“เคล็ดวิชาของเ้ามีนามว่า ‘วัฏสงสาร’”
ภายในห้องลับ ไป๋เสียทิ้งตัวนั่งกับพื้น ไม่เอ่ยวาจาใดๆ อยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแ่เบา
“พอจะอธิบายได้ว่าเคล็ดวิชาจะทำงานเมื่อเ้าใกล้ตาย ิญญาจะถูกส่งกลับไปยัง่เวลาหนึ่งในอดีตเพื่อเกิดใหม่” ไป๋เสียใช้ปลายนิ้วแตะคางครุ่นคิด “ข้าคิดมาเสมอว่าเคล็ดวิชานี้เป็เพียงตำนาน ไม่นึกว่าจะมีอยู่จริง”
“จำนวนโคมิญญาน่าจะกำหนดจำนวนครั้งที่เ้าสามารถกลับชาติได้” ไป๋เสียเหลือบมองโคมิญญาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่ายังคงมืดมิด จึงกล่าวต่อ “ครั้งหน้าหากเ้าพบกับภัยอันตราย คงต้องพบเจอกับความตายที่แท้จริง”
“เช่นนั้น...เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนไม่มีเคล็ดวิชา”
ไป๋เสียส่ายหน้า “ผิดแล้วเ้าหนู นี่ต่างเป็ข้อดีที่สุดของเคล็ดวิชาเ้า”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร!” ลู่เต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว “หากข้าปลุกเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้ เสี่ยวอวี่ก็คงไม่ตาย...”
ไป๋เสียตอบอย่างใจเย็น “ไม่ใช่ ตามเส้นเวลาตอนนี้เ้ายังไม่รู้จักเด็กสาวคนนั้น ดังนั้นตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่”
ลู่เต้าครุ่นคิดอย่างละเอียดก็พบว่ามีเหตุผล รีบร้อนหันหลังกลับเพื่อไปหากู่เสี่ยวอวี่ ไป๋เสียไม่ได้ขัดขวาง เพียงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เ้าลืมไปแล้วหรือว่าในชาติที่แล้ว เ้าตายอย่างไร”
“แต่...ค่ายของเสี่ยวอวี่กำลังจะถูกผู้ควบคุมิญญาโจมตี!” ลู่เต้าเอ่ยอย่างร้อนใจ “ตอนนี้ยังทันที่จะหยุดยั้งหายนะได้! ท่านกลับอยากให้ข้ายืนดูเฉยๆ หรือ”
“เ้า...โง่!” ไป๋เสียขมวดคิ้ว “ผู้ควบคุมิญญาสองคนนั้นต้องเห็นว่าเ้าสนิทสนมกับเด็กสาวคนนั้น พวกมันจึงลงมือ เป้าหมายคือใช้นางมาล่อเ้าเข้าไปในค่ายกล ไม่นึกว่าเ้าจะโง่เขลานึกเล่ห์กลของมันไม่ออก”
“หากเ้า้าช่วยเด็กสาวคนนั้น วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าไปยุ่งเกี่ยวกับนางก่อนจะจัดการผู้ควบคุมิญญาสองคนนั้นได้” ไป๋เสียกล่าวเสริม
ลู่เต้าไตร่ตรองดูแล้วก็พบว่าคำพูดของไป๋เสียเข้าท่า จึงนั่งลงตรงหน้าไป๋เสียอีกครั้ง
“ถึงแม้ข้าจะไม่ไปหาเสี่ยวอวี่ แล้วผู้ควบคุมิญญาสองคนนั้นเล่า จะปล่อยมันไปงั้นหรือ” ลู่เต้าบ่นพึมพำ
ไป๋เสียกล่าวอย่างไม่แยแส “สองคนนั้นปล่อยไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก่อนจะจัดการมัน มีเื่สำคัญกว่าที่ต้องทำ!”
“สุนัขของข้า!” เขาทำหน้าเคร่งขรึม จ้องลู่เต้าด้วยสายตาเย็นเยียบ “ในชาติที่แล้ว เ้าพบร่องรอยของมันหรือไม่”
ลู่เต้าที่ใจนตัวแข็งรีบตอบ “พะ...พบแล้ว ท่านบอกว่าพบร่องรอยของมันที่อีกฟากหนึ่งของูเา”
“หึ สมกับเป็ข้า” ไป๋เสียคุยโว “ไม่ว่าเวลาใด ‘ข้า’ ก็คือคนที่พึ่งพาได้มากที่สุด”
ไป๋เสียเห็นลู่เต้ายังไม่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของพลังวัฏสงสารก็ถามต่อ “ยังไม่เข้าใจอีกหรือเ้าหนู”
ลู่เต้าส่ายหน้า
ไป๋เสียถามต่อ “ตอนนี้ให้เ้าไปสู้กับผู้ควบคุมิญญาคนนั้นอีกครั้ง เ้ามั่นใจหรือไม่ว่าสามารถเอาชนะมันได้”
"แน่นอน!" ลู่เต้าตอบรับทันที "ขอแค่ไม่เหยียบค่ายกลโลหิต เขาก็ไม่น่ากลัวอะไร!"
ภาพใบหน้าดุร้ายของจู้หลงกลับมาฉายซ้อนในมโนสำนึก ลู่เต้ากำหมัดแน่นจนกระดูกส่งเสียงลั่น
"ถูกต้อง นั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในพลังของเ้า" ไป๋เสียกล่าวต่อ "เ้าที่ล่วงรู้ถึงอนาคต สามารถพลิกสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในวัฏจักรก่อน และค้นหาความเป็ไปได้ใหม่"
ลู่เต้าพลันเข้าใจ "จริงด้วย! ขอแค่ไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิม อนาคตก็เปลี่ยนแปลงได้แล้ว!"
จากนั้นลู่เต้าก็เอ่ยถามอย่างร้อนใจ "แล้วต่อไปต้องทำอย่างไรเล่า”
ไป๋เสียเผยรอยยิ้มจางๆ "ไปหาหมาให้ข้า"
ลู่เต้าแทบจะกลอกตาไปข้างหลัง เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมไป๋เสียถึงยึดติดกับหมาตัวนั้นนัก แต่เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม ลู่เต้าจึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งแต่โดยดี
***
จู้หลงกับจางเฟิงที่ซุ่มอยู่ด้านนอกน้ำตกเห็นว่าลู่เต้าหายไปนาน จู้หลงจึงคิดจะฉวยโอกาสนี้วางค่ายกลโลหิตตรงทางเข้า ลู่เต้าก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำตกด้วยร่างกายเปียกโชกพอดิบพอดี ทั้งยังแบกสัมภาระขึ้นมาจากฝั่งอย่างทุลักทุเล
"นี่ แสร้งทำเป็ตัวสวะกว่านี้อีกหน่อยสิ!" ไป๋เสียกระซิบเตือนข้างหู
"แฮ่ก!" ลู่เต้าทำได้เพียงทำตามคำสั่งของไป๋เสีย แสร้งทำท่าทางอ่อนแอ "หนาว... หนาวจัง... ถ้า... ถ้าตอนนี้..."
ลู่เต้าจงใจพูดประโยคหลังเสียงดังให้ผู้ควบคุมิญญาที่แอบอยู่ได้ยิน
"ถ้าตอนนี้มีใครคิดจะลอบโจมตีข้า ข้าคงตายแน่ๆ"
"เสแสร้งเกินไปลู่เต้า เสแสร้งเกินไป" ไป๋เสียมองลู่เต้าด้วยสายตาละเหี่ยใจ ก่อนจะพูดว่า "เสแสร้งจริงๆ"
"รู้น่า! ไม่เห็นต้องพูดซ้ำตั้งหลายรอบ!" ลู่เต้าหน้าแดงก่ำ
จู้หลงเห็นท่าทางโง่งมของลู่เต้าก็รู้สึกยินดี หันไปถามจางเฟิง "เ้ากับเว่ยตงแพ้เด็กโง่นี่จริงๆ งั้นหรือ”
ถึงแม้จางเฟิงจะไม่ยอมรับ แต่ในเมื่อเชิญจู้หลงมาช่วยแล้ว จึงทำได้เพียงยอมรับแต่โดยดี ทว่าในใจรู้สึกอธิบายไม่ถูก
"ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าหลังเ้าเด็กนี่ออกมาจากน้ำตกก็แปลกๆ ไป" จางเฟิงคิดในใจ
ลู่เต้าเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปอีกฟากของูเาซึ่งต่างจากวัฏจักรที่แล้ว จู้หลงและคนอื่นๆ เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป
ยิ่งลึกเข้าไปในเขาด้านตะวันตก ต้นไม้ยิ่งเบาบางลง สุดท้ายรอบๆ ก็มีเพียงโขดหินโล่งเตียน ไร้ซึ่งต้นหญ้า ลู่เต้าพบว่ามีโขดหินน้อยใหญ่มากมาย บนก้อนหินแต่ละก้อนดูราวกับถูกกรงเล็บของสิ่งใดบางอย่างขูดขีด
ลู่เต้าค่อยๆ เดินเข้าไปในป่ารกชัฏ ดวงตาเหลือบมองผู้ควบคุมิญญาสองคนที่ตามมาติดๆ อย่างกังวล
“ในที่สุดเสี่ยวอวี่ก็ปลอดภัยแล้ว” เมื่อนึกถึงตรงนี้ ใจที่ร้อนรนของลู่เต้าก็สงบลงเล็กน้อย
“ไป๋เสีย ท่านแน่ใจหรือว่าจะไปทางนี้” ลู่เต้าถามอย่างกังวล “หากเดินต่อไปข้างหน้า พวกเขาจะไม่มีที่ซ่อนตัวแล้วนะ”
“ไปต่อ” ไป๋เสียมองรอยขีดข่วนลึกหลายรอยบนผนังหินอย่างยิ้มๆ
หลังจากเดินผ่านป่าหิน ในที่สุดภาพที่แปลกตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าลู่เต้า เป็ลานหินสีเทาขาวไกลสุดลูกหูลูกตาซึ่งเต็มไปด้วยดาบิญญาไร้ประกายจำนวนนับไม่ถ้วน
“ที่นี่...ที่นี่มีสุสานดาบิญญาด้วย!” ลู่เต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
