ภายในตำหนักเชียนชิว มีเสียงร้องโหยหวนดังก้องอย่างต่อเนื่อง
“โบย! สั่งสอนให้พวกบ่าวชั้นต่ำที่ไม่รู้จักรักษากฎระเบียบเสียให้เข็ด!”
“องค์หญิงยังไม่ทันเข้าพิธีอภิเษกสมรส บ่าวรับใช้อย่างพวกเ้าไม่ดูแลปรนนิบัติให้ดี แถมปล่อยให้องค์หญิงออกนอกวังตามอำเภอใจอีก หากเกิดอะไรขึ้น พวกเ้าจะรับผิดชอบไหวงั้นหรือ?!”
“องค์หญิงเสด็จกลับวังเมื่อใดค่อยหยุดโบย พวกเ้าจงภาวนาให้องค์หญิงเสด็จกลับมาก่อนที่พวกเ้าจะสิ้นลมเถอะ!”
ฉู่มามากล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงโอหัง ประสานกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังไม่หยุดหย่อน นางทำหน้าหยิ่งยโสราวกับเป็คนใหญ่คนโตในวังอย่างไรอย่างนั้น เมื่อพูดจบนางหันหลังกลับไปพบกับคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงประตูตำหนักั้แ่เมื่อใด
กลุ่มนั้นนำโดยหญิงสาวรูปร่างงามระหง ในชุดกระโปรงผ้าแพรตัวบางสีแดงแซมด้วยลวดลายสีดำทอง นางชายตามองด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งเสมือนดอกพลับพลึงสีแดง[1]ที่เบ่งบานในปรโลก ช่างงดงามสูงส่งและน่าหลงใหลจนมิอาจเอื้อม
ชายหนุ่มที่เคียงข้างนาง เหมือนดั่งดอกไม้์ที่เบ่งบานอย่างองอาจ ท่ามกลางหิมะโปรยปรายในฤดูใบไม้ผลิบนสรวง์ชั้นเก้า หากแต่ดอกไม้นั้นช่างดูรางเลือน เพราะถูกเมฆหมอกมาบดบัง ครั้นยามทั้งสองยืนคู่กันก็ประหนึ่งจันทราเคียงตะวันที่เปล่งประกายจนมิอาจมองตรงๆ ได้
“เถาเชียง ต้านเสวี่ย!” ไม่รอให้ฉู่มามาได้ทันตั้งตัว เสียงเย็นน่าเกรงขามของหญิงสาวก็ดังขึ้น “จัดการ!”
เงาของคนสองคนพุ่งตัวออกไปจากหลังของนางไปเผชิญหน้ากับฉู่มามา การเคลื่อนไหวนั้นช่างว่องไวราวกับลิงก็ไม่ปาน เซียวเจวี๋ยส่งสายตาให้หลิงเฟิง ซึ่งหลิงเฟิงเองก็รีบตามไปทันที
สีหน้าของฉู่มามาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คำว่า “บังอาจ” ยังไม่ทันหลุดออกจากปาก ก็โดนหมัดของเถาเชียงโถมเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง
“ฏ! คนตำหนักเชียนชิวคิดจะก่อฏ ใครก็ได้รีบเข้ามาเดี๋ยวนี้”
ไม่กี่นาทีก่อน ฉู่มามายังชี้นิ้วด่าทอผู้อื่นอยู่เลย มาตอนนี้กลับกลายเป็ฝ่ายที่ถูกทุบตี จนต้องกุมหัววิ่งหนีจ้าละหวั่น
เหล่าองครักษ์ด้านนอกได้ยินเสียงเอะอะในตำหนักก็รีบบุกเข้ามา โดยมีขันทีเป็คนวิ่งนำเข้ามา พลางออกคำสั่งอย่างรีบเร่ง
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เถาเซียง ต้านเสวี่ย และหลิงเฟิงที่กำลังได้เปรียบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย
“บังอาจ นี่คือรับสั่งของไทเฮา[2] พวกเ้าคิดจะไม่ทำตามงั้นหรือ?!”
ไทเฮา? ไหนว่าครั้งนี้จะมีแค่ฮองเฮาที่เสด็จมามิใช่หรือ?
