ซีซีมองหาสิ่งที่เป็ต้นเหตุทำให้แห้งแล้งไม่เจอ อาจเป็เพราะพลังปราณนางยังไม่แข็งแกร่งพอ จึงแยกไม่ออกสิ่งผิดปกติจากธรรมชาติ กับสิ่งที่ธรรมชาติสรรค์สร้างมา เดินมาได้ถึงครึ่งูเาทุกคนเริ่มเหนื่อยถึงพักกินน้ำกัน ผู้ใหญ่ทั้งห้าคนมองน้องเล็กสุด ที่ไม่มีท่าทางเหนื่อยอ่อนเพลียเหมือนพวกเขาเลย ต่างคิดว่าคงเป็เทพเซียนเท่านั้น หลังจากพักพอหายเหนื่อยกันแล้ว ออกทุกคนเดินทางต่อ
“พี่ใหญ่เ้าคะดููเาโลกนั้นแปลกจังเลย เหมือนท้องคนเลยเ้าค่ะ”
เสียงน้องเล็กดังขึ้น ทุกคนมองตามนิ้วมือน้อยๆ นั้นก็เห็นูเาหินขนาดย่อมสีออกเขียว ทั้งที่ควรจะเป็สีขาว เหมือนหินก้อนอื่น ลักษณะกลมเหมือนคนท้อง นอนหงายท้องกลมๆ ตั้งอยู่ไม่ไกล ต่างรีบเร่งเข้าไปดูไกลๆ
“แปลกมากหินก้อนนี้เย็นทั้งที่อากาศตอนนี้ร้อนอบอ้าวเป็อย่างมาก พี่ใหญ่ข้าเหมือนได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ข้างในเบาๆ ขอรับ”ทุกคนต่างแนบหูกับก้อนหินเพื่อฟังเสียงข้างใน
"ข้าก็ได้ยินเสียงน้ำไหลเหมือนกัน” พ่อเหลาซานพูดขึ้น
ทุกคนมองหน้ากัน และช่วยกันเคาะก้อนหินด้วยหวัง เผื่อจะมีน้ำหลุดออกมาจากข้างใน เคาะยังไงก็ไม่เป็ผล ลองใช้ขวานและมีดที่นำมาด้วยก็ไม่ทำให้หินก้อนนั้นบุบหรือแตกเลย
ซีซียืมมองพิจารณาหรือจะเป็ค่ายกล “คนแบบไหนดเป็ใครมาสร้างไว้ตรงนี้เพื่ออะไรกันยังไงก็ต้องลองดู”
“ทุกคนถอยออกมาก่อนข้าคิดว่านี้อาจเป็ค่ายกล แล้วช่วยกันมองหาสิ่งที่อาจจะเป็ตาของค่ายกล”
“ผู้มีพระคุณจะเป็ไปได้ยังไง เพราะที่แห่งนี้ไม่เคยมีเทพเซียนหรือผู้มีวิชาผ่านมาเลย ใครจะมาทำไว้ตรงนี้”
“มันก็ไม่แน่นะถ้าเกิดขึ้นมานานแล้ว200ถึง300 ปี พวกเรายังไม่ได้มาอยู่ที่นี่ อาจมีผู้มีวิชาแก่กล้ามาสร้างไว้ แต่เพื่ออะไรนั้นก็ไม่อาจรู้ได้”ผู้นำหมู่บ้านพูดขึ้น ทุกคนช่วยกันหาสิ่งที่เรียกว่าตาของค่ายกล จนเหงื่อโทรมกายก็ยังไม่เจอเ้าสิ่งที่ว่านั้น
ซีซีคิดทบทวนตามที่ได้เรียนมากับอาจารย์นั้น ตอนนั้นอาจารย์บอกแค่ว่านางมีธาตุที่แปลกกว่าพี่น้อง เพราะคนในตระกูล จะมีธาตุเดียวคือธาตุไฟ ส่วนนางมีธาตุมืดและธาตุพฤกษา ทำให้นางเรียนอักขระค่ายกลและปรุงโอสถได้เื่นี้ มีแต่นางและอาจารย์เท่านั้นที่รู้ ส่วนน้องทั้งสองคนก็ยังไม่รู้เื่นี้ ถ้าบอกไปก็อธิบายยาก จึงเก็บเป็ความลับไว้ก่อนตามที่อาจารย์ชี้แนะ นั้นจึงเป็เหตุที่ทำให้นางมองเห็นแสงจาก ผลไม้ที่มีปราณิญญาอยู่
นางเพ่งสมาธิไปที่หินใหญ่ก้อนนั้นสักพักหนึ่ง นางก็เห็นแสงสีเหลืองอ่อนครอบหินก้อนนั้น และจุดหักของแสงอยู่บนก้อนหินก้อนเล็กที่วางอยู่ตรงพุ่มไม้ ตรงข้ามที่นางยืนอยู่ หลิวซีรีบเดินเข้าไปและขยับหินก่อนนั้นอย่างช้า ๆ ทันใดนั้น
"ครืนๆ! "
เสียงก้อนหินขยับ ท้องฟ้าหลายลี้เกิดการเปลี่ยนสี จากแดดร้อนฉับพลันนั้นมีเมฆก้อนใหญ่ บดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังร้อนระอุ มีลมกระโชกแรงเหมือนฝนจะตก ทุกคนมองหน้ากันด้วยความแปลกประหลาดกับ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมเตรียมหาที่กำบังเผื่อฝนจะตกลงมา
ทุกคนมีสีหน้าดีใจมากกว่าเป็กังวลว่าจะไปหลบฝนที่ไหน พวกเขาต่างคิดว่าถ้าฝนมีน้ำทุกคนจะมีความเป็อยู่ที่ดีขึ้นจะปลูกผักสิ่งใดก็ได้ ทุกคนจะได้ไม่อดอยากอีกต่อไป คิดได้ดังนั้นพ่อของเหลาซานก็ยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างคนโง่งม ทุกคนกำลังดีใจจนลืมไปว่ายังมีก้อนหิน แปลกประหลาดยังอยู่ข้างหน้า
“ทุกคนถ่อยออกมาจากก่อนเร็วเข้า มารวมกันอยู่ตรงนี้”
เสียงร้องเตือนซีซีดังขึ้น ทุกคนวิ่งแบบไม่คิดชีวิตหนีออกมาจากก้อนหิน วิ่งตรงที่ ซีซียืนอยู่เป็แนวเขาเตี้ยอีก ลูกหนึ่งพอทุกคนมาถึงหินก้อนนั้นก็ะเิออกทันที
“ตูม!”
น้ำสายหนึ่งพุ่งล้นทะลักออกมาอย่างกะทันหัน มันไหลเร็วและแรงลงไปด้านล่าง โชคดีที่ทางน้ำไหลไม่ได้ไปทางหมู่บ้านแต่ เบี่ยงไปอีกทางที่เป็ชายป่า ไม่มีหมู่บ้านอยู่เป็ทางน้ำเก่าที่แห้งมานานหลาย 100 ปี
“ท่านผู้นำน้ำสายนี้ ไหลไปถึงที่ไหนข้ากลัวว่าชาวบ้านจะเดือดร้อน”
“ผู้มีพระคุณไม่ต้องเป็ห่วงน้ำสายนี้จะไหลวน เข้าไปในป่าที่ไม่มีบ้านอยู่กว่าจะไหลไปถึงหมู่บ้านก็ไม่น่าจะแรงแล้วเพราะมีหนองน้ำใหญ่ที่แห้งแล้งมานานขวางอยู่ น่าจะรับน้ำก้อนนี้ไว้ได้ทั้งหมด”
“เช่นนั้นก็ดีกลัวหมู่บ้านจะเสียหายผู้คนจะเดือดร้อนไร้ที่อยู่อาศัย”
ทุกคนรีบเร่งออกจากตรงนั้นและเดินทางกลับบ้าน เพราะดูจากอากาศแล้วอีกไม่นานฝนคงจะตกแน่ ส่วนชาวบ้านที่อยู่ด้านล่าง ร้องโหด้วยความดีใจเพราะดูก้อนเมฆแล้วฝนคงจะตกลงมาในไม่ช้านี้ พวกเขาต่างดีใจและคิดว่าหลังจากฝนตกจะเพาะปลูกสิ่งใดดี
เป็อย่างที่คิดไว้ทันทีที่พวกเขากลับมาถึงบ้านฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างแรง สมกับที่ไม่ได้ตกมาหลายปี บ้านที่อยู่อาศัยผู้คนต่างวิ่งกันจ้าละวันเก็บสิ่งของหลบน้ำฝน ที่รั่วจากหลังคาลงมา
