...ไม่กี่วันต่อมา อาหารหมักที่สือหลี่เซียงสั่งทำก็ผึ่งแดดเรียบร้อย ถือโอกาสที่อากาศแจ่มใส หูฉางหลินจึงพาเจินจูไปส่งสินค้าแต่เช้าตรู่
อาหารหมักสามร้อยชั่งอยู่ในตะกร้าไผ่สานใบใหญ่สองสามใบ ใช้หญ้าฟางคลุมอย่างดี วางไว้บนเกวียนวัว รวมกระต่ายกับไก่บ้านอย่างละสองตัวที่เจินจูเลือกไปให้กู้อู่ สิ่งของแน่นเต็มทั้งเกวียน เจินจูทำได้เพียงนั่งข้างขอบเกวียน คว้าราวจับไว้อย่างระมัดระวังป้องกันไม่ให้ตนเองตกลงไป
มีข้าวของเยอะเกินไป ที่บนเกวียนไม่เพียงพอ หวังซื่อจึงไม่ได้ตามมาด้วย นางวางใจพวกเขาทั้งสองคนมาก ราคาของอาหารหมักนี้นางได้คำนวณมาก่อนแล้ว แค่แจ้งให้ทั้งสองคนรับรู้ก็พอ หลานสาวเป็คนสุขุมและฉลาดเฉียบแหลม ควบคุมจิตใจให้สงบได้มากกว่านางนัก... ครั้งนี้ยังต้องไปส่งกระต่ายให้ฝูอันถังอีก เ้าของร้านหลิวของฝูอันถังนางก็เคยเจอะเจออยู่สองครั้ง จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
ขณะนี้หูฉางหลินเร่งเกวียนได้คล่องแคล่วมากแล้ว ลูกวัวเลี้ยงมาได้เดือนกว่าๆ รูปร่างกำยำล่ำสันไม่น้อย เจินจูยังเคยแอบให้ซังข้าวโพดที่อยู่ในมิติช่องว่างกับมันอยู่สองสามครั้ง ลูกวัวจึงสนิทสนมกับเจินจูอย่างมาก เห็นนางทีไรก็ร้องเสียงดัง “มอ...มอ” ตลอด
เจินจูใช้เวลาบนถนนให้เป็ประโยชน์โดยการนับผลกำไรของครั้งนี้ นอกจากหักค่าต้นทุนแล้ว จะหาเงินได้ราวๆ สามเหลียงกว่า กว่าจะได้กำไรนี้ยังช้าเกินไป หนึ่งฤดูหนาว คาดว่าจะหาเงินได้เพียงสิบกว่าเหลียงเศษ ชิ... ตนเองยังอยากหาเงินมากขึ้นอีกหน่อย เพื่อซื้อที่ดินปลูกบ้านหลังใหญ่อีกนะ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความหวังซะแล้ว
“เฮ้อ...” เจินจูเงยหน้าขึ้น มองขอบฟ้าด้วยความกลุ้มใจ
“ถึงแล้ว!”
หูฉางหลินร้องเสียงดังอย่างดีใจ พร้อมกับตีโลกในฝันของเจินจูให้แตกออก พอเงยหน้ามอง ก็เห็นประตูเมืองใกล้อยู่เบื้องหน้า
วันนี้ตรงกับวันตลาดนัดพอดี เกวียนในเมืองขวักไขว่ ผู้คนสัญจรไปมาคึกคัก หูฉางหลินหลบเลี่ยงผู้คนที่หลั่งไหลอยู่ด้วยความระวัง แล้วจูงเกวียนวัวเลี้ยวเข้าตรอก
ประตูหลังของสือหลี่เซียงเปิดออกกว้าง ลูกจ้างสองสามคนกำลังยุ่งอยู่กับการขนย้ายวัตถุดิบต่างๆ
“เร็ว เอาหน่อกระเทียมตะกร้าเล็กไปที่ห้องครัว กำลังรอใช้สิ่งนี้อยู่เลย!”
“เสี่ยวลิ่วผู้นั้น เอาผักกาดขาวตะกร้านี้ย้ายไปอุโมงค์ใต้ดินข้างหลัง”
เสียงกล่าวเ้าของร้านจางเฉียบขาดและหนักแน่นดังขึ้นเป็ระยะๆ ออกคำสั่งในการจัดวางวัตถุดิบให้เรียบร้อย
หูฉางหลินจูงเกวียนวัวหยุดอยู่หน้าประตู เจินจูะโลงมาพรวดเดียว ขยับเอวที่นั่งจนแข็งทื่อเล็กน้อย
“อ้าว! หลานชายสกุลหู ในที่สุดพวกเ้าก็มาเสียที ให้พวกเรารออยู่นานเลย!” พอเกวียนวัวหยุดลง เ้าของร้านจางก็มองเห็นด้วยสายตาแหลมคมทันที แล้วก้าวเร็วๆ มาข้างหน้าไม่กี่ก้าว คว้ามือของหูฉางหลินไปกุมไว้ ตบเบาๆ อย่างเป็กันเอง
“ทักทายท่านปู่เ้าของร้านเ้าค่ะ…” เจินจูะโออกมาด้วยรอยยิ้มหวานประดับขึ้น
“อ้าว เจินจูน้อย... ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน เ้าสวยขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย” เ้าของร้านจางมองแม่นางตัวน้อยที่สวมเสื้อหนาวมีซับในสีชมพูเข้มแบบสีลูกท้อ ใบหน้าเล็กหนึ่งดวงขับจนขาวผ่องและอ่อนโยน ั์ตาดำสุกสกาวราวกับหินหยกที่ทอประกายแวววาวก็ไม่ปาน เขากล่าวชื่นชมออกมาจากใจจริง
“ฮ่าๆ ท่านปู่เ้าของร้าน ท่านก็นับวันยิ่งดูแข็งแรงมีชีวิตชีวา ่นี้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองและเงินทองไหลมาเทมาแน่ๆ เลยใช่หรือไม่เ้าคะ!” เจินจูยิ้มแล้วตอบกลับ
“ฮ่าๆ น้อมรับคำมงคลของเ้า หมู่นี้การค้าขายไม่เลวจริงๆ นี่มิใช่ว่ากำลังรอพวกเ้าหรอกหรือ หากพวกเ้ายังไม่มาอีก ข้าก็คิดจะไปหาพวกเ้าที่หมู่บ้านแล้ว” เ้าของร้านจางมองไปที่ตะกร้าไผ่สานไม่กี่ใบบนเกวียนวัวด้วยแววตาเป็ประกาย อาหารหมักขายได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว พวกเขาแนะนำให้กับลูกค้าเก่าแก่ ท่าทางตอบรับโดยทั่วไปเป็ที่น่าพอใจนัก แล้วยังมีลูกค้ามากมายที่้าซื้อไปทานข้างนอกอีก น่าเสียดาย โรงเตี๊ยมพวกเขาที่มีเก็บไว้ในคลังไม่มาก ทำได้เพียงปฏิเสธปัดไปอย่างช่วยไม่ได้
การซื้อขายที่มาถึงมือตรงหน้า กลับไม่สามารถทำได้ เ้าของร้านจางก็ไม่รู้จะทำเช่นไรจริงๆ
นี่ยังเป็เพียงแค่ทดลองวางตลาดที่เมืองไท่ผิง หน้าร้านหลายแห่งในเมืองใกล้เคียงยังไม่มีสินค้าที่จะแนะนำให้ลูกค้าเก่าได้เลย
เจินจูอดยิ้มไม่ได้ ดูท่าแล้วอาหารหมักจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก ครอบครัวนางเปลืองแรงทำการหมักนานเช่นนี้ไม่เสียเปล่าเลย
