ต้าเซี่ย
ฮ่องเต้น้อย เซียวจิ่นฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียงแปดชันษา นับั้แ่อายุสี่ชันษาจนใจที่เขามีร่างกายพิการมาั้แ่ยังเยาว์สุขภาพอ่อนแอด้วยโรคภัยรุมเร้า ขาทั้งคู่มิอาจเดินเหินได้ตามปกติ ทรงเป็ฮ่องเต้องค์น้อยที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บพระองค์หนึ่งอย่างแท้จริงเขาไอโขลกเพียงหนึ่งหนก็ส่งผลให้ทั้งราชสำนักสั่นะเืถึงสามครั้งสามครา
เซียวจิ่นฮ่องเต้ประชวรหนักหลายครั้ง และในหลายครั้งนั้นล้วนมีอันตรายถึงชีวิตไม่รู้ว่าขุนนางท่านใดเป็ผู้เสนอความคิดให้เซียวจิ่นฮ่องเต้แต่งนางสนมเข้ามาในตำหนักในเพื่อเสริมความเป็สิริมงคลแก่ดวงชะตา
ดังนั้นเมื่อเซียวจิ่นฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ได้สี่ปี ตำหนักในจึงได้แต่งนางสนมเข้ามามากมายแต่น่าเวทนาที่เขาเป็เพียงเด็กน้อยอายุสิบสามปีที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บคนหนึ่งเขาจึงได้แต่ชื่นชมหญิงงามเหล่านี้ด้วยสายตา ทว่ามิอาจแตะต้องััได้ส่วนสตรีเหล่านี้หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วดูเหมือนเป็ดรุณีน้อยงดงามสดใสและบริสุทธิ์ไร้เดียงสาทว่าที่จริงแล้วพวกนางกลับต้องผ่านค่ำคืนอันโดดเดี่ยวอ้างว้างในแต่ละคืนไปอย่างยากเย็น
หลินชิงเวยคือหนึ่งในหญิงงามนั้น
นางถือกำเนิดเป็บุตรสาวคนโตของจวนมหาเสนาบดี ถูกคัดเลือกเข้าวังมาเป็นางสนมนางอายุมากกว่าเซียวจิ่นฮ่องเต้สามปี ที่จริงแล้วใน่วัยสิบหกปีถือเป็่วัยงดงามสะพรั่งที่สุดของสตรีแต่เมื่อโฉมสะคราญเช่นนางปรากฏกายขึ้นอวดโฉมเบื้องหน้าเซียวจิ่นฮ่องเต้กลับก่อให้เกิดความรู้สึกว่านางนั้นแก่เกินไป
เดิมทีผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าวังมาเป็นางสนมคือ หลินเสวี่ยหรงน้องสาวผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็ลูกพี่ลูกน้องของหลินชิงเวย ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุอันใดเมื่อนางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับกลายเป็นางที่สวมอาภรณ์ในชุดวิวาห์นั่งอยู่บนเกี้ยวเ้าสาวกำลังถูกหามเข้าวังหลวง
วังหลวงเป็สถานที่กลืนกินความสวยสดงดงามในวัยสาวของสตรีอย่าเห็นว่าการได้เข้ามาเป็นางสนมในวังหลวงเป็เื่ที่มีเกียรติแก่วงศ์ตระกูลอย่างสูงแต่ใครกันจะยินดีแต่งให้กับเด็กน้อยที่ขนก็ยังไม่ขึ้นครบคนหนึ่ง ซ้ำร้ายสุขภาพยังเต็มไปด้วยโรคร้ายรุมเร้าเล่า?ไม่ต้องพูดถึงว่าหลังจากแต่งงานมิอาจััความสุขทางร่างกายและจิตใจเฉกเช่นสตรีที่ออกเรือนแล้วพึงได้รับอีกทั้งยังต้องถูกกักขังไว้หลังประตูของตำหนักในตลอดชีวิตเป็แน่แท้
หลินเสวี่ยหรงย่อมไม่ยินยอม ดังนั้นหลินชิงเวยจึงกลายเป็ตัวแทนของนาง
อย่างไรเสียผู้ที่ถูกรับตัวเข้าวังในคืนนั้นมิได้มีนางเพียงคนเดียวนางเองไม่เห็นฮ่องเต้น้อยออกมาปรากฏกาย พวกนางถูกนำตัวมายังตำหนักที่ได้ตระเตรียมเอาไว้แล้วจากนั้นอาบน้ำเข้านอน
นางคิดในใจว่านี่คงเหมือนการหาเด็กหญิงมาเลี้ยงไว้ในครอบครัวั้แ่ยังเล็กเพื่อแต่งเป็ภรรยาในวันหน้าเฉกเช่นในยุคสมัยโบราณ?ขาทั้งคู่ของฮ่องเต้น้อยพิการ จะเดินได้หรือไม่นั้นยังไม่ต้องกล่าวถึงต่อให้เขาหายจากอาการเจ็บป่วยกระทั่งมีเรี่ยวแรงทำเื่พรรค์นั้นแล้ว คาดว่าในตำหนักในคงมีเพียงสตรีในวัยเริ่มโรยรารออยู่กลุ่มหนึ่งกระมังดังนั้นหญิงสาวที่ถูกแต่งเข้ามาเพื่อเรียกความเป็สิริมงคลเหล่านี้จึงถือเป็โศกนาฏกรรมที่โศกสลดฉากหนึ่ง
หลินชิงเวยกลับคิดว่าเป็เื่ดีด้วยมีชีวิตกินดีอยู่ดีมีคนปรนนิบัติพัดวี
นับแต่นางรู้สึกตัวตื่นขึ้นในเกี้ยวเ้าสาว นางอยู่ในร่างของแม่นางน้อยในวัยสิบหกปีนางหนึ่งทว่านางกลับมีหัวใจของคนวัยอายุสามสิบปีดวงหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้หลายวันที่เข้ามาอยู่ในตำหนักใน นางจึงมีชีวิตอยู่อย่างดีมีสุขจนกระทั่งหลินเสวี่ยหรงได้ถวายฎีกากราบทูลเพื่อขอเข้าเฝ้า
เวลาพลบค่ำของวันนั้น หลินชิงเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย[1]ที่ปูผ้าไว้อย่างดีเห็นเงาร่างบอบบางร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากประตู ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงกลับปรากฏเงาร่างอรชรไม่ธรรมดาสามัญร่างหนึ่งกริยาท่าทางที่สตรีนางนั้นเยื้องกรายเข้ามานั้นแช่มช้อยยิ่งนักย่างก้าวเบาประดุจดอกบัวมิต้องกล่าวว่าชวนมองปานใด เอวบางคอดกิ่วที่กำรอบได้ด้วยมือเดียวนั้นโอนอ่อนราวกับกิ่งหลิวในต้นวสันตฤดูความรู้สึกอ่อนหวานละมุนละไมที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของนางนั้นราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อนางเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าและผิวพรรณอันงดงามนั้นจึงปรากฏชัดเจนเบื้องหน้าหลินชิงเวยดวงตารูปเมล็ดซิ่งนั้นคลอคลองไปด้วยหยาดน้ำตาที่พร้อมจะร่วงรินได้ตลอดเวลาเป็ใบหน้าที่งดงามของโฉมสะคราญนางหนึ่ง ภายใต้ดวงหน้ารูปไข่นั้นคือลำคองามระหงขาวผ่องประดุจหยกมันแพะเนื้อดีเสื้อผ้าอาภรณ์กระโปรงพลิ้วไหวบางเบางดงามยิ่งยวด
นี่คือ หลินเสวี่ยหรง
หลินเสวี่ยหรงยอบกายลงคารวะตามธรรมเนียม พร้อมกับกล่าวว่า“เสวี่ยหรงถวายพระพรพี่ใหญ่เพคะ วันนี้เสวี่ยหรงเข้าวังมาเพื่อถวายพระพรไทเฮาระลึกถึงว่าพี่ใหญ่อยู่ในตำหนักในจึงมาเยี่ยมพี่ใหญ่เพคะ” เมื่อเห็นหลินชิงเวยเอาแต่จับจ้องนางทว่ามิได้โต้ตอบอันใดนางจึงค่อยๆ เก็บงำรอยยิ้มบนใบหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ใจเขามาแทนที่ในชั่วพริบตานางเอ่ยทั้งน้ำตาจวนเจียนหยดจากหน่วยตา “พี่ใหญ่ไม่สนใจข้านี่เป็เพราะยังโกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่เ้าคะ?”
หลินชิงเวยถาม “เหตุใดข้ายังต้องโกรธเ้าเล่า?”
หลินเสวี่ยหรงค่อยๆ นั่งลง กล่าวทั้งน้ำตา “ให้พี่ใหญ่แต่งเข้าวังมาแทนข้าเดิมทีมิใช่ความคิดของข้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็ความคิดของท่านพ่อ...พี่ใหญ่อายุมากกว่าข้าหนึ่งปีและรู้ความกว่าข้ามากมายนักหลังจากเข้าวังแล้วย่อมต้องดูแลตัวเองให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้อย่างแน่นอน ส่วนนิสัยของข้านั้นกระโดกกระเดกเกรงว่าเมื่อเข้าวังมาแล้วจะมีแต่ก่อเื่เดือดร้อนท่านอย่าได้กล่าวโทษท่านพ่อนะเ้าคะ ที่ท่านพ่อตัดสินใจทำเช่นนี้เป็การทำเพื่อทุกคนเช่นกัน”
แม้หลินเสวี่ยหรงจะพูดพร้อมกับร่ำไห้ ทว่าเมื่อหลินชิงเวยสังเกตสีหน้าบนใบหน้าของนางแล้วกลับพบว่านอกจากร่องรอยหยาดน้ำตาบนใบหน้าของนางแล้วบนใบหน้าของนางมิได้ปรากฏร่องรอยของความทุกข์ใจเสียใจแม้แต่น้อยในทางกลับกันมุมปากของนางกลับยกยิ้มราวกับเบิกบานใจและเยาะเย้ยในเวลาเดียวกัน
หลินชิงเวยพลันกล่าวขึ้นว่า “ที่จริงแล้วเ้าคงมีความสุขมากกระมัง”
[1]เก้าอี้กุ้ยเฟยคือเก้าอี้ยาวมีเท้าแขนข้างหนึ่งสำหรับเอนนอนได้ สตรีสูงศักดิ์ในวังเช่น อัครชายา(กุ้ยเฟย) และราชชายา (เซียงเฟย) นิยมใช้เอนกายพักผ่อนอิริยาบถ ดั่งคนงามหรือเรียกว่า พนักคนงาม ก็ได้