ซีซีมองดูแต่ละคนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สงสารก็สงสารแต่ก็แอบดีใจที่ช่วยแก้ปัญหาครั้งนี้ได้ พรุ่งนี้พวกนางจะได้เดินทางอย่างสบายใจ
ตื่นเช้ามาซีซีรีบล้างหน้าตา และปลุกน้องเล็กให้เตรียมตัวออกเดินทางแล้วไม่อยากชักช้า พ่อแม่ของเหลาซานและหรานๆ ออกมาส่งที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ั้แ่เช้ามืดเพราะซีซีไม่ต้องให้ใครมาส่ง นาง้าจากมาแบบเงียบ ๆโดยไม่รู้เลยว่าคนในหมู่บ้าน ต่างคิดว่าทั้งสามพี่น้องเป็เทพเซียนที่ลงมาช่วยคนหมู่บ้าน โดยตรงมีทั้งเนื้อให้กินและฝนก็ตกมีน้ำทำไร่ทำนา พวกเขาคิดว่าผู้วิเศษปลอมตัวมาเป็เด็กๆ ต่างบอกคนในครอบครัวไม่ให้ลืมบุญคุณครั้งนี้ ของผู้มีพระคุณทั้งสามคน
พวกเขาเดินทางมาจนถึงตอนนี้แสงสีส้มจากขอบฟ้าสว่างจ้า ชาวบ้านที่มีไร่นาพากันออกมาดูพื้นที่เพราะหวังว่าจะเพาะปลูกสิ่งใดได้บ้าง เพราะมีฝนตกลงมาอย่างหนักเมื่อวานนี้
มีร้านขายของเล็กๆ อยู่ข้างทางมีซาลาเปาและน้ำชาขาย ชายหญิงวัยกลางคนกำลังขะมักเขม้นกับการขายของขณะที่สามพี่น้องเดินผ่าน
“นี้พวกเ้าได้ข่าวหรือไม่เหตุที่ฝนตกเมื่อวานนี้ เกิดจากมีเทพเซียนเดินทางผ่านมาและมาช่วยเหลือชาวบ้านอย่างพวกเราให้รอดพ้นจากความแห้งแล้งที่เป็มาหลายปีนี่” ชายผู้มีรูปร่างผอมแห้งอายุประมาณสามสิบพูดขึ้น
“ข้าได้ข่าวมาเหมือนกัน” เ้าของร้านขายซาลาเปาสองผัวเมียยกมือขึ้นท่วมหัวและหันหน้าทางทิศตะวันออก กราบขอบคุณเทพเซียนขึ้นพร้อมกัน สามพี่น้องได้ยินจึงหันมามองหน้ากันด้วยใบหน้าที่อมยิ้มอย่างมีความสุข และพากันรีบเร่งเดินทางต่อไปโดยไม่หยุดพัก
ซีซีนางคิดว่าถ้ามีทางที่สามารถเดินทางได้ไวกว่านี้ เหมือนในโลกอนาคตที่นางจะจากแล้วก็คงไม่ต้องทนเดินลำบากกันแบบนี้ สงสารแต่น้องเล็กแต่นางก็เก่งมาก ไม่บ่นสักคำแถมดูเหมือนมีความสุขกับการเดินทางเสียด้วยช้ำ ในวันข้างหน้าถ้านางสามารถเรียนเกี่ยวกับอักขระเวชได้เยอะกว่านี้ นางจะต้องสร้างอาวุธเวชหรืออุโมงค์ทางลัดทะลุจากอีกที่หนึ่งไปที่หนึ่งนั่นคือความคิดส่วนตัวของนาง
อาจารย์ผู้เฒ่าเคยกล่าวกับนางไว้ว่าถ้า้าก้าวหน้าให้ขยันมั่นเพียร ไม่มีสิ่งไหนได้มาโดยง่ายอย่างเช่นอุปกรณ์มิติสามารถเก็บสิ่งของได้ ที่อาจารย์มีและสามารถสร้างได้ แต่ท่านก็ไม่ได้ให้มาเพราะ้าให้ศิษย์อย่างนางขยันหมั่นเพียร และสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง นางตั้งใจเอาไว้ว่าจะสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวนางเอง และสิ่งแรกที่นางอยากได้มากที่สุด ในตอนนี้คือมิติเก็บสิ่งของ
“พวกเรามองหาที่พักกันเถอะ นี่ก็ถึง่ยามเย็นแล้วพวกเราพักอยู่ใกล้กับริมน้ำนี่แหละ สะดวกสบายและดูปลอดภัยเดี๋ยวพี่ใหญ่จะลองวางค่ายกลกันแมลงสัตว์พิษไว้ก่อน น้องรองหาเศษไม้มาทำฟืนเตรียมไว้เยอะหน่อย ส่วนน้องเล็ก เ้าช่วยพี่ใหญ่หาก้อนหินสีขาวและกลม สักสี่ก้อนหาอยู่แถวนี้นะไม่ต้องไปไกล”
ทุกคนแยกย้ายกันทำงาน น้องเล็กเก็บก้อนหินมา ยื่นให้ด้วยมือป้อมสั้นเล็กด้วยรอยยิ้ม และภูมิใจที่ตัวเองทำตามคำสั่งพี่ใหญ่ได้สำเร็จก่อนพี่รอง
“น้องเล็กเ้าเก่งมาก หิวหรือไม่รอน้องรองกลับมาเดี๋ยวเรามากินผลไม้พร้อมกัน”
ผลไม้แห้งที่อาจารย์ให้มาจำนวนมากเพื่อให้ลูกศิษย์กินระหว่างทาง "ถ้ามีมิติเก็บสิ่งของเราคงได้กินผลไม้สดกันทุกวันแน่ เฮ้อ! รออีกสักพักรอข้าเก่งกว่านี้ก่อนคงไม่นานเกินไป
หลังจากสามพี่น้องทานผลไม้แล้วก็ออกมาชำระร่างกายเช็ดเนื้อเช็ดตัวข้างลำธาร น้ำใสมากใสจนเห็นหินทุกก้อนที่ อยู่ในน้ำปลาตัวเล็กที่ว่ายวนไปมาโดยไม่เกรงกลัวเพราะปกติไม่ค่อยจะมีค่อยผ่านมาทางนี้ ถึงจะผ่านมาก็ไม่จับมากิน เพราะมีกลิ่นคาวและปลาว่ายน้ำไวเสียเวลาที่จะมาจับไปกิน
“พวกเราหาที่พักตรงนี้กันเถอะ โอ๊ะ! ดูเหมือนจะมีคนมาก่อนพวกเราแล้ว”
เด็กสาวอายุประมาณสิบห้าปี หน้าตาสวยงามปากเล็กจมูกหน่อยดวงตากลม ผิวสีขาวออกซีดสวมชุดสีขาว พูดขึ้นขณะมองตรงมาเห็นทั้งสามคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ ทั้งหมดมาด้วยกันหกคน ผู้หญิงสี่คนผู้ชายสองคนอายุอยู่ระหว่าง สิบสี่ถึงสิบหกปี
“นี่เ้าทั้งสามคนเอาที่พักตรงนี้มาให้ข้า แล้วพวกเ้าก็ไปหาที่พักใหม่ ข้าไม่เอาเปรียบพวกเ้าข้าจะให้ตำลึงแก่เ้า สิบตำลึงเป็ยังไงเ้าสนใจไหม ถึงพวกเ้าไม่สนใจก็ต้องย้ายอยู่ดี เพราะข้า้าพื้นที่ตรงนี้”ผู้พูดเป็หญิงสาวหนึ่งในสี่คนสวมชุดสีครีมหน้าตาสวยแต่ออกไปทางยิ่งยโส
ซีซีมองพวกเขาั้แ่ทะลุมิติมาเพิ่งเจอคนหน้าด้านประเภทนี้ ้าที่คนอื่นทั้งที่ตรงนี้กว้าง ให้พวกเขาพักได้สบายทำไมต้องมาแย่งที่นางด้วย
“ข้าไม่ย้ายและไม่้าตำลึงของพวกเ้าด้วย ที่มีตั้งเยอะทำไมพวกเ้าต้องมาแย่งที่ข้าด้วย ข้าก็เห็นพวกเ้ามือเท้าดีอยู่ ช่วยกันจัดการก็เสร็จแล้ว
“พูดเยอะทำไมเตะพวกมันออกไปก็เรียบร้อยแล้ว เสียเวลาพักผ่อนพวกเราต้องเดินทางไปป่าหมอกอีก”ชายหนุ่มหน้าตาพอดูได้ท่าทางดุดันพูดขึ้นมา แล้วทำท่าจะเดินมาหาทั้งสามคนพี่น้อง
ซีซีมองดูสายลมที่พัดลอยเบาๆ จากนางที่อยู่ต้นลม นางยิ้มน้อยๆ แล้วสะบัดมือเบาๆ ผงคันที่นางปรุงขึ้น ตอนอยู่กับอาจารย์ได้ทดลองใช้คราวนี้แหละ
ทั้งหกคนเตรียมตัวเดินเข้ามาจับเด็กทั้งสามคนโยนทิ้ง ขณะนั้นทั้งหกคนก็เกิดอาการคันขึ้นตามเนื้อตัว โดยไม่ทราบสาเหตุต่างมองหน้ากันและเกาเนื้อตัวโดยไม่อายว่าเป็หญิงชาย ชายหนุ่มทั้งสองคนรีบกระโจนลงน้ำเพื่อไปล้างตัวแต่ก็ไม่หายคัน ส่วนหญิงสาวทั้งสี่คนรีบวางกระโจมอักขระที่ซื้อมาในราคาแพง เพื่อที่จะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและทายาแก้คัน
“ต้องเป็ฝีมือเด็กพวกน่าตายพวกนั้นแน่ ค่อยดูเถอะข้าจะสั่งสอนพวกเ้าให้มันตายอย่างทรมาน บังอาจมาทำกับข้าเสีย ดายวันนี้ไม่ได้ให้องครักษ์ตามมาด้วย”เพราะเป็กฎของสำนักที่ต้องให้ทุกคนมาด้วยตัวเองเท่านั้น ถ้าแม้แต่จะมาเรียนยังพึ่งพาคนอื่นก็ถือว่าไม่มีความสามารถเดินทางมาด้วยตัวเองได้ ทางสำนักจะไม่รับเด็ดขาด
“พี่ใหญ่พี่รองพวกเขาดูน่ากลัวมากเ้าค่ะ”
“น้องรองน้องเล็กพวกเ้าเข้าไปอยู่ในวงแขวนอักขระ เดี๋ยวพี่ใหญ่จะลงอักขระซ้ำป้องกันการโจมตี”
ถึงนางจะไม่เก่งแต่ว่าก็ได้เรียนรู้เบื้องต้นมาบ้างแล้ว อักขระที่ไม่ใหญ่เกินไปและไม่ซับซ้อนเกินไป นางสามารถทำได้ หลังจากลงอักขระป้องกันผู้บุกรุกทับซ้อนกับป้องกันสัตว์มีพิษเรียบร้อยแล้ว ก็พากันนอนโดยมีผ้าปูพื้นเล็ก สำหรับนอนสามคนและผ้าห่มสองผืน
“ถ้าข้ามีอักขระตั้งกระโจมแบบพวกเขาคงจะดีต้องรีบหาอุปกรณ์ สร้างแล้วจะได้สะดวกสบายกว่านี้” นางยิ้มออกมาโดยหน้าที่เ้าเล่ห์
ทางด้านหกคนหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าทายา ทานโอสถซึ่งแต่ละคนพกมาด้วยก็หายจากอาการคัน แต่ความแค้นที่มีต่อเด็กสามคน เพิ่มทวีคูณขึ้นพวกเขารวมตัวกันจะต้องจัดการกับเด็กสามคนนี้ให้ได้ จึงพากันเดินมายังเด็กที่นอนอยู่
เห็นเด็กนอนอยู่ข้างกองไฟแต่ ทั้งหมดพยายามเดินเข้าไปไม่ถึงเหมือนเดินอยู่กับที่ แม้จะลองโยนไม้เข้าไปเหมือนเจอกำแพงที่มองไม่เห็น ไม้ร่วงกองกับพื้นแถมบริเวณนั้นไม่มีสัตว์มีพิษแม้กระทั่งยุงก็ไม่มีเป็ที่น่าแปลกใจสำหรับหกคนอย่างยิ่ง
“พวกเขาเป็ตัวอะไรทั้งที่เด็กพวกนี้ดูธรรมดา ทำไมมีสิ่งป้องกันที่ดีกว่าพวกเขาเสียอีกที่มีแต่กระโจมให้พักอาศัยเท่านั้นหรือพวกนางจะมีของดี หรืออาจมีผู้อยู่เื้ัที่สูงส่งสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ให้บุตรหลานได้ใช้กัน” พวกเขาทั้งหมดต่างคนต่างคิดมองหน้ากันพลางเดินถอยหลังออก ไม่พูดอะไรพากันแยกย้ายกลับที่พัก
“เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนเถอะยังไม่สายที่จะจัดการกับพวกเด็กนั้น”หญิงสาวหนึ่งสี่พูดขึ้น
แต่…พวกเขา ไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะเจอทั้งสัตว์พิษแมลงกัด และรบกวนตลอดทั้งที่มีถุงหอมกันแมลงพิษห้อยกับตัวอยู่แท้ๆ พวกเขาหมดแรงสภาพเสื้อผ้ายุ่งเหยิงไม่เหลือสภาพคุณชายคุณหนู ดวงตาแดงค้ำเหมือนคนอดหลับอดนอน เป็เพราะว่าแมลง เข้าไปทำอะไรมนุษย์ทั้งสามไม่ได้จึงโกรธแค้นมาลงกับทั้งหกคนนั่นเอง
รุ่งเช้าหลังจากเก็บสิ่งของต่าง ๆ แล้วเด็กทั้งสามคนก็ออกเดินทาง โดยไม่สนใจทั้งหกคนว่าจะเป็ยังไง “นิสัยแบบนี้ต้องโดนเสียบ้างยังเด็กแท้ๆ แย่มาก ถ้าสำนักรับเข้าไปอบรมสั่งสอน ถ่ายทอดวิชาให้แล้วนิสัยไม่เปลี่ยนคงมีคนเดือดร้อนอีกมากเป็แน่”
ทั้งหกคนออกมาจากกระโจมโดย ท่าทางอ่อนเพลียหมดสภาพมองไปยังจุดที่เด็กสามคนอยู่ มองซ้ายขวาไม่เห็นทั้งสามคนอยู่แล้ว ต่างคิดหวังในใจว่าอย่าให้ได้เจออีกจะจัดการให้ไม่เหลือซาก ต่างจะส่งข่าวไปให้ทางบ้านและองครักษ์ที่มีฝีมือสูงส่งมาจากการกับเด็กพวกนี้ให้ได้
ทั้งสามพี่น้องเดินทางมาจนถึงหุบเขาสายหมอก เริ่มมีหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่ว ซีซีจึงนำยาแก้พิษออกมากินกันทั้งสามคนเพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีพิษอะไรหรือไม่ ยิ่งเดินเข้าไปลึกเข้าเรื่อย ๆ หมอกก็ยิ่งทึบต้นไม้สูงไม่มีแสงลอดผ่าน มีแต่หมอกเท่านั้น ไม่พบเจอสัตว์อย่างเช่นพวกนก
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ตามความหนาของหมอกที่ปกคลุม วิสัยทัศน์การมองเห็นไม่ค่อยดี นางจึงให้น้องทั้งสอง เดินอย่างระมัดระวัง น้องรองเลยอาสาแบกน้องเล็กไว้บนหลังเพื่อความปลอดภัย
“ถ้ามีไฟฉายตัดหมอกแบบยุคอนาคตก็คงจะดีถ้าเป็แบบนี้ตลอดคงไม่ดีแน่ ”
หลิวซีหาฟืนแถวนั้นมัดรวมกันแน่นโดยเถาวัลย์ แล้วทำเป็คบเพลิงเพื่อที่จะได้มองเห็นทาง ถึงมันจะช่วยได้ไม่มากก็ยังดี ระหว่างนั้นนางให้น้องทั้งสองคนนำเสื้อผ้ากันหนาวที่พกมาด้วยสวมใส่กันหนาว เพราะอากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ
เดินมาได้สักพักใหญ่ ก็มาถึงตรงที่หมอกเริ่มเบาบางลง มองเห็นต้นไม้ใบหญ้าได้ชัดเจนขึ้น นางคิดว่าเดินอีกสักหน่อยก็จะหาที่พักแถวบริเวณนี้