หลังจากนั้นเื่ราวก็จัดการได้ง่ายดายแล้ว ชั่งน้ำหนักอาหารหมักที่เอามาส่งไป เงินที่คำนวนครั้งนี้ก็เรียบร้อย เนื้อตากแห้งหนึ่งร้อยชั่ง 2,800 เหวิน กุนเชียงสองร้อยชั่ง 6,000 เหวิน รวมกันแล้วก็เป็เงินแปดเหลียงแปดร้อยเหวิน
ยังมีเวลาอีกเดือนกว่าก็จะเข้าสู่ปลายปี ต้องเตรียมอาหารหมักให้มากพอก่อนเทศกาล ทุกปีสือหลี่เซียงล้วนตระเตรียมของขวัญปีใหม่แบบสั่งกลับบ้านทุกชนิด สินค้าที่ใช้ในงานฉลองปีใหม่จำพวก หมูย่าง ปลาทอด กระต่ายอบ... ปีนี้โรงเตี๊ยมพวกเขาตัดสินใจเพิ่มของใหม่อย่างลูกชิ้นปลาและอาหารหมักเข้าไปด้วย หลังจากนั้นค่อยขยายหน้าร้านตามเมืองข้างเคียงต่างๆ และยังต้องเริ่มเตรียมการเผยแพร่สินค้าอาหารประเภทหมักรูปแบบใหม่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนการทำเนื้อตากแห้งก็ต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเ้าของร้านจางกับเหนียนเสียงหลินปรึกษากันแล้ว จึงสั่งกุนเชียงหนึ่งพันชั่งกับเนื้อตากแห้งแปดร้อยชั่งในรวดเดียว
เมื่อหูฉางหลินได้ฟังสมองงุนงงไปพักหนึ่ง ใจนอ้างปากค้างอยู่ครึ่งค่อนวัน เช่นนี้ต้องใช้เนื้อมากเท่าไรกันนี่?
เจินจูก็ใเช่นกัน ใบสั่งสินค้าใหญ่มากเลยเชียวนะ! ในสมองคำนวณเปรียบเทียบอย่างรวดเร็ว อาหารหมักหนึ่งพันแปดร้อยชั่ง ้าใช้เนื้อประมาณสองพันหกร้อยชั่ง ใช้ราคาเนื้อหนึ่งชั่งสิบสามเหวินมาคำนวณ แค่เงินซื้อเนื้อหมูอย่างเดียวก็ตั้งสามสิบกว่าเหลียงแล้ว
เนื่องจากต้นทุนค่อนข้างสูง เจินจูจึงไตร่ตรองแล้วปรึกษากับทั้งสองคนว่าสามารถจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าก่อนหนึ่งส่วนได้หรือไม่ เหนียนเสียงหลินรู้ฐานะทางบ้านของสกุลหูอยู่เล็กน้อย จู่ๆ ก็ต้องซื้อเนื้อหมูมากมายเช่นนี้ จำเป็ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยเลย เขาจึงจ่ายเงินสดมัดจำล่วงหน้ายี่สิบเหลียง อย่างค่อนข้างใจกว้าง
รับเงินมัดจำมายี่สิบเหลียง ลงนามมัดจำกันเรียบร้อย จึงทำการนัดหมายว่าผ่านไปครึ่งเดือนจะนำอาหารหมักมาส่งก่อนหนึ่งรอบและที่เหลือก็จะทยอยตามมาเป็ชุดๆ เจินจูจูงหูฉางหลินที่ยังคงยืนตะลึงใจลอยอยู่เล็กน้อยให้เดินมา เมื่อกล่าวลาเหนียนเสียงหลินกับเ้าของร้านจางแล้ว จึงจูงเกวียนวัวเดินเข้าไปในตรอกอย่างช้าๆ
“เจิน... เจินจู เ้าของร้านจางเอากุนเชียงหนึ่งพันชั่งกับเนื้อตากแห้งแปดร้อยชั่งจริงหรือ?” หูฉางหลินยังไม่อยากเชื่ออยู่เล็กน้อย ต้องซื้อเนื้อเท่าไรจึงจะพอทำอาหารหมักหนึ่งพันแปดร้อยชั่งกัน!
