“อะไรนะเ้าคะ?” หลินเสวี่ยหรงช้อนตาขึ้นมองด้วยใบหน้าที่งดงามราวกับดอกหลียามต้องฝนอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
ความตื่นตะลึงของนางกลับดูเหมือนจริง ดูเหมือนนางคาดไม่ถึงว่าตนจะเปิดโปงนางเช่นนี้“เ้ามาเพื่อประกาศศักดาต่อข้าล่ะสิ”
“ข้าไม่ได้...”หลินเสวี่ยหรงมองนางด้วยดวงตาที่เบิกกว้างพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ
หลินชิงเวยเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อคำพูดของนาง “เ้าดูสินี่เ้ากำลังโกหกอีกแล้ว ยิ่งเ้ามองข้าเช่นนี้ ปรารถนาให้ข้าเชื่อสายตาของเ้ายิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเ้ากำลังโกหก” หลินเสวี่ยหรงอ้าปากหลายครั้งขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไรนั้น หลินชิงเวยกลับเอ่ยกับนางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง“ระวังว่ายิ่งพูดมากจะยิ่งผิดมาก”
หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจ หลินเสวี่ยหรงค่อยๆ กะเทาะสีหน้าท่าทางที่นางเสแสร้งแกล้งทำออกไปแล้วหัวเราะด้วยเสียงใสกังวานเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์“พี่ใหญ่เพิ่งจะแต่งงานออกเรือนมาเพียงไม่กี่วัน ตำหนักในแห่งนี้ช่างเป็สถานที่มหัศจรรย์ยิ่งนักภายในระยะเวลาสั้นๆ กลับทำให้พี่ใหญ่เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้ ข้าแทบจะไม่รู้จักพี่ใหญ่แล้ว”
หลินชิงเวยกล่าว “สายตาที่ไม่ปิดบังอำพรางความเกลียดชังของเ้าที่มีต่อข้ากลับดูแล้วรื่นหูรื่นตาขึ้นมาก”หลินเสวี่ยหรงเริ่มร่ำไห้เช็ดน้ำตาั้แ่เดินเข้ามา นางจึงแน่ใจได้ว่าสตรีที่มีอายุน้อยกว่าตนหนึ่งปีนางนี้ไม่ได้มาด้วยเจตนาดี
ในสังคมของยุคสมัยโบราณ สตรีที่อยู่ในวัยของดรุณีน้อยเช่นนี้เริ่มที่จะใช้เล่ห์กลสารพัดเพื่อที่จะวางแผนให้กับอนาคตของตนแล้วหรือไร?หลินชิงเวยรู้สึกเหงื่อชุ่มแผ่นหลังเล็กน้อยเช่นนั้นนางซึ่งอยู่ในวัยสามสิบปีแล้วทว่ากลับใจเย็นเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่เอาถ่านใช่หรือไม่?
ต่อให้หลินเสวี่ยหรงจะพยายามเก็บซ่อนอารมณ์และความรู้สึกอย่างไร ทว่าวัยของนางยังอ่อนเยาว์เกินไปดังนั้นอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ล้วนปรากฏให้เห็นเบื้องหน้าหลินชิงเวย
หลินเสวี่ยหรงกล่าว “ถูกต้อง ข้า้ามาเยาะเย้ยเ้าข้าอยากจะมาดูว่าเวลานี้เ้าอยู่อย่างอัปยศอดสูเพียงใด” รอยยิ้มของบุปผาหลังต้องฝนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางที่เชิดคางขึ้นเล็กน้อยด้วยความหยิ่งผยอง“ใครๆ ต่างรู้ดีว่าเมื่อเข้ามาในตำหนักในแล้ว ชีวิตนี้ย่อมถือว่าหมดสิ้นท่านพ่อไหนเลยจะหักใจให้ข้าเข้ามาที่นี่ได้เล่าดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเสียสละเ้า ฮึ เวลานี้เ้าคงรู้แล้วสิว่าตัวเองน่าสมเพชเวทนาเพียงใดกระทั่งท่านพ่อก็มิ้าเ้า!”
หลินชิงเวยกล่าว “พ่อของเ้ามิใช่ตายไปนานแล้วหรือไรเ้าถูกรับมาเลี้ยงดูในบ้านสกุลหลิน ท่านพ่อที่เ้าเอ่ยถึงคงมิใช่บิดาของนาง?”นางพูดแล้วใช้ปลายนิ้วชี้กลับมาที่ร่างของตน
หลินเสวี่ยหรงยิ้มอย่างได้ใจทว่ากลับเป็รอยยิ้มที่บิดเบี้ยวอยู่บ้าง“ท่านพ่อของข้าก็คือท่านพ่อของเ้า เ้าคงจะยังไม่รู้ว่าอีกไม่นานท่านพ่อก็จะแต่งท่านแม่ของข้าเข้ามาเป็ภรรยาเอกในสกุลหลินต่อไปข้าก็จะเป็คุณหนูใหญ่สายตรงของสกุลหลิน!ส่วนเ้ากลับต้องมาอยู่ในตำหนักในแห่งนี้อย่างโดดเดี่ยวจนแก่เฒ่า!”
หลินชิงเวยพอจะกระจ่างแจ้งขึ้นบ้างแล้วหลินเสวี่ยหรงผู้นี้เป็น้องสาวที่ถือกำเนิดจากเรือนที่สองของสกุลหลิน นั่นก็คือมีศักดิ์เป็น้องสาวของหลินชิงเวยเช่นกัน
คิดไม่ถึงว่าน้องสาวผู้เป็ลูกพี่ลูกน้องนางนี้กลับมีจิตใจโเี้ถึงสองส่วนก่อนวันแต่งงานได้วางยาพี่สาวของตนเพื่อให้พี่สาวต้องขึ้นเกี้ยวเ้าสาวแทนตนคาดว่าปริมาณยาที่วางนั้นคงมากเกินไป ส่งผลให้พี่สาวถึงแก่ชีวิตในเกี้ยวเ้าสาวทันทีจึงทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาพดังเช่นนกพิราบรังของนกกางเขน ทว่าน้องสาวผู้เป็ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ยังคงไม่สาแก่ใจยังคิดจะก้าวขึ้นมาเป็คุณหนูใหญ่สายตรงของจวนอัครมหาเสนาบดีอีก
ต่อมาหลินเสวี่ยหรงกล่าวขึ้นด้วยท่าทีมีความสุข “ยังมีอีก ผู้ใดกล่าวว่าเซี่ยนอ๋องมีใจปฏิพัทธ์ต่อพี่สาวกันเล่านั่นเป็เพียงแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น คนที่เซี่ยนอ๋องมีใจรักอย่างแท้จริงคือข้าพี่สาวเพียงตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ยามนี้พี่สาวเข้าวังมาแล้ว ย่อมไม่อาจขัดขวางยับยั้งพวกเราได้อีกต่อไป...”
หลินชิงเวยนวดคลึงบริเวณหว่างคิ้วของตน รู้สึกหนักศีรษะอยู่บ้าง
ขณะที่นางกำลังพยายามลืมตาขึ้นนั้น นางเห็นหลินเสวี่ยหรงได้ลุกขึ้นแล้วใบหน้าอันงดงามนั้นปรากฏเบื้องหน้านางรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความกระหยิ่มลำพองใจ “เวลานี้พี่ใหญ่รู้สึกเวียนศีรษะอย่างยิ่งใช่หรือไม่?เห็นสิ่งของเบื้องหน้าไม่ชัดเจน?”