หลี่เจี้ยนอันรับปากด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น พรุ่งนี้เช้าพวกเราต้องไปส่งของให้ท่านปู่เฮ่อแน่นอน”
หลี่หรูอี้ปรายตามองพี่ชายทั้งสี่ กล่าวกำชับว่า “จะทำการค้าต้องใส่ใจเื่ความน่าเชื่อถือ ครอบครัวของพวกเราต้องทำตามที่รับปากไว้ ต่อไปก็ต้องเป็เช่นนี้”
ผู้เยาว์ทั้งสี่รับปากพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง
หลี่เจี้ยนอันรอจนหลี่หรูอี้เดินจากไปค่อยหันมาพูดกับน้องชายทั้งสาม “เื่เงินๆ ทองๆ ห้ามนำออกไปพูดนอกบ้านเป็อันขาด ต่อไปไม่อนุญาตให้พวกเ้าพูดเื่การค้าขายของครอบครัวเรานอกบ้านอีก การค้าที่พวกเราทำ ต้องพกเงินติดตัว หากมีคนไม่ดีได้ยินเข้าแล้วมาดักแย่งเงินกลางทางจะทำเช่นไร?”
เย็นวันนี้หลี่เจี้ยนอันพกเงินติดตัวเกือบสามตำลึง เขาต้องรีบเดินก้าวยาวๆ มาตลอดทาง เพียงมีลมพัดต้นหญ้าก็ทำเอาใจนสะดุ้งแล้ว
การรักษาความปลอดภัยที่เมืองเยี่ยนยอดเยี่ยมมาก แต่หากมีคนร้ายเล่า
หลี่ฝูคังก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ส่วนหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานก็จดจำไว้อย่างดี
เมื่อพูดคุยกันเสร็จ ทั้งสี่คนจึงกลับไปที่ห้องนอน
หลี่ฝูคังกล่าวขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว”
“น้องสาวบอกกับข้าว่า หวังฮวาของบ้านจางและจางซื่อของบ้านหลิวอิจฉาบ้านเรา ในคำพูดเต็มไปด้วยคำถากถางไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ดีที่ท่านแม่ไม่สนใจพวกนาง” ในห้องมืดสลัวทำให้หลี่เจี้ยนอันมองไม่เห็นสีหน้าของหลี่ฝูคัง จึงถามไปเบาๆ ว่า “หากหลิวเสี่ยงกลับมาที่หมู่บ้านแล้ว นางมาถามเ้าเื่การค้าของพวกเรา เ้าจะพูดอย่างไร?”
จางซื่อมีบุตรชายสี่คนและบุตรสาวสองคนให้หลิวเป่า หลิวเสี่ยงคือ บุตรสาวคนที่สามของพวกเขา ปีนี้อายุสิบสามแล้ว ตอนนี้ไปเป็สาวใช้ที่บ้านของคนรวยอยู่ที่ในตำบล
ตอนเด็กๆ หลิวเสี่ยงมักจะมาพูดคุยกับหลี่ฝูคังบ่อยๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลิวเป่ากำลังเมามายจึงพูดจาหยอกล้อกับหลี่ซานว่า จะจับคู่ให้หลิวเสี่ยงกับหลี่ฝูคัง ั้แ่นั้นมาหลิวเสี่ยงก็คิดว่าตนจะได้เป็ภรรยาของ หลี่ฝูคังมาตลอด และปฏิบัติกับหลี่ฝูคังแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ
หลี่ฝูคังก็รีบร้อนพูดขึ้นว่า “ข้าไม่บอกนางแน่” เมื่อถอดเสื้อและล้มตัวลงนอนแล้ว ก็ยังคิดว่าต้องพูดให้ชัดเจนเสียหน่อย “พี่ใหญ่ ความจริงข้าไม่ได้คิดอะไรกับหลิวเสี่ยง ข้า… ไม่ได้ชอบนาง”
หลี่เจี้ยนอันก็ไม่ได้หัวเราะเยาะน้องชาย กลับพูดเตือนเบาๆ ว่า “เ้าเป็ชายหนุ่มอายุสิบสามแล้ว ในเมื่อไม่ชอบก็อย่าไปคุยกับนาง”
หลี่ฝูคังตอบเสียงอ่อย “ทุกครั้งนางเป็ฝ่ายเข้ามาพูดคุยกับข้าเอง”
“แล้วเ้าไม่แกล้งทำเป็ไม่ได้ยินเล่า?” หลี่เจี้ยนอันกระซิบกระซาบ “ตอนที่จางชุนมาพูดกับข้า เ้าเคยเห็นข้าสนใจนางหรือ?”