“เ้าค่ะ ท่านลุง แต่ครั้งนี้คิดว่าพวกเราซื้อเนื้อเป็ก้อนๆ กลับไปตากแห้งน่าจะไม่ได้แล้ว” เจินจูพิจารณา
“ไม่ซื้อ? เช่นนั้นต้องทำเช่นไรกัน?” หูฉางหลินใจลอยไปเล็กน้อย ไม่ได้เลี้ยวโค้งไปชั่วขณะ
“ลองซื้อหมูทั้งตัวไปเชือดเองดีหรือไม่เ้าคะ ราคาหมูทั้งตัวเช่นนั้นน่าจะถูกลงได้เล็กน้อย พวกเราก็จะมีกำไรเพิ่มมากขึ้นด้วย” บ้านตนเองมีหมูอยู่สามตัวที่เกือบจะนำไปเชือดได้แล้วเช่นกัน คำนวณตามน้ำหนักของหมูหนึ่งตัวประมาณสองร้อยชั่ง รวมแล้วก็จะได้หกร้อยชั่ง ยังต้องตัดหัวหมู เครื่องในหมู กระดูกหมู อีกทั้งกีบหมูกับเืหมูออกไปอีก... โอ้ เหลือเนื้อที่นำมาใช้ได้หกเจ็ดส่วนก็นับว่าไม่เลวแล้ว พอคำนวณได้เช่นนี้ หมูสามตัวก็จะได้เนื้อประมาณสี่ร้อยชั่ง โอ้... พระพุทธองค์ เช่นนี่ต้องเชือดหมูเท่าไรถึงจะได้ตามใบสั่งสินค้าเนี่ย!
เจินจูหยุดฝีเท้าลง เก็บก้อนหินเล็กๆ จากข้างทางมา หันไปทางหูฉางหลินแล้วถามราคาของหมูหนึ่งตัวให้แน่ชัด แล้วจึงนั่งยองลงไปคำนวณบนพื้น
หูฉางหลินหยุดฝีเท้าลง ยืนอยู่ด้านข้าง มองเจินจูที่ขีดคำนวณเต็มพื้นด้วยความประหลาดใจ “จับหมูมาเชือดเองหรือ? เช่นนี้ก็ได้นะ เมื่อก่อนที่ปู่ของเ้ายังเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว พอใกล้สิ้นปีก็ออกไปหาเงินจากการฆ่าหมูอยู่หลายตัว ข้าก็ตามไปเชือดด้วยอยู่สองสามครั้ง ก็ไม่ยากนัก”
หากบ้านตนเองซื้อหมูมาเชือดเอง ก็สามารถประหยัดรายจ่ายลงไปได้ไม่น้อยจริงๆ
“เช่นนั้นมิใช่ว่าพอดีหรือ ท่านเชือดหมูได้ก็ประหยัดเงินที่ต้องจ้างคนมาเชือดหมูอีกด้วย ฮิๆ ท่านลุง เช่นนั้นทำไมท่านไม่รับจ้างเชือดหมูหาเงินต่อล่ะเ้าคะ?” เจินจูคุยไปด้วยคำนวณไปด้วย
“แต่ละหมู่บ้านล้วนมีคนที่เชือดหมูเฉพาะทางอยู่แล้ว ยกเว้นก่อนจะฉลองปีใหม่บางครั้งคนเ่าั้ก็ยุ่งจนไม่มีเวลาจึงมาจ้างผู้อื่นอีกที ส่วนเวลาอื่นมักจะขอให้คนในหมู่บ้านตัวเองเชือดหมูให้เท่านั้น” หูฉางกุ้ยกล่าวอธิบาย
“โอ้ เป็เช่นนี้” เจินจูขีดเขียนอยู่ครู่หนึ่ง คำนวณราคาเปรียบเทียบสองอย่างออกมาคร่าวๆ
แม้ว่าราคาเนื้อหมูทั้งสองแบบจะต่างกันไม่มาก แต่ปริมาณที่ได้เมื่อเทียบกันแล้วต่างกันมากอย่างทาบไม่ติดเลย หมูหนึ่งตัวประหยัดได้หลายสิบเหวิน สิบตัวก็หลายร้อยเหวิน หากเชือดหมูเองยังเหลือวัตถุดิบเล็กๆ น้อยๆ อย่างหัว กีบ กระดูกและเครื่องในต่างๆ ของหมูอีก ทว่าหัวหมูกับกีบหมูยังสามารถทำการหมักตากแห้งได้ ส่วนกระดูก เครื่องในและเืหมูจะทำเช่นไร? ครอบครัวตนเองทานทั้งหมดก็คงไม่ไหวกระมัง?
