้าพงหญ้าที่ไม่ไกลจากพวกเขา คลายเชือกเอวกางเกงออกแล้วเริ่มปลดปล่อยปัสสาวะ
ในกลางดึกที่เงียบสงัดเป็พิเศษทำให้เสียงปลดปล่อยของเหลวดังเสียดแทงหู
หลัวสือซานชำเลืองมองใบหน้าเขียวคล้ำของหลัวจิ่งแวบหนึ่ง นึกด่าทออยู่ในใจ นายทหารชั้นต่ำผู้นี้กักเก็บน้ำไว้มากเท่าไรกัน ถึงได้ปลดปล่อยอยู่นานเพียงนั้น
ต้าฮุยอ้อมอยู่หนึ่งรอบ เมื่อเห็นว่าบริเวณที่พวกหลัวจิ่งมีมนุษย์อื่นอยู่ จึงหยุดอยู่บนกระโจมใหญ่พักหนึ่งด้วยความฉลาดเฉลียว
ไม่นานนายทหารก็ปลดปล่อยปัสสาวะเสร็จ แล้วเดินแกว่งกลับไปกระโจม
ต้าฮุยบินกลับมา หลัวจิ่งรีบปลดเชือกป่านบนขามันทันที หลังจากนั้นกำชับเสียงเบา “ต้าฮุย เ้ากลับไปในเมืองเองก่อน”
ประคองต้าฮุยขึ้นแล้วโยนหนึ่งที เงาร่างของมันก็บินไปทางเมืองถงหลิน
หลัวสือซานมองลักษณะท่าทางสง่างามของต้าฮุยด้วยความอิจฉา ดียิ่งนัก เวลาไม่กี่ลมหายใจก็สามารถบินไปถึงในเมืองได้แล้ว
สองคนเก็บของอย่างรวดเร็วโดยมิรอช้า หลังแบกของครบหมด หลัวจิ่งหยิบตะบันไฟออกมาและสั่งเสียงทุ้มต่ำ “สือซาน เ้าไปตรงเขตูเานั่นก่อน ข้าจุดไฟแล้วจะรีบตามไป”
บนใบหน้าหลัวสือซานปรากฏความลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าไปทันที เขารู้ ว่าหลัวจิ่งมีความสามารถในการมองเห็นในยามค่ำคืนดีมาก หากเขาจากมาก่อนหลัวจิ่งจะเคลื่อนไหวอยู่ในยามราตรีได้มั่นคงยิ่งกว่า
มองหลัวสือซานจากไป ในใจหลัวจิ่งคำนวณเวลาอยู่เงียบๆ
ผ่านไปครึ่งเค่อ เขาเป่าตะบันไฟให้ลุกไหม้ขึ้น แล้วจุดไฟที่เชือกป่านเส้นบางที่เรียงอยู่บนพื้น
มองไฟที่ลุกลามขึ้นไปตามเชือกป่าน หลัวจิ่งดับตะบันไฟอย่างคล่องแคล่วแล้วจากไปด้วยความรวดเร็ว
เวลาไม่กี่ลมหายใจ ไฟที่ลุกลามจากเชือกป่านก็ไหม้ไปถึงกระโจมใหญ่ ่ปลายฤดูใบไม้ร่วงความชื้นในอากาศน้อยและสรรพสิ่งแห้งแล้ง สายลมฤดูใบไม้ร่วงพาให้สถานการณ์เพลิงไหม้โหมกระโจมใหญ่จนกลายเป็ลูกไฟในชั่วพริบตา
“อ๊าก” เสียงร้องตื่นใดังก้องไปทั่วทำลายความเงียบยามค่ำคืน
พื้นที่บริเวณกระโจมด้านหลังเริ่มตกอยู่ในความวุ่นวาย
อามู่เอ่อร์ไปพื้นที่ดับเพลิงอย่างรวดเร็ว
สีหน้าจากานปาลาดำดั่งน้ำหมึก “จี๋ต๋า เ้านำกองทัพไปขวางเส้นทางทั้งหมดบริเวณใกล้กำแพงเมือง พวกเขาอ้อมมาถึงด้านหลังไม่อาจกลับเมืองไปได้เร็วเพียงนั้น ไปนำม้าศึกของข้าเข้ามา เหล่าจื่อจะฟันศีรษะหนานหม่านจื่อกลุ่มนี้ด้วยตัวข้าเอง”
สายตาของเขาเคร่งขรึมเด็ดขาด ั์ตาฉายแววความโมโหจนอยากสังหารออกมา
หลัวสือซานหลบอยู่หลังพุ่มไม้เตี้ยของเขตูเา มองไปยังที่ไกลออกไปเห็นกระโจมเสบียงใหญ่ของชาวตาตาร์ถูกเปลวไฟลุกจนท้องฟ้าสว่าง สายลมฤดูใบไม้ร่วงโหมหนัก ลามไปบนหญ้าแห้งบนพื้นยาวเหยียดไม่ขาด่ หลายกระโจมบริเวณใกล้เคียงก็ถูกไฟลุกลามไปด้วย เหล่าทหารชูเสื้อผ้าสักหลาดขึ้นปัดด้วยความรุนแรง พื้นที่กระโจมด้านหลังอลหม่านไปทั้งผืน
กองเพลิงลุกโชนส่องแสงสว่างวาบอยู่ใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด ทหารม้าหนึ่งหน่วยมุ่งไปยังด้านหลังสถานที่ตั้งค่ายอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของทหารม้าบีบเค้นหัวใจหลัวสือซานยิ่งนัก เพราะคุณชายของเขายังไม่ตามมาเลย
เชิงอรรถ
[1] เหลือเขาเขียวไว้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน เป็การอุปมาว่าขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมมีความหวังในวันข้างหน้า
[2] ่เวลา 01.00 - 02.59 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้