หลิงเฟิงหันไปมองชิงอี
แปะ แปะ
ด้วยเสียงตบมือที่ดังขึ้นสองครั้ง ทำให้สายตาของทุกคนมองมายังทิศทางของเสียง ก็พบร่างอรชรในชุดสีแดงเดินอย่างอ้อยอิ่ง แลดูหยิ่งยโสและน่าหลงใหล ท่าทางที่ดูสูงศักดิ์และสง่างาม ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตา
“กลับมาได้แล้ว” ชิงอีปรบมือพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อย่าให้เืโสมมของพวกบ่าวชั้นต่ำนี่แปดเปื้อนตำหนักข้า”
พวกเถาเชียงได้ยินดังนั้นถึงได้วางมือ
ขันทีที่นำรับสั่งมากราบทูลถึงกับถอนใจอย่างโล่งอก และมองชิงอีด้วยสายตาแปลกๆ พลันมองไปยังเซียวเจวี๋ยที่อยู่ข้างนางแล้วก็มีสีหน้ากังวลขึ้นมา
“องค์หญิงใหญ่ ไทเฮาทรงประทับอยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ พระองค์รีบตามกระหม่อมไปถวายพระพรเถิดพ่ะย่ะค่ะ” คงเป็เพราะเซียวเจวี๋ยวอยู่ด้วย ทำให้ขันทีผู้นี้พูดจาอย่างระมัดระวัง
สีหน้าของชิงอียังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตอบแค่อืมแล้วเดินตามเข้าไป
ขันทีที่เห็นเซียวเจวี๋ยเดินตามนางมาด้วยก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับ้าขัดขวาง ทว่า แค่ฝ่ายตรงข้ามตวัดสายตามองเพียงชั่วครู่ ขันทีก็ใจนตัวสั่น ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
บรรยากาศภายในตำหนักเชียนชิวค่อนข้างตึงเครียด
มีร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งตำแหน่งสูงสุด คนคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อคลุมผ้าแพรสีน้ำเงินสด กระดุมประดับด้วยไข่มุกและหินลาซูไลต์สีน้ำเงินเขียว ชายเสื้อมีลวดลายรูปหงส์ที่ปักด้วยด้ายทอง ช่างหรูหราและสง่างามจนไม่กล้ามอง
ปีนี้ไทเฮาก็อายุเจ็ดสิบแล้ว เส้นผมจึงแปรเปลี่ยนเป็สีขาว พระนางหลับพระเนตรโดยไม่มีทีท่าว่าจะลืมขึ้นมาแม้แต่น้อย ในระหว่างที่นางกำนัลคนสนิทคอยนวดกดตามจุดต่างๆ ให้
ด้านซ้ายของพระนางยังมีอีกคนนั่งอยู่ คนผู้นั้นสวมชุดลายหงส์พร้อมกับมงกุฎหงส์ นั่นคือฮองเฮาตู้ที่กำลังส่งรอยยิ้มแลดูอ่อนโยนมีเมตตา แม้นางอายุสี่สิบแล้ว แต่เพราะบำรุงดูแลเป็อย่างดี ทำให้เส้นผมยังคงดกดำสละสลวย บวกกับนางขึ้นเป็ฮองเฮามาหลายปี จึงมีรัศมีความสูงส่งและสง่างามที่ไม่ธรรมดา
ถึงกระนั้น ตรงหว่างคิ้วของนางกลับแฝงความชั่วร้าย ทั้งยังมีริ้วรอยบนใบหน้า และตรงตาขาวกลับเปลี่ยนเป็สีดำเล็กน้อยแสดงถึงบาปมากมายที่นางได้ก่อไว้รอวันได้รับผลกรรม เพียงแค่สิ่งเหล่านี้คนรอบข้างมองไม่เห็นเท่านั้นเอง
หลังจากที่ชิงอีและเซียวเจวี๋ยเข้ามาก็ถูกสายพระเนตรของพระนางจับจ้องตลอด วินาทีที่เห็นร่างของเซียวเจวี๋ย แววพระเนตรของพระนางก็ไหววูบครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็ปกติอย่างรวดเร็ว พระนางแย้มพระสรวลบางๆ ราวกับมารดาผู้มีพระเมตตาแล้วเป็ฝ่ายลุกไปหาชิงอี
ชิงอีเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เพื่อหลบพระหัตถ์ที่เตรียมจะยื่นเข้ามาหา แล้วเดินทอดน่องผ่านพระนางไปข้างหน้า เพื่อทำความเคารพไทเฮาพร้อมเซียวเจวี๋ย “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา”
ฮองเฮาตู้ที่ถูกเมินนั้น ดวงเนตรคู่สวยสั่นน้อยๆ แต่ทรงไม่แสดงอาการพิโรธออกมา ทำเพียงทรงยืนอยู่อย่างสงบ และแย้มพระโอษฐ์อย่างหม่นหมอง ถือว่าพระนางทรงเล่นบทฮองเฮา ผู้มีพระเมตตาได้เป็อย่างดี
ราวกับเพราะได้ยินเสียงของเซียวเจวี๋ย ดวงเนตรคู่งามของไทเฮาที่ปิดอยู่ค่อยๆ ปรือขึ้นมาทอดพระเนตรทั้งสองคนก่อนจะปิดลงอีกครั้งอย่างเบื่อหน่าย “เซ่อเจิ้งอ๋องก็เข้าวังด้วยหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“มิน่าเล่า ถึงได้อาจหาญมายุ่งกับคนของข้า ที่แท้เพราะมีเซ่อเจิ้งอ๋องคอยหนุนหลังให้นี่เอง ถึงได้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด”
“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเจวี๋ยที่ยกมือซ้ายขึ้นและกุมกำปั้นขวาคารวะตอบกลับเสียงเรียบ ดูแล้วเหมือนเขากำลังก้มหัวให้ แต่แผ่นหลังของเขายังคงยืดตรงตลอด แม้ไม่มีทีท่าหยิ่งยโส กระนั้นก็มิได้อ่อนข้อให้
ด้านชิงอีเอียงคอมองเซียวเจวี๋ย จู่ๆ เขาก็หันหน้ามามองนาง แล้วทั้งสองคนก็สบตากัน
เซียวเจวี๋ยยกยิ้มมุมปากและส่งสายตาหยอกล้อน้อยๆ
คำตรัสของไทเฮานั้นจงใจตรัสกับชิงอีชัดๆ แต่นางกลับกอดอกมองดูอย่างสบายอารมณ์ ราวกับไม่ได้ยินเื่เมื่อครู่
ภายในตำหนักเงียบสงัด ไทเฮาส่งเสียงฮึ่มอย่างไม่พอใจ แล้วลืมพระเนตรขึ้นมาจ้องชิงอีอย่างเ็า
“เดี๋ยวนี้องค์หญิงใหญ่ชักจะเหิมเกริมขึ้นทุกที ขนาดคำถามของข้าก็ยังกล้าเมิน!”
สีหน้าของชิงอียังคงเหมือนเดิมพลางกล่าวตอบเสียงเรียบ “เมื่อครู่เสด็จย่าพูดกับหม่อมฉันหรือเพคะ? หม่อมฉันนึกว่าเสด็จย่าทรงสั่งสอนเซียวเจวี๋ยอยู่เสียอีก”
ดวงเนตรของไทเฮาวาวโรจน์ขึ้น ขณะจับจ้องนางด้วยสายพระเนตรคมกริบ
“องค์หญิงใหญ่” ฮองเฮาตู้ที่ทรงยืนอยู่ข้างๆ พระพักตร์แลดูวิตก และทรงคุกเข่าขอขมาไทเฮา “ขอเสด็จแม่โปรดอย่าทรงพิโรธเลยเพคะ องค์หญิงใหญ่อายุยังน้อย คงไม่ได้มีเจตนาจะโต้เถียงเสด็จแม่ โปรดอย่าทรงต่อว่านางเลยเพคะ”
“ฮองเฮา!” ไทเฮาพระเนตรพระนางด้วยพระพักตร์ที่เคร่งขรึม “ข้ารู้ว่าเ้ามีจิตใจเมตตา แต่ตอนนี้ฮ่องเต้กำลังประชวรหนัก เ้าเป็ผู้ดูแลเหล่านางในทั้งหมดก็จำต้องจัดการให้เด็ดขาด องค์หญิงใหญ่ไม่สนกฎของวังหลวง และแอบออกไปพบผู้ชายนอกวัง ทั้งยังเถียงข้า อย่างไรเสีย การกระทำขององค์หญิงเป็โทษสถานหนักนัก อย่างไรก็ต้องถูกลงโทษ!”
“เสด็จแม่ หากเป็เมื่อก่อนชิงอีไม่มีทางที่จะทำตัวอกตัญญูเช่นนี้แน่เพคะ ครั้งนี้โปรดทรงให้อภัยด้วยเถิดเพคะ”
“เ้าก็พูดเองนี่ว่านั่นมันเมื่อก่อน!” ดวงเนตรของไทเฮายังคงเต็มไปด้วยความโกรธ “วังหลังเคยมีระบบระเบียบ ดูตอนนี้สิกลายเป็อะไรก็ไม่รู้?! ในเมื่อตอนนี้พวกเ้าทุกคนก็อยู่ที่นี่ งั้นข้าจะถามพวกเ้าให้รู้ความเลยแล้วกัน ว่าสาเหตุการตายของตู้ิเยวี่ยกับนางกำนัลเสาเหย้าในวังคืออะไร?!”