เฮ้อ ปวดหัว ช่างเถิด... กลับไปแล้วค่อยปรึกษากับท่านย่าเสียหน่อย ดูว่าจะทำอย่างไรดีกว่ากัน
ยกเท้าปัดตัวเลขบนพื้นทิ้ง แม้คนอื่นจะมองไม่เข้าใจ แต่ไม่กลัวหนึ่งพันก็กลัวพันหนึ่ง [1] ระวังไว้หน่อยดีกว่า
สองคนพูดคุยกัน เดินมาถึงบนถนนทางทิศใต้ ห้องโถงใหญ่ในฝูอันถังที่กว้างขวางเด่นสง่าก็อยู่ใกล้ตรงหน้า คิดขึ้นได้ว่าในตะกร้าไผ่สานยังมีกระต่ายและไก่อย่างละสองตัวอยู่บนเกวียน “ท่านลุง พวกเราเอากระต่ายกับไก่บ้านไปมอบให้เ้าของร้านหลิวก่อนนะเ้าคะ และอีกเดี๋ยวค่อยไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาดกัน”
หูฉางหลินตกลงทันที จูงวัวไปถึงมุมหนึ่งหน้าประตูฝูอันถัง
เจินจูชำเลืองมองเข้าไปด้านใน เ้าของร้านหลิวกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะคิดเงิน พูดคุยยุ่งอยู่กับผู้คน ลูกจ้างที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กำลังชั่งเครื่องปรุงยาจีนด้วยความเร่งรีบ
เจินจูให้หูฉางหลินยกตะกร้าไผ่สานที่ใส่กระต่ายกับไก่บ้านออกมา และกำลังครุ่นคิดว่าจะแบกเข้าไปตรงๆ เลยดีหรือไม่ ทันใดนั้นเ้าของร้านหลิวก็เห็นพวกเขาด้วยสายตาแหลมคม
“แม่นางหู พวกเ้ามาแล้ว เชิญเลยรีบเข้ามาเถิด” เ้าของร้านหลิวออกมาจากโต๊ะคิดเงินทันทีทันใด เดินเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ทักทายเ้าของร้านหลิวเ้าค่ะ พวกข้าไม่เข้าไปรบกวนพวกท่านหรอก วันนี้แค่มาส่งกระต่ายให้คุณชายของพวกท่านเท่านั้น” เจินจูปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ใบรายการแผ่นใหญ่ของสือหลี่เซียงยังรอให้รีบจัดการอยู่เลย จะมีเวลาว่างมาหยุดอยู่ที่นี่ได้ที่ไหนกันเล่า
“ไอ๊หยา มาถึงหน้าประตูแล้ว ไม่เข้ามาดื่มชาสักถ้วยจะได้อย่างไร คุณชายจะตำหนิข้าว่าเฉยเมยต่อแขกได้ ไม่ได้ พวกเ้าต้องเข้ามานั่งสักหน่อย ...นั่นน่ะ เสี่ยวเฉียง มาเอาเกวียนวัวไปผูกไว้ให้ดี ...น้องชายหู เข้ามาในห้องดื่มชาสักหน่อยค่อยว่ากัน” หลิวผิงจับแขนหูฉางหลินไว้ แล้วดึงเข้าไปด้านในอย่างไม่ฟังคำอธิบายใดๆ
“…”
เจินจูมองหูฉางหลินที่ถูกดึงเข้าไป ใบหน้าหมดคำพูด ทำได้เพียงหิ้วตะกร้าแล้วเดินตามเข้าไป
