หลินหวั่นชิวใช้น้ำแกงไก่ที่เหลือจากเมื่อคืนมาทำบะหมี่น้ำแกงไก่ชามโตให้เจียงหงป๋อ เมื่อคืนกินโอสถชำระไขกระดูกไป ตอนนี้กระเพาะเขาน่าจะเปิดไม่น้อยแล้ว
ส่วนของตัวเองกับเจียงหงหนิงเป็บะหมี่ผัดเนื้อเสือ บะหมี่สีขาวนอนอยู่กลางชามใบั์ ผักสดสีเขียวลอยอยู่ด้านข้าง ราดน้ำแกงที่ใส่น้ำมันพริกสีแดง รากบัวกับเนื้อเสืออบเกลือกองสูงพะเนิน ลำพังแค่มองก็เจริญอาหารแล้ว
“พี่สะใภ้ อร่อยมากเลยขอรับ!” เจียงหงหนิงกินคำโตพร้อมพูดอย่างเคลิบเคลิ้ม
“ช้าหน่อย ระวังลวก! ทำอาหารต้องรู้จักใส่วัตถุดิบถึงจะอร่อย เ้าลองคิดดูสิ บะหมี่ดีขนาดนี้ หากใส่วัตถุดิบไม่พอแล้วไม่อร่อย เส้นบะหมี่จะไม่ถือว่าเสียของหรือ! นี่ถือว่าเป็ความผิดนะ!”
หลินหวั่นชิวใช้ทั้งคำพูดและอุบายเพื่อหลอกล่อจอมขี้เหนียวอย่างเจียงหงหนิง
“อื้ม ข้าจำไว้แล้วขอรับพี่สะใภ้!” เจียงหงหนิงคลุกบะหมี่กินอย่างเอร็ดอร่อย ท่าทีมูมมามเหมือนเจียงหงหย่วน
เจียงหงป๋อเทียบกับเขาแล้วสุภาพกว่ามาก ใช้ตะเกียบคีบเส้นทีละไม่มากไม่น้อย เป่าที่ริมฝีปากแล้วค่อยกินอย่างสุภาพ
ต้องยอมรับว่าการมองเจียงหงป๋อกินบะหมี่ถือเป็ความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง
เจียงหงหย่วนเดินตากน้ำค้างกลับมาเห็นภาพนี้
ความอิจฉาแผ่ซ่านในใจทันที
เขาแค่ออกจากบ้านครู่เดียว ไอ้เด็กสองคนนี้กลับนั่งกินข้าวร่วมกันกับภรรยาตัวน้อยของเขาเสียแล้ว
ไม่มีสิ่งใดน่ารำคาญไปกว่าน้องชายแล้วจริงๆ
“ต้าเกอ! บะหมี่ที่พี่สะใภ้ทำอร่อยมากเลยขอรับ!” เจียงหงหนิงเงยหน้าขึ้นจากชาม ตาเป็ประกายแสดงความพึงพอใจ
กินก็กินไปสิ ยังจะมีหน้ามาอวดอีก วันนี้เขาจะโยนเ้าเด็กนี่ไปอยู่ในอำเภอให้ได้ ไม่ให้เขากลับมาแล้ว!
“ต้าเกอมานั่งเถิด ข้ากินอิ่มแล้ว บะหมี่ที่พี่สะใภ้ทำเป็บะหมี่ที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่ข้าเคยกินมา”เจียงหงป๋อวางชามแล้วลุกขึ้นยืนเช่นกัน
ยังจะมีคนช่วยซ้ำเติมเพิ่มอีก หน้าเจียงหงหย่วนเข้มหนักจนเหมือนมีน้ำรั่วออกมาได้
“ต้าเกอ ข้ากินเสร็จแล้วเช่นกัน จะไปลวกบะหมี่มาให้” เจียงหงหนิงวางชามแล้วเดินเข้าห้องครัว
“ไม่ต้อง ข้าทำเอง!” ไสหัวไปให้หมด ไอ้พวกตัวยุ่ง
อ้าว เ้าหมอนี่โมโหเสียแล้ว
จริงๆ เลย ตัวใหญ่บึกบึนแท้ๆ แต่นิสัยราวกับเด็ก
หลินหวั่นชิวบอกให้เด็กทั้งสองกลับห้องไปเก็บของ นางลุกขึ้นเข้าห้องครัว ผลักเจียงหงหย่วนออก “ข้าไม่รู้เ้าจะกลับมาเวลาใด กลัวลวกบะหมี่แล้วจะเละเลยยังไม่ได้ทำให้”
ที่แท้เป็เช่นนี้…นางไม่ได้จงใจไม่ทำให้เขา!