เฒ่าจางของบ้านจางกับนางติงมีบุตรชายสามคน มีหลานสาวหลานชายรวมแล้วสิบคน
จางชุนคือ ลูกสาวคนโตของจางต้าซานผู้เป็ลูกชายคนโตของบ้านกับสะใภ้ติงซื่อ ปีนี้อายุสิบสามแล้ว ตอนนี้นางก็ไปเป็สาวใช้ที่ครอบครัวคนรวยในตำบลเช่นกัน
“ขอรับ” หลี่ฝูคังตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนรู้จากพี่ใหญ่ ทำใจร้ายหน้านิ่ง ไม่สนใจใยดีสตรีที่ไม่ได้ชอบพอ “พี่ใหญ่ ท่านว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกหรือไม่?”
หลี่เจี้ยนอันหาวออกมาเล็กน้อย สองวันมานี้เขาเดินรวมกันร้อยกว่าลี้ เดินมากกว่าหลี่ฝูคังสามสิบลี้ พอหัวถึงหมอนจึงหลับไปทันที
หลี่ฝูคังก็พลิกตัวหลับตาลง เพียงไม่นานก็ฝัน
เช้าวันต่อมา ์ไม่เป็ใจ ฝนยังตกอยู่ ทั้งยังตกหนักอีกด้วย
หลี่หรูอี้คิดไว้ั้แ่เมื่อวานแล้วว่า วันนี้จะพักผ่อนถึงคิดอะไรมาก แต่พี่ชายทั้งสี่กลับมีสีหน้าเศร้าสร้อย
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังกินข้าวเช้าแล้ว คนหนึ่งก็สวมเสื้อฟางกันฝนที่มีอยู่เพียงตัวเดียวในบ้าน อีกคนก็กางร่มที่ทำจากกระดาษมัน เขาหยิบแป้งย่างสิบแผ่นและเงินที่หลี่หรูอี้ให้มาแล้วออกเดินทาง
ถนนดินเต็มไปด้วยโคลน ทั้งสองกลัวลื่นล้มจึงเดินกันช้าๆ กว่าจะไปถึงประตูเมืองตำบลก็เกือบถึงเวลาที่นัดกับเฮ่อตงเฟิงไว้แล้ว
พวกเขาเห็นร้านเกี๊ยวของชายชราไฝดำเปิดอยู่
เขาใช้ร่มน้ำมันสามคันใหญ่กางบังไว้บนแผง ทำให้ร้านไม่โดนน้ำฝน ชาวบ้านในตำบลหลายคนกำลังนั่งกินเกี๊ยวน้ำกันอยู่ใต้ร่ม มีชาวบ้านสองคนถือแป้งย่างแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ
พวกเขาจำได้ชัดเจนว่าเมื่อวานร้านเกี๊ยวไม่ได้ขายแป้งย่าง แต่วันนี้ชายชราไฝดำกลับขายแป้งย่างด้วย ในใจพลันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ชายชราไฝดำง่วนอยู่กับการเปิดร้าน จึงไม่ทันเห็นพี่น้องหลี่ที่กำลังเดินไป หากเห็นคงทำให้เขารู้สึกระแวงยิ่งขึ้น
ที่แท้ชายชราไฝดำทำเพื่อไล่สองพี่น้องบ้านหลี่ให้ออกไปจากตำบลจินจี ต่อให้วันนี้ฝนตกก็ยังทำแป้งย่างต้นหอมแปดสิบชิ้นมาขายั้แ่เช้าตรู่
ผู้ใดจะรู้ เขาเดินทางจากบ้านมาที่ในตัวตำบลเป็ระยะทางกว่าสิบลี้ ของที่ใส่ไว้ในรถเข็นจึงถูกน้ำซึมเข้าไป แป้งย่างต้นหอมก็ถูกฝนจนเปียกเช่นกัน
แป้งย่างต้นหอมห้าแผ่นที่เรียงไว้ด้านหน้าสุดไม่เปียก แต่แป้งย่างด้านล่าง จะมากจะน้อยก็ถูกฝนจนเละไปแล้ว
แป้งย่างต้นหอมของเขาไม่ได้ใส่เกลือและไม่ได้ใช้น้ำมันผักกาดก้านขาว รสชาติก็ธรรมดา เมื่อถูกน้ำเข้ารสชาติจึงแย่มาก
ดังนั้นเขาจึงต้องขายถูก ตอนเริ่มขาย ขายในราคาหนึ่งทองแดงสองแผ่นก็ยังขายไม่ออก ทำได้เพียงลดราคาไปขายหนึ่งทองแดงสามแผ่น
เพราะเหตุนี้ลูกค้าเก่าจึงไม่ชมว่าอร่อย แต่ละคนเอาแป้งย่างของเขาไปเทียบกับแป้งย่างต้นหอมของบ้านหลี่ที่กินเมื่อวาน ทำให้เขาโกรธจนเกือบจะพังร้านไล่คน
หลี่ฝูคังเคาะประตู “ไม่ทราบว่าที่นี่บ้านท่านปู่เฮ่อใช่หรือไม่ขอรับ? พวกเราคือพี่น้องของครอบครัวหลี่จากหมู่บ้านหลี่ ที่ขายแป้งย่างต้นหอมขอรับ”
เสียงของเฮ่อตงเฟิงดังแว่วมาจากประตูอย่างยินดี “ฝนตกหนักเพียงนี้ พวกเ้ายังมาส่งแป้งย่างให้ข้าอีกหรือ เป็เด็กดีจริงๆ”
ประตูเปิดออก หลี่ฝูคังถอดเสื้อฟางแล้วนำตะกร้าที่สะพายอยู่ด้านหลังมาวางลงกับพื้น หยิบแป้งย่างต้นหอมออกมาจากด้านในแล้วส่งให้เฮ่อตงเฟิง
ทั้งสองแลกเปลี่ยนกัน
หลี่ฝูคังกลัวว่าเฮ่อตงเฟิงจะเปียกฝน จึงรีบกางร่มให้เขา
เฮ่อตงเฟิงเห็นว่าแป้งย่างต้นหอมไม่เปียกฝนแม้แต่แผ่นเดียว จึงให้เงินไปยี่สิบทองแดงอย่างยินดี
“แป้งย่างต้นหอมของบ้านเราซื้อเก้าแถมหนึ่งขอรับ พวกเราขอรับเงินไว้เก้าทองแดงนะขอรับ” หลี่เจี้ยนอันหยิบเงินเก้าทองแดงออกไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมทั้งโค้งตัวให้เฮ่อตงเฟิงและเดินจากไปพร้อมกับหลี่ฝูคัง
เฮ่อตงเฟิงนำแป้งย่างไปวางไว้บนโต๊ะแปดเซียนที่ทำจากไม้ชั้นดีในห้องโถงอันกว้างขวางและสว่างไสว กล่าวกับลูกสาวและลูกเขยว่า “หนุ่มน้อยสองคนของบ้านหลี่จากหมู่บ้านหลี่เอาการเอางานดีจริงๆ”
ลูกสาวและลูกเขยมาถึงั้แ่เมื่อคืนแล้ว วันนี้จึงตื่นสายหน่อย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้า ตอนกำลังกินก็ถูกเฮ่อตงเฟิงชวนคุยเื่แป้งย่างต้นหอมไปรอบหนึ่งแล้ว พอได้กินเข้าไปก็รู้สึกว่าอร่อยมาก จึงชมไปว่าเฮ่อตงเฟิงรู้จักเลือกซื้อของจริงๆ
หลังจากที่หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังซื้อของ เช่น แป้งขาว และไข่ไก่แล้ว ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อพวกเขา เมื่อหันไปมองจึงพบว่า เป็คนขายเนื้อแซ่จางที่คุ้นเคยนั่นเอง
หากไม่มีเครื่องในหมูตะกร้าใหญ่ของคนขายเนื้อแซ่จาง ไหนเลยจะมีเงินทุน ไหนเลยจะทำการค้าได้
ผู้เยาว์ทั้งสองกล่าวอย่างยินดีพร้อมกัน “สวัสดีขอรับลุงจาง!”
คนขายเนื้อแซ่จางสวมชุดสีดำ ยืนเท้าเปล่าอยู่ที่หน้าร้านขายเนื้อของบ้านตนเอง คิดไม่ถึงว่าสองพี่น้องบ้านหลี่จะไม่กล่าวโทษเื่ของขวัญขอบคุณที่เขามอบให้ ทั้งยังทักทายเขาอย่างเป็มิตรเพียงนี้ จึงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบไปว่า “ข้าได้ยินว่า เมื่อวานพวกเ้าก็มาขายแป้งย่างที่ในตำบล ทำไมไม่มานั่งดื่มน้ำที่บ้านข้าเสียหน่อยเล่า?”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวอย่างจริงใจ “เมื่อวานพวกเรารีบร้อนกลับบ้านจึงไม่ได้มารบกวนลุงจางขอรับ”
คนขายเนื้อแซ่จางรอจนกระทั่งผู้เยาว์ทั้งสองเดินมาหา จึงค่อยหันไปถามอย่างเขินๆ “เครื่องในหมูพวกนั้น พวกเ้ากินกันดีหรือไม่?”
ทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายอีกครั้ง “ดีขอรับ ดีมาก”
คนขายเนื้อแซ่จางรู้สึกไม่ดี ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัว
บิดาเฒ่าของเขาไปพักรักษาตัวที่บ้านน้องสาวในเมืองเยี่ยน ก่อนเดินทางบอกให้เขานำหมูครึ่งตัวไปขอบคุณหลี่หรูอี้ แต่มารดาชราของเขาขี้งก จะอย่างไรก็ไม่ยอม จึงให้เขาเก็บหมูครึ่งตัวนั้นไว้ทั้งหมด แล้วนำเครื่องในเหม็นๆ กับขาหมูที่ไม่มีใคร้าไปให้แทน
เขารู้สึกว่า การทำเช่นนั้นเสียมารยาทมาก กลัวถูกคนบ้านหลี่ด่าไล่กลับมา จึงคิดแผนการเล็กๆ น้อยๆ โดยใช้ตะกร้าไผ่สานใบใหญ่ใส่เครื่องในและขาหมู ใช้ใบไม้รองในตะกร้าไม่ให้มีกลิ่นและไม่ให้เืเลอะออกมา ้าก็คลุมไว้ด้วยผ้าสีดำอีกชั้นหนึ่ง ให้คนมองไม่เห็นว่าด้านในคืออะไร
เขาไม่ได้อยู่ดื่มน้ำที่บ้านหลี่แม้แต่อึกเดียว เมื่อวางตะกร้าลงแล้วก็น้อมศีรษะขอบคุณ แล้วก็รีบออกมา ตอนนี้ยังคงรู้สึกผิดในใจอยู่เลย
หลี่ฝูคังถามว่า “ลุงจางขอรับ ่นี้กิจการของท่านดีหรือไม่?”
.......................................