“มาๆ อากาศหนาวมาก ดื่มชาร้อนๆ ก่อน อบอุ่นร่างกาย” หลิวผิงยื่นถ้วยชาไปให้อย่างเอาใจใส่ ใบหน้ายิ้มแย้มกระตือรือร้นอย่างจริงใจ
“ขอบคุณเ้าค่ะ เ้าของร้านหลิว” เจินจูยิ้มแล้วรับมา ยกฝาปิดถ้วยชาให้แย้มออก เป่าเบาๆ ค่อยๆ ดื่มชาลงไป
หูฉางหลินมีประสบการณ์จากครั้งที่แล้วจึงมีสติมากขึ้น เลียนแบบอากัปกิริยาของเจินจู ดื่มชาลงไปอย่างผ่อนคลาย
“แม่นางหูได้รับข่าวสารไวจริงๆ ทราบได้อย่างแม่นยำว่ากระต่ายของคุณชายข้าทานหมดแล้ว ข้ากำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะวิ่งไปบ้านเ้าสักหนึ่งรอบอยู่พอดี! แต่เ้าก็มาส่งด้วยตัวเองแล้ว” หลิวผิงยิ้ม
“พวกเราเดินทางเข้าเมืองมาพอดี ก็เลยมาส่งให้ท่านด้วยเลยเ้าค่ะ”
“โอ้ ถือโอกาสเอามาด้วยนี่เอง เช่นนั้นวันนี้ออกมาเป็พิเศษเพื่อ…”
“เพื่อนำอาหารหมักที่สือหลี่เซียงสั่งจองไว้มาส่งเ้าค่ะ” เจินจูไม่ได้ปิดบัง รอให้สือหลี่เซียงเปิดตัวอาหารหมักประเภทใหม่ เ้าของร้านหลิวก็น่าจะรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเป็ครอบครัวของนางจำหน่ายให้กับสือหลี่เซียง
“อาหารหมัก? อ๋า ครั้งก่อนไปสือหลี่เซียง อาหารหมักสินค้าใหม่ที่เหนียนเสียงหลินแนะนำ เป็ครอบครัวเ้าทำขึ้นนี่เอง!” หลิวผิงประหลาดใจมาก แม้ครอบครัวสกุลหูจะดูยากจน ทว่ามักมีเื่แปลกๆ อยู่เสมอ
“ใช่แล้วเ้าค่ะ เ้าของร้านหลิวทานแล้วรู้สึกว่ารสชาติดีหรือไม่เ้าคะ?” เจินจูกล่าวถาม ถือโอกาสทำการสำรวจตลาดไปด้วย
“รสชาติดีมาก ทานเข้าไปแล้วเนื้อหอมทั่วปาก เหมาะทานเป็กับข้าวนัก คิดไม่ถึงเลยจริงๆ บ้านพวกเ้าจะทำของแปรรูปได้พิเศษมาก!” หลิวผิงนึกย้อนถึงรสชาติตอนนั้นขึ้นมา จึงเอ่ยชมไม่ขาดสาย
เมื่ออาหารหมักของบ้านตนเองได้รับการยืนยันเช่นนี้ เจินจูจึงอารมณ์ดีขึ้นมาก หลังจากคุยเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่ง นางจึงเปิดปากถาม “ไก่บ้านที่ให้พวกท่านครั้งก่อน คุณชายของพวกท่านทานไปแล้วหรือยังเ้าคะ?
เชิงอรรถ
[1] แต่ไม่กลัวหนึ่งพันก็กลัวพันหนึ่ง หมายความว่า ดำรงอยู่ในความไม่ประมาท