เจียงหงหย่วนอารมณ์ดีขึ้นทันที เขายืนข้างหลินหวั่นชิว มุมปากยกโค้ง รอยยิ้มกว้างขึ้น
ฟืนใต้เตายังไม่ได้เอาออก คอยจุดไว้อยู่เสมอ ไม่ต้องเสียเวลาเติมฟืนเพิ่ม บะหมี่ก็ลวกเสร็จเสียแล้ว
จังหวะที่หลินหวั่นชิวยกชามบะหมี่หันตัวมา เจียงหงหย่วนหุบยิ้มทันที รับชามจากนางด้วยหน้าเคร่งขรึม
ความจริงเขาก็อยากยิ้มให้ภรรยาตัวน้อย แต่หน้าตาเขาเป็เช่นนี้ มีแผลเป็ ยิ้มแล้วมีแต่จะยิ่งน่าเกลียดน่ากลัว
ผู้ใดก็อยากรักษาภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดต่อหน้าคนที่ตัวเองชอบทั้งนั้น
หลังจากนั่งลง หลินหวั่นชิวกินบะหมี่ที่เหลือของตัวเองต่อ
เจียงหงหย่วนเห็นว่าชามบะหมี่ของนางไม่มีไอน้ำหลงเหลือและบะหมี่จับตัวเป็ก้อนเสียแล้วจึงแย่งเอามา ผลักชามตัวเองไปให้นาง “ข้าหิวแล้ว จะกินชามของเ้า เ้ากินชามข้าไปก่อน กินไม่หมดข้าค่อยกินต่อ!”
“อื้ม” หลินหวั่นชิวย่อมเข้าใจเจตนาเจียงหงหย่วน บุรุษผู้นี้ช่างเอาใจใส่แต่ปากร้าย ซื่อตรง ไม่มีกลยุทธ์ใด
นางไม่มามัวดัดจริต ในเมื่อรู้หัวใจตัวเองและตัดสินใจเผชิญกับความรู้สึกนี้แล้ว นางก็ไม่เกรงใจกับเจียงหงหย่วนอีก
บุรุษควรเป็ฝ่ายดูแลสตรีอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลให้ต้องผลักไส
หากผลักไสมากเกินไป บุรุษจะคิดว่าเ้าไม่ชอบ วันหน้าไม่ดูแลเ้าเช่นนี้อีกแล้ว วันนั้นสตรีจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ พอเสียใจก็อดทำพฤติกรรมเสแสร้งต่างๆ ไม่ได้
แม้จะเป็ความรู้สึกที่ลึกล้ำแต่จะทนการเสแสร้งได้กี่ครั้ง?
เจียงหงหย่วนเห็นภรรยาตัวน้อยไม่ปฏิเสธสักนิด กินบะหมี่ชามนั้นของเขาแต่โดยดีก็ดีใจ…ดีใจจนอยากฮัมเพลงูเา
บะหมี่ชามนี้ภรรยาตัวน้อยกินไปแล้ว…อีกเดี๋ยวชามนั้นก็ถูกกินเช่นกัน…
กินบะหมี่ชามเดียวกัน…
นี่แทบจะเหมือนการจูบไม่ใช่หรือ?
ฮิฮิ…
“ตอนนี้สุ่ยเซิงกับฟู่กุ้ยขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่กับเถาวัลย์แล้ว ใช้ไม้ไผ่จะเร็วกว่า เพราะนี่เป็ที่ตั้งหกสิบไร่ หากมัวแต่ตัดไม้ทำเสาจะเสียเวลาหลายวัน ข้าคิดว่าเ้าหน้าที่จากอำเภอน่าจะมาถึง่ใกล้เที่ยง เ้าไม่ต้องเตรียมอาหารให้พวกเขา เตรียมค่าตอบแทนไว้ก็พอ ไม่ต้องดูแลสุ่ยเซิงกับฟู่กุ้ยเช่นกัน ไว้ข้ากลับมาแล้วค่อยเชิญพวกเขามาดื่มเหล้า”
เขาไม่ได้ไม่วางใจที่จะให้หลินหวั่นชิวอยู่กับสุ่ยเซิงและฟู่กุ้ยตามลำพัง แต่คนในหมู่บ้านปากเสียเกินไป กลัวคนพวกนี้พูดจาไม่ดี ถึงเวลาเขาไม่อยู่บ้านช่วยนางหนุนหลัง ภรรยาตัวน้อยคงได้ถูกรังแก
“อื้ม ข้าจะทำตามที่หย่วนเกอว่า” นี่เป็ครั้งแรกที่หลินหวั่นชิวเรียกเขาว่าหย่วนเกอในเช้าวันนี้
เสียงนุ่มนวลจนเจียงหงหย่วนรู้สึกซาบซ่านไปหมด
“หากเ้ากลัวที่จะอยู่บ้านผู้เดียวก็ไปตามกุ้ยเซียงมาอยู่เป็เพื่อน ข้าเกรงว่ากว่าจะกลับจากการเข้าอำเภอครั้งนี้จะดึกเสียหน่อย จริงสิ ขอเงินให้ข้าติดตัวหน่อยเถิด เอาเศษเหรียญทองแดงกับเศษก้อนเงิน แล้วก็ตั๋วเงินอีกสองร้อย ข้าจะดูว่าเข้าอำเภอครั้งนี้จะหารถล่อได้หรือไม่ แต่รถม้าเคลื่อนที่เร็วกว่า วันหน้าข้าไปทำงานในอำเภอจะได้ประหยัดเวลาเดินทาง”
ที่สำคัญที่สุดคือเวลาพาภรรยาตัวน้อยเข้าอำเภอจะมีตู้รถช่วยบัง…เขาจะได้ทำเช่นนั้นเช่นนี้ได้!
“อื้ม ได้!” หลินหวั่นชิวตอบตกลง
นอกจากเงินสองสามร้อยตำลึงที่ได้จากการขายน้ำมันกระดูกเสือกับหนังเสือ ก่อนหน้านั้นเจียงหงหย่วนก็ให้เงินนางมาหลายร้อยตำลึงั้แ่ตอนลงจากเขา
การขึ้นเขาของเขาครั้งนี้เก็บเกี่ยวได้ล้นหลามมาก เกือบได้เป็พันตำลึง!
แม้พวกเขาจะใช้จ่ายเยอะ ทั้งซื้อที่ ทั้งจะสร้างบ้านอิฐ สิ่งเหล่านี้ต่างมีค่าใช้จ่ายก้อนโต แต่เจียงหงหย่วนมองแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างดีขึ้นเรื่อยๆ วันหน้าไม่มีค่าใช้จ่ายจำเป็ใดอีก
เช่นนี้แล้วการดำรงชีวิตในวันหน้าล้วนไม่มีสิ่งใดต้องกังวล เจียงหงหย่วนไปทำงานที่บ่อนยังได้เงินเดือนละยี่สิบตำลึง
ยี่สิบตำลึง เพียงพอให้ครอบครัวเกษตรกรธรรมดาใช้จ่ายได้ทั้งปีเชียวนะ!
หลินหวั่นชิวกินเสร็จก็เข้าไปหยิบตั๋วเงินสองร้อยกับถุงใส่เศษเงินเศษเหรียญให้เจียงหงหย่วนจากในห้อง
ไม่นาน หวางโหย่วกุ้ย พี่ชายของหวางฟู่กุ่ยก็ขี่เกวียนวัวมารับพี่น้องบ้านตระกูลเจียง หลังจากส่งพวกเขาออกไปเสร็จ หลินหวั่นชิวปิดประตูลานบ้านแล้วนั่งท่องเสียนอวี๋อยู่บนเก้าอี้
นางค้นหาเมล็ดพันธุ์พุ่มหนามเป็อย่างแรก นางรู้สึกว่าขนาดของแปลกประหลาดหลุดโลกเช่นตั๋วทะลุมิติยังมีขายบนเสียนอวี๋ เช่นนั้นไม่มีสิ่งใดที่หาไม่ได้ในเสียนอวี๋เป็แน่
เป็ไปตามคาด นางแค่คิดในใจ สมองก็มีข้อมูลเกี่ยวกับการขายเมล็ดพืชพุ่มหนามจำนวนมากปรากฏ
แต่ด้วยคุณภาพของเสียนอวี๋…เมล็ดพันธุ์เหล่านี้จึงมีอัตราการเจริญเติบโตต่ำมาก มิเช่นนั้นคงไม่ถูกนำมากำจัดเช่นนี้
แต่หลินหวั่นชิวไม่ถือสาสิ่งใด แค่มีอัตราการเจริญเติบโตต่ำไม่ใช่หรือ?
เช่นนั้นแค่ซื้อให้มากและโรยเยอะหน่อยก็สิ้นเื่!
หลินหวั่นชิวเพิ่งซื้อเมล็ดพันธุ์พืชพุ่มหนามเสร็จ นอกลานบ้านก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ผู้ใดกัน?” หลินหวั่นชิวเดินออกไปถาม