ฮองเฮาตู้ได้ยินเช่นนั้นดวงเนตรก็แดงก่ำ ก่อนจะกันแสงออกมาด้วยความโศกเศร้าและปิดพระพักตร์ พลางตรัสว่า “เื่นี้หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบเพคะ เสด็จแม่โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วย ิเยวี่ยประพฤติดีมาตลอด ไม่มีทางที่จะมีความสัมพันธ์กับนางกำนัลตามข่าวลือนั่นเด็ดขาด อีกทั้งที่ว่าจบชีวิต เพราะความรักนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เื่นี้ต้องเป็การใส่ร้ายแน่เพคะ”
ไทเฮามีสีพระพักตร์เคร่งขรึมมองไปยังเซียวเจวี๋ย “เซ่อเจิ่งอ๋อง ข้าได้ข่าวว่าท่านนำศพของตู้ิเยวี่ยกับนางกำนัลคนนั้นไป เื่นี้เกี่ยวโยงกับขุนนางในราชสำนักกับชื่อเสียงของวังหลัง ท่านเองก็สืบคดีมานานแล้ว รู้อะไรบ้างหรือยัง?”
“ดูจากผลการพิสูจน์ศพและที่เกิดเหตุแล้ว ร่างกายของตู้ิเยวี่ยกับเสาเหย้าไม่พบาแภายนอก อีกทั้งที่เกิดเหตุก็ไม่พบบุคคลคนที่สาม มีความเป็ไปได้ที่จะถูกคนสังหารค่อนข้างต่ำพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเจวี๋ยตอบด้วยท่าทีสงบ
“เป็ไปไม่ได้” ฮองเฮาตู้รีบแย้งทันที แวบหนึ่งดวงเนตรของพระนางนั้นเย็นะเื ทว่า มีสีพระพักตร์ยังคงเศร้าโศกเหมือนเดิม “อยู่ดีๆ สองคนนั้นจะฆ่าตัวตายได้อย่างไร? เซ่อเจิ้งอ๋องกล่าวว่าไม่มีบุคคลที่สามอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่เมื่อวานที่ตำหนักเชียนชิวไม่ได้กล่าวไว้เช่นนี้นี่!”
หลังจากฮองเฮาตู้ตรัสจบก็ทอดพระเนตรไปยังชิงอี “องค์หญิงใหญ่ ได้ข่าวว่าคืนที่เกิดเื่กับิเยวี่ย เ้าก็อยู่ที่ศาลาชุนชิวด้วยนี่ ในคืนนั้นเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่? ปกติเ้าสนิทสนมกับิเยวี่ยมาก ทำไมเ้าถึงทนมองเขาตายจากไปอย่างไม่เป็ธรรมได้?”
พระนางยังทรงจับจ้องชิงอีโดยไม่ถอนสายพระเนตรไปที่ใด ส่วนถ้อยคำที่ฮองเฮาตู้เอื้อนโอฐออกมานั้น ช่างเศร้าสร้อยและทุกคำล้วนเสียดแทงหัวใจ ทว่า ความนัยของสิ่งที่ตรัสออกมานั้นเป็การเผยความสัมพันธ์ของตู้ิเยวี่ยกับชิงอี ช่างเป็วิธีที่น่ารังเกียจนัก
ดวงตาคู่สวยของชิงอีชายตามองพระนางและกราบทูลด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “สนิทสนมมาก? ตู้ิเยวี่ยมีสิทธิ์อะไรมาสนิทสนมกับองค์หญิงอย่างข้า? ข้ายังไม่ทันอภิเษกสมรส ท่านเป็ถึงฮองเฮา แต่ทรงกลับกล่าวหาว่าข้าสนิทชิดเชื้อกับหลานชายท่าน นี่ท่านทรงมีเจตนาอะไรกันแน่?”
*****************************
[1] ดอกพลับพลึงสีแดงหรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ดอกไม้คนตาย’ หรือ ‘ดอกไม้นรก’ เป็ดอกไม้ที่คนญี่ปุ่นในอดีตนิยมปลูกรอบๆ หลุมศพเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ต่างๆ มาทำลายหลุมศพ เพราะดอกไม้นี้มีพิษจึงกลายเป็ที่รู้กันว่าคือดอกไม้ที่อยู่คู่กับหลุมศพ
[2] ไทเฮา หมายถึง พระมารดาของฮ่องเต้หรือฮองเฮาพระองค์ก่อน หากเทียบของไทยคือตำแหน่งสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง