หลี่อิงฮว๋ายิ้มพลางพูดว่า “ข้ากับพี่ใหญ่คำนวณมาระหว่างทางแล้ว แป้งขาวยี่สิบชั่ง น้ำมันผักกาดก้านขาวสองชั่ง ต้นหอมสองชั่ง ฟืนยี่สิบชั่ง เมื่อรวมกันแล้วยังไม่เกินร้อยทองแดงเลย”
หลี่หรูอี้ถาม “ค่าสึกหรอของรองเท้าพวกท่านและกระทะบ้านเราเล่า ไม่คิดหรือ?”
หลี่ิ่หานอดที่จะเอ่ยปากอย่างตื่นเต้นไม่ได้ “พวกนั้นเป็เงินไม่เท่าไรหรอก หากคิดกำไรเพียงอย่างเดียว วันนี้ยังได้เงินถึงสองตำลึง”
หลี่หรูอี้กล่าวต่อไป “แล้วค่าแรงของพวกเราเล่า? พวกเราห้าคน ทำงานกันทุกคน ต้องคิดค่าแรงคนละสิบทองแดง”
หลี่เจี้ยนอันจ้องมองใบหน้าเล็กๆ ที่แสนจริงจังของน้องสาว จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ค่าแรงจะแพงเพียงนั้นที่ไหนกัน หากจะคิดก็มีเพียงค่าแรงของเ้าผู้เดียวที่ควรค่าถึงสิบทองแดง แรงงานอย่างพวกเราสี่พี่น้อง ไม่ว่าจะไปที่ใดก็มีทั้งนั้น ไม่มีค่าเพียงนั้นหรอก”
ทันใดนั้นจู่ๆ จ้าวซื่อก็กล่าวขึ้นว่า “หากขายแป้งย่างได้วันละสามร้อยแผ่น หนึ่งเดือนพวกเราจะหาเงินได้มากกว่าห้าตำลึงเงิน”
ก่อนหน้านี้รายรับแต่ละเดือนของบ้านจ้าวก็มากเช่นนี้ เมื่อส่งบัณฑิตถงเซิงสามคนไปเรียนหนังสือแล้วก็ยังเหลืออยู่เล็กน้อย
บ้านหลี่อยู่ในหมู่บ้านหลี่จึงมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าบ้านจ้าว หากมีรายรับประจำเดือนถึงห้าตำลึงเงิน คงพอที่จะส่งบุตรชายทั้งสี่ไปเรียนหนังสือได้
ในใจของจ้าวซื่อเต็มไปด้วยความปรารถนาในชีวิตอันงดงาม อยากให้บุตรชายทั้งสี่ได้เรียนหนังสือ ส่วนสามีและอาเล็กก็ไปขายของกับบุตรสาว
“ท่านแม่จะคิดเช่นนี้ไม่ได้นะเ้าคะ” หลี่หรูอี้กล่าวเสียงใส “หากวันใดฝนตก พวกเราจะออกไปตั้งร้านไม่ได้ และวันนั้นก็จะหาเงินไม่ได้”
ขณะที่พูด ด้านนอกก็มีเสียงฟ้าร้องครืนๆ ดังตามมา มันค่อยๆ ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ดังสนั่น
หลี่เจี้ยนอันและน้องๆ ทั้งสี่ยิ้มเจื่อน “ฝนจะตกแล้ว พรุ่งนี้คงขายแป้งย่างต้นหอมไม่ได้”
หลี่หรูอี้รีบปลอบใจ “ฝนตกก็ตกไปเถิด หากฝนตกแล้วอากาศจะเย็นสบาย ผู้คนก็รู้สึกสบาย พวกเราไม่ต้องไปสนใจเื่วันพรุ่งนี้ ข้าจะไปยกอาหารเย็นมาให้ ทุกคนกินกันก่อนค่อยไปพักผ่อนเถิด”
ฤดูร้อนอากาศร้อนมาก แดดจ้าติดกันหกเจ็ดวันแล้ว ในที่สุดวันนี้ฝนก็ตก นี่เป็เื่ดี อีกอย่างสองวันมานี้คนในครอบครัวค้าขายของกินกันจนเหนื่อย พรุ่งนี้พักผ่อนสักวันก็ไม่เป็ไร
หลี่อิงฮว๋ารีบลุกขึ้นคิดจะไปช่วยงาน แต่กลับถูกหลี่ฝูคังห้ามเอาไว้ “เ้ากับพี่ใหญ่ไปที่อำเภอรอบหนึ่ง ก็ต้องเดินหลายสิบลี้แล้ว นั่งดื่มน้ำไปเถิด ข้าไปที่ครัวเอง”
คืนนี้หลี่หรูอี้ทำต้มบวบและแป้งข้าวโพดย่าง
แป้งข้าวโพดย่างทำเสร็จนานแล้ว ทุกแผ่นมีสีเหลืองทอง เส้นผ่านศูนย์กลางครึ่งฉื่อ
ตอนนี้กำลังทำต้มบวบ บวบสีเขียวมรกตถูกหั่นซอยเป็เส้น เมื่อเติมน้ำมันหมูลงไปเล็กน้อย กินเข้าคู่กับแป้งข้าวโพดย่างสีเหลืองทองได้อร่อยยิ่งนัก
จ้าวซื่อไม่ได้คิดเื่ที่ฝนตกแล้วจะขายไม่ได้อีก กินแป้งข้าวโพดย่างพลางถามว่า “หรูอี้ ในแป้งข้าวโพดของเ้าใส่อะไรไว้หรือ เหตุใดจึงนุ่มและหอมเพียงนี้?”
หลี่หรูอี้กะพริบตาปริบๆ พลางตอบว่า “ข้าใส่น้ำตาลไปในแป้งข้าวโพดเล็กน้อยแล้วทิ้งไว้เกือบครึ่งชั่วยาม นี่คือความลับเ้าค่ะ”
“มิน่าเล่าแป้งย่างถึงได้หอมหวานเพียงนี้ ที่แท้ก็ใส่น้ำตาลนี่เอง” จ้าวซื่อเสียดายน้ำตาลอยู่บ้าง แต่หากไม่ใส่จะได้แป้งข้าวโพดย่างที่อร่อยเพียงนี้ได้อย่างไร นี่คือแป้งข้าวโพดย่างที่อร่อยที่สุดเท่าที่นางเคยกินมา
นางไม่รู้ว่าในหัวเล็กๆ ของบุตรีสุดที่รักมีอะไรอยู่ จึงคิดวิธีการทำแป้งข้าวโพดย่างที่อร่อยเพียงนี้ออกมาได้
หลี่อิงฮว๋าพูดอย่างยิ้มแย้ม “ท่านแม่ขอรับ วันนี้พวกเราไปตลาดที่อำเภอ มีพี่สาวคนหนึ่งคิดว่าท่านเป็คนทำไส้ทอดกับแป้งย่างต้นหอมที่พวกเราขายด้วยขอรับ”
“ฝีมือครัวของข้าไม่ดีเท่าน้องสาวของเ้า แป้งย่างต้นหอมที่ข้าทำคงไม่มีคนซื้อ” ในน้ำเสียงของจ้าวซื่อไม่มีความไม่พอใจแม้แต่น้อย กลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจด้วยซ้ำ
ฝีมือครัวของสตรีละแวกนี้ ไม่มีใครดีเทียบเท่าบุตรีของตนเลย ต่อไปจะต้องมีคนมากมายมาสู่ขอบุตรีสุดที่รักเป็แน่
ดวงตาของหลี่หรูอี้เปล่งประกายวาววับ “ท่านแม่ ท่านจะถ่อมตัวเกินไปแล้ว หลายปีมานี้ พวกข้าพี่น้องกินอาหารที่ท่านทำจนเติบใหญ่ อาหารที่ท่านทำก็อร่อย อีกอย่างฝีมือปักผ้าของท่านดีที่สุดในหมู่สตรีของหมู่บ้านเราแล้ว”
หลี่ิ่หานพูดยิ้มๆ “ใช่แล้วขอรับ ผ้าปักของท่านแม่ นำไปขายแล้วยังได้เงินทุกเดือน”
หลี่เจี้ยนอันพูดประจบ “ใช่แล้วขอรับ ร้านผ้าในตำบลจินจีรับแต่งานปักของสตรีไม่กี่คนในหมู่บ้าน ท่านแม่ก็เป็หนึ่งในนั้น”
“งานปักของข้าจะทำเงินได้สักกี่ทองแดงกันเชียว สู้พวกเ้าขายอาหารหาเงินไม่ได้หรอก” จ้าวซื่อซดน้ำแกงไปอึกหนึ่ง ได้กลิ่นหอมของน้ำมันหมูอ่อนๆ ในปาก ก่อนหน้านี้นางไม่เคยใช้บวบฝอยทำน้ำแกง วันนี้ได้กินรู้สึกว่าอร่อยไม่เลวเลย
หลี่หรูอี้กล่าวเสียงเรียบ “กิจการขายอาหารของพวกเราต้องเดินทางไปขายที่ตัวอำเภอและในตำบลทุกวัน ทั้งยังต้องดูด้วยว่าอากาศดีหรือไม่ ไม่เหมือนท่านแม่ที่ปักผ้าอยู่ในบ้านเงียบๆ ก็ได้ ไม่มีความเสี่ยงอันใด และไม่ต้องกลัวฝนตกลมพายุพัด เดือนหนึ่งไปที่ร้านผ้าในเมืองตำบลครั้งหนึ่งก็พอ”
จ้าวซื่อพยักหน้า “นั่นก็ใช่”
พี่ชายน้องชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่ได้ยินหลี่หรูอี้กล่าวเช่นนั้นก็คิดว่ามีเหตุผล ในใจยิ่งนับถือความฉลาดของนางมากขึ้น
หลี่ิ่หานไปล้างถ้วยและขัดกระทะในครัว ส่วนหลี่ฝูคังก็ตามไปยกน้ำร้อนให้พี่ชายคนโตและน้องสามเช็ดตัว
หลังจากหลี่หรูอี้ได้รับถุงเงินมาจากหลี่เจี้ยนอันแล้ว ก็นำเงินออกมาสามสิบทองแดง ส่งไปให้จ้าวซื่อ “ท่านแม่ ต่อไปนี้ขอเพียงพวกเราออกไปตั้งร้านก็จะให้ท่านเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง ตอนนี้เพิ่งขายของไปไม่กี่วัน ยังต้องใช้เงินซื้อแป้งและเครื่องปรุงต่างๆ อยู่บ้าง เงินพวกนี้ท่านอย่ารังเกียจว่าน้อยไปเชียว”
จ้าวซื่อรับมาด้วยความยินดี ไม่คิดรังเกียจว่าได้เล็กน้อยเลยสักนิด
ข้างนอกมีเสียงฟ้าร้อง ไม่ทันไรก็เกิดฝนตกหนัก ยามที่ฟ้าแลบทำเอาหมู่บ้านหลี่สว่างไปทั่ว
ตะเกียงของบ้านหวังไห่ถูกดับไปแล้ว ทว่าตะเกียงบ้านหลี่ยังคงสว่างไสว
จ้าวซื่อเข้านอนแล้ว
หลี่เจี้ยนอันที่อยู่ในห้องโถงเดินมาพูดกับหลี่หรูอี้ด้วยท่าทางเป็กังวลว่า “น้องสาว เมื่อวานข้าโง่งมจริงๆ ไปขายไส้ทอดแล้วก็รีบกลับบ้านจนไม่ได้ดูรอบๆ ให้ดี วันนี้พวกเราไปขายแป้งย่าง พบว่ามีชายคนหนึ่งขายแป้งย่างเหมือนกัน ได้ยินลูกค้าบอกว่า ชายคนนั้นมาขายแป้งย่างที่อำเภอทุกสองวัน ขายมาหลายปีแล้ว”
หลี่อิงฮว๋าพูดต่อ “แป้งย่างที่ชายคนนั้นขายมีขนาดใหญ่กว่าแป้งของพวกเรา แต่ลูกค้าบอกว่า แป้งย่างของเขาไม่ใส่เกลือ ไม่ใส่ต้นหอม และไม่ได้ใช้น้ำมัน ผักกาดก้านขาว ไม่อร่อยเท่ากับแป้งย่างต้นหอมของบ้านเรา ตอนที่พวกเราขายแป้งย่างหมดแล้ว แป้งของชายคนนั้นก็ยังขายไม่หมดเลย”
“แป้งย่างที่เขาขายเป็แป้งอย่างเดียว ไม่เหมือนแป้งต้นหอมของพวกเรา โบราณว่าถนนกว้างใหญ่ทอดสู่ท้องฟ้า แต่ละคนเดินกันคนละฝั่ง พวกเราก็ทำการค้าของเราไป แต่ละคนก็ขายแป้งย่างของตนเองไป” หลี่หรูอี้นึกถึงคู่แข่งเช่นนี้นานแล้ว แต่นางมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนมากจึงไม่กลัวคู่แข่ง
อีกอย่างนางสามารถทำอาหารจากแป้งได้อีกหลายสิบชนิด ย่อมไม่ขายแป้งย่างต้นหอมตลอดหนึ่งปีสามร้อยหกสิบห้าวันแน่นอน
หลี่เจี้ยนอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แป้งย่างของพวกเราต้องทำให้มีขนาดใหญ่เท่ากับแป้งย่างของชายคนนั้นหรือไม่?”
หลี่หรูอี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกเ้าค่ะ วันนี้พวกท่านก็ขายแป้งย่างหมดเร็วมิใช่หรือ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า แป้งย่างต้นหอมของบ้านเราอร่อยและไม่ได้เล็กเกินไป เหมาะสมกับราคาแล้ว”
หลี่ฝูคังและหลี่ิ่หานเก็บกวาดเรียบร้อยก็เดินเข้ามาที่ห้องโถง ด้านนอกฝนตกหนักจนเกิดเสียงซ่าๆ ละอองฝนสาดเข้ามาตามแรงลม ไม่ทันไรก็ทำให้ตะเกียงอ่อนแสงและดับลง
ตะเกียงน้ำมันถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ส่องแสงสว่างไปยังใบหน้าที่ซูบผอม ทว่าสดใสของทั้งห้าพี่น้อง
หลี่ฝูคังถามอย่างกังวล “น้องสาว หากพรุ่งนี้ฝนยังตกอยู่จะทำอย่างไรดี?”
“พักผ่อน” น้ำเสียงของหลี่หรูอี้สงบนิ่ง นางชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “แต่ท่านและพี่ใหญ่รับปากไว้แล้วว่า จะไปส่งแป้งย่างต้นหอม พรุ่งนี้เช้าพวกท่านต้องไปส่งแป้งย่างที่ตำบลจินจีตามที่บอกกับลูกค้าไว้”
.......................................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้