ภายในเมืองหลวงนั้นมีกองกำลังอยู่นับไม่ถ้วน ทั้งบรรดาตระกูลเล็กและตระกูลใหญ่ที่มีอยู่มากมายดั่งดวงดาวเ่าั้ต่างก็มีกองกำลังเป็ของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่จวนเป่ยอ๋อง นอกจากกองกำลังเหล่านี้แล้ว ยังมีกองกำลังอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกแบ่งแยกออกจากกองกำลังทั้งหมด นั่นคือกองกำลังของวิหารสลักลาย
วิหารสลักลายนั้นตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวง ซึ่งครอบคลุมอาณาเขตพื้นที่มากกว่าแปดสิบไร่ พวกเขามีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หลายแห่ง อาทิเช่น วิหารปรมาจารย์โอสถ วิหารปรมาจารย์ค่ายกล วิหารปรมาจารย์อาวุธ และวิหารปรมาจารย์เครื่องราง นอกจากนี้ยังมีเรือนพักของนักสลักลายเส้นอยู่อีกจำนวนหนึ่ง
ด้านหน้าของวิหารสลักลายมีวิหารสีดำขนาดใหญ่จำนวนหกหลัง ซึ่งวิหารเหล่านี้ก็เป็สถานที่สำหรับทำการทดสอบ
วิหารเหล่านี้จะใช้สถานที่ในการทำการทดสอบและประเมินคุณสมบัติของนักสลักลายเส้นเพื่อเลื่อนระดับขั้น
“ฮ่าๆ อวี้เอ๋อร์ ทำไมหรือ วันนี้พวกเ้ามาที่นี่เพื่อทำการทดสอบคุณสมบัติของปรมาจารย์โอสถอย่างนั้นหรือ?”
ภายในโถงทดสอบ ชายวัยกลางคนในชุดสีเทากำลังส่งยิ้มให้กับเด็กสาวสามคน
แม้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้จะไม่ได้สวมใส่ชุดของนักสลักลายเส้น แต่เขาก็มีตราสัญลักษณ์ของนักสลักลายเส้นขั้นสองอยู่บนอก
“เ้าค่ะท่านอาซุน ข้าเตรียมจะเข้าทดสอบปรมจารย์โอสถเ้าค่ะ”
เด็กสาวในชุดสีม่วงอ่อนผู้มีใบหน้างดงามเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
จากรูปลักษณ์ของเด็กสาวผู้นี้ดูเหมือนว่าอายุของนางคงจะไม่เกินสิบหกถึงสิบเจ็ดปี
“ท่านจ้าววิหารเซี่ยวทราบหรือไม่? ข้าคิดว่าหากเขาทราบจะต้องรู้สึกยินดีมากแน่”
ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาถามด้วยรอยยิ้ม
“เขายังไม่ทราบเ้าค่ะ ข้าอยากทำให้เขาประหลาดใจ”
เซี่ยวจื่ออวี้หัวเราะออกมาอย่างเริงร่า
“อวี้เอ๋อร์ ปีนี้เ้าอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น แต่เ้ากลับมีคุณสมบัติที่จะเข้ารับการทดสอบของนักสลักลายเส้นแล้ว พร์นี้ของเ้าทำให้ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
เด็กสาวอีกสองคนที่อยู่ด้านข้างหัวเราะออกมาอย่างขำขัน ผู้คนรอบข้างก็มักจะกล่าวชื่นชมเช่นนี้
เซี่ยวจื่ออวี้คือหลานสาวของจ้าววิหารเซี่ยวจากวิหารปรมาจารย์โอสถ เด็กสาวผู้นี้มีพร์ด้านการสลักลายเส้นโอสถจนเป็ที่รู้จักกันดีในวิหารสลักลาย
ทันใดนั้นเอง คนกลุ่มใหญ่ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก รังสีที่แผ่ออกมาจากคนกลุ่มนี้ดูไม่ธรรมดาเลย เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามา ผู้คนที่ทราบถึงสถานะของพวกเขาต่างก็รีบหลีกทางให้ทันที ทั้งยังมีท่าทางเกรงอกเกรงใจ
“นี่ไม่ใช่ผู้นำตระกูลมู่ มู่เฉินและผู้าุโใหญ่มู่หวาหรอกหรือ?”
“ยังมีผู้าุโลู่จากจวนเป่ยอ๋องมาด้วย พวกเขามารวมตัวกันได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าระหว่างพวกเขาเหมือนน้ำกับไฟหรอกหรือ? นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับหนยวนตานคนอื่นที่ไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตาอีก”
ทันใดนั้นเสียงกระซิบกระซาบก็ดังขึ้นภายในโถงทดสอบ ทุกคนต่างก็เฝ้ามองกลุ่มผู้มาใหม่ที่กำลังเดินเข้ามา
เมื่อชายในชุดสีเทาเห็นกลุ่มคนที่เดินเข้ามาแล้ว ใบหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาท่าทีสุภาพเอาไว้ เขารีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะกำหมัดคำนับอย่างมีมารยาท “ผู้นำตระกูลมู่ ผู้าุโลู่ ไม่ทราบว่าพวกท่านมายังวิหารสลักลายเส้นของเราด้วยเื่อันใดอย่างนั้นหรือ?”
คนเหล่านี้ล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตาน แม้ว่าเขาจะเป็นักสลักลายเส้น แต่ก็ยังให้ความเคารพต่อพวกเขาพอสมควร
“เหล่าซุน ท่านรีบประเมินเ้าเด็กคนนี้เร็วเข้า ข้ากำลังรอแข่งขันกับเขาอยู่”
จางไต้ซือนั้นรู้จักชายแซ่ซุนผู้นี้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นอย่างเป็กันเอง
“สหายจาง นี่มันเื่อะไรกัน?”
ชายแซ่ซุนหันมามองจางไต้ซือด้วยความสงสัย
“เ้าเด็กคนนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดอยากจะแข่งขันวิชาโอสถกับข้า แต่เขายังไม่มีแม้แต่คุณสมบัติของนักสลักลายเส้นด้วยซ้ำ ฉะนั้นจึงไม่สามารถแข่งขันกับข้าได้ ตอนนี้ข้าจึงพาเขามาที่นี่เพื่อทดสอบคุณสมบัติของนักสลักลายเส้น ดูซิว่าคราวนี้เขาจะปล่อยไก่ออกมาอย่างไร”
จางไต้ซือกล่าวขณะชี้นิ้วไปยังเด็กหนุ่มที่สวมหน้ากากและมีเส้นผมสีขาว
บุรุษแซ่ซุนหันไปมองชายผมขาวที่สวมใส่หน้ากากด้วยความประหลาดใจ
“ซุนไต้ซือ รบกวนท่านช่วยข้าลงทะเบียนให้เขาด้วย”
มู่เฉินประสานมือกำหมัดขณะกล่าวขึ้น
“เอาละ ท่านผู้นำตระกูลมู่ พวกท่านโปรดรอข้าสักครู่ ส่วนเ้าหนุ่มผู้นั้น ตามข้ามา”
ชายแซ่ซุนเดินนำมู่เฟิงออกไป ในขณะเดียวกันเซี่ยวจื่ออวี้และคนอื่นๆ ต่างก็หันไปมองมู่เฟิงด้วยความสงสัย
“เ้าหนุ่ม เ้าชื่ออะไร?”
ชายแซ่ซุนเอ่ยปากถาม
มู่เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบว่า “เฟิงเย่ขอรับ”
“อายุเล่า?”
“สิบเจ็ดปีขอรับ!”
“วะ ว่าอย่างไรนะ สิบเจ็ดปี”
ชายแซ่ซุนรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย ในขณะที่จางเฉวียนตั้นเองก็ผงะไปเช่นกัน เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะอายุน้อยขนาดนี้
“เ้าหนุ่ม เ้าอายุแค่สิบเจ็ดปีเองงั้นหรือ ฮ่าๆ ๆ ๆ อายุเพียงสิบเจ็ดปีแต่กับคิดจะแข่งวิชาโอสถกับนักสลักลายเส้นโอสถขั้นสองอย่างข้า เ้าไม่คิดว่าตัวเองทำตัวโอ้อวดเกินไปหน่อยหรือ?”
จางเฉวียนตั้นหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดจาถากถาง
ชายแซ่ซุน เซี่ยวจื้ออวี้และคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างต่างก็ประหลาดใจเช่นกัน พวกเขาจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มผมขาวในทันที
“อย่างไรจางเฉวียนตั้นก็เป็ถึงปรมาจารย์โอสถขั้นสอง เ้าเด็กผู้นั้นอายุเพียงสิบเจ็ดปีแต่กลับกล้าท้าทายจางเฉวียนตั้นเช่นนี้ ช่างไม่จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ตอนนี้กระทั่งคุณสมบัติของนักสลักลายเส้นเขาก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มในชุดสีเหลืองที่อยู่ด้านหลังเซี่ยวจื่ออวี้อดไม่ได้ที่จะพูดจาดูถูกอีกฝ่าย
ดวงตาคู่สวยของเซี่ยวจื่ออวี้เหล่มองไปทางชายหนุ่มผู้นั้นเป็เชิงให้เขาเงียบปาก
“เอาละ ข้าลงทะเบียนชื่อของเ้าแล้ว เ้า้าจะทดสอบคุณสมบัติของปรมาจารย์โอสถใช่หรือไม่”
ชายแซ่ซุนเอ่ยถาม
มู่เฟิงพยักหน้า
“ช่างบังเอิญนัก เช่นนั้นเ้าและอวี้เอ๋อร์ของข้าก็สามารถเข้ารับการทดสอบพร้อมกันได้ พวกเ้าสองคนตามข้ามา”
ชายแซ่ซุนไม่ได้พูดอะไรมากมายนัก เขาเรียกเด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนไปยังเตาหลอมโอสถสีดำตรงหน้าทันที ในขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็ติดตามไปร่วมชมการทดสอบของพวกเขาด้วย
“เฟิงเย่ผู้นี้อายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น เขากลับคิดจะแข่งกับจางเฉวียนตั้น เขา้าให้ตระกูลของเราต้องสูญเงินหรืออย่างไร?”
“ถูกต้อง ข้าเองก็ไม่คิดว่าเขาจะอายุน้อยถึงเพียงนี้ นี่ท่านผู้นำตระกูลกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”
เหล่าลูกศิษย์ตระกูลมู่อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
มู่เฟิงและเซี่ยวจื่ออวี้พากันเดินไปยังเตาหลอมโอสถของตน จากนั้นชายแซ่ซุนก็กล่าวต่อว่า “สำหรับการทดสอบปรมาจารย์โอสถขั้นหนึ่งนั้น พวกเ้าต้องทำการหลอมโอสถขั้นหนึ่งที่แตกต่างกันออกมาสามประเภท สำหรับวัตถุดิบให้จัดเตรียมเอง ไม่จำกัดประเภทของสมุนไพร และมีเวลาให้พวกเ้าเพียงสามก้านธูปเท่านั้น”
หลังจากได้ยินดังนั้นแล้ว คนทั้งสองที่นั่งอยู่หน้าเตาหลอมโอสถ ก็เริ่มส่งพลังปราณเพลิงสีขาวออกมาเผาไหม้เตาหลอมของตนในทันที
หนึ่งในข้อกำหนดเบื้องต้นของปรมาจารย์โอสถคือต้องมีวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขึ้นไปเท่านั้น เพราะหากแม้แต่พลังปราณเพลิงก็ไม่สามารถใช้ออกมาได้ เช่นนั้นจะสามารถหลอมโอสถได้อย่างไร
มู่เฟิงส่งพลังปราณเพลิงไปยังด้านล่างของเตาหลอม เพื่อทำการอุ่นเตาก่อน จากนั้นเขาก็หยิบสมุนไพรออกมาและโยนเข้าไปในเตาหลอมทันที มันคือหญ้าห้ามเืหนึ่งต้น จากนั้นเขาก็โยนสมุนไพรเข้าไปอีกสองต้น
หลังจากโยนสมุนไพรทั้งสามลงไปในเตาหลอมแล้ว มู่เฟิงก็เริ่มทำการหลอมพวกมันทันที
เซี่ยวจื่ออวี้ที่ลอบมองมู่เฟิงมาั้แ่แรกนึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย โดยปกติแล้วการหลอมโอสถขั้นหนึ่งนั้นใช้สมุนไพรเพียงต้นเดียวเท่านั้น แต่มู่เฟิงกลับใส่ลงไปถึงสามต้น ไม่รู้ว่าเขา้าหลอมยาแบบใดออกมา จากนั้นเด็กสาวก็นำสมุนไพรของตนโยนลงไปในเตาหลอมหนึ่งต้น ก่อนจะเริ่มทำการหลอม
่เวลานั้น คนอื่นๆ ต่างก็กำลังเฝ้ามองพวกเขาจากระยะสิบเมตร หลายคนมองไปยังเด็กหนุ่มผมขาวด้วยสายตาเย้ยหยัน ราวกับ้าดูถูกในความโง่เขลาของเขา
มู่เฉินและคนอื่นๆ ในตระกูลมู่ต่างก็มารวมตัวกันอยู่นอกวงล้อม ในขณะเดียวกัน จางเฉวียนตั้นที่กำลังยืนกอดอกอยู่ด้านข้างลู่ชูเสวี่ยก็มองมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หน้าผากของเซี่ยวจื่ออวี้เริ่มมีหยดเหงื่อไหลซึมออกมาจากอุณหภูมิความร้อน เด็กสาวเริ่มลดอุณหภูมิของพลังปราณเพลิงในมือลง ในที่สุดโอสถของนางก็ค่อยๆ เป็รูปเป็ร่างขึ้นมาแล้ว
จากนั้นเด็กสาวก็นำมีดแกะสลักสีแดงออกมาก่อนจะนำมันไปดูดซึมแก่นหมึก มือข้างหนึ่งของนางคอยรักษาอุณหภูมิของไฟเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็วาดลายเส้นโอสถลงไปบนเตาหลอม ท่วงท่าการเคลื่อนไหวมือของนางเป็ไปอย่างลื่นไหลไร้ซึ่งการติดขัด เห็นได้ชัดว่าผ่านการฝึกฝนมาเป็อย่างดี
บนหน้าผากมนของนางยังคงมีเหงื่อผุดซึมออกมา แต่สมาธิของนางนั้นดีมาก ไม่ปล่อยให้ตนเองเสียจังหวะเลยแม้แต่น้อย
เพียงไม่นานการลงลายเส้นโอสถก็ประสบผลสำเร็จ ภายในเตาหลอมมีแสงส่องประกายออกมาแวบหนึ่ง ลายเส้นโอสถห่อหุ้มเม็ดยาเอาไว้ทันที และถือว่าการหลอมยาได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
“สำเร็จแล้ว!”
เซี่ยวจื่ออวี้เผยรอยยิ้มออกมา นางเคาะเตาหลอมโอสถหนึ่งครั้ง จากนั้นเม็ดยาสีแดงก็ลอยออกมา เด็กสาวรีบเก็บมันใส่ลงไปในขวดหยก
“เยี่ยมมาก! จื่ออวี้ทำได้ดีมาก"
“เป็ไปตามคาด สมกับเป็หลานสาวของจ้าววิหารเซี่ยว ข้าคิดว่านางต้องผ่านการทดสอบอย่างแน่นอน”
หลายคนต่างก็กล่าวขึ้นด้วยความชื่นชม
ในทางกลับกัน มู่เฟิงยังไม่ได้เริ่มวาดลายโอสถลงไปด้วยซ้ำ เพราะเขามัวแต่หลอมมันอยู